เจ้าของกิจการ (เล็กหรือใหญ่) อยากให้แชร์ประสบการณ์กว่าจะมีวันนี้ได้ ตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงวันนี้ผ่านอะไรมาบ้าง

กระทู้คำถาม
แก้ไขข้อความเมื่อ

สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 1
เรื่องราวผมอาจจะไม่ซ้ำซ้อนมาก อายุอานามผมตอนนี้ 42 ขวบแล้ว กว่าจะเริ่มต้นก็แก่งัก 39 ขวบพึ่งเริ่มธุรกิจได้ 3 ปี ครับ

ชีวิตจบใหม่ทำงานในแวดวง IT มาตลอดส่วนมากเวบไซต์วัยรุ่น 555 (เจ๊าแจ๊ะ ดอทคอม ใครเกิดทันบ้างครับ) จากนั้นอยู่ในวงการนี้มาตลอด ล้มลุกคลุกคลานในวงการ IT มาจนแก่ แต่งงานมีครอบครัว

ช่วงสุดท้ายอยู่บริษัทสื่อสารใหญ่แห่งหนึ่งย่านรัชดา เริ่มจากแบกกระเป๋าความทรงจำผมที่ผมจะเก็บไว้ท้ายรถตลอด (รูปด้านล่างครับ) วิ่งขายของนำเข้าจากต่างประเทศ แบกคล้ายๆ Sale ขายเฟอร์นิเจอร์ เครื่องนอนที่เดินตามถนนเลยครับ ของตัวอย่างแบกไม่ต่ำกว่า 10 KG. ขี้นไป เริ่มต้นจากงมเข็มเลย หา DATA จากเวบ เบอร์โทร ที่อยู่ ตะล่อนๆๆในกทม.

เริ่มได้งานจากลูกค้าใจดีมีเงินทุนเปิดร้านขายเป็นหลักแหล่ง มีพนักงาน 4 คน (บัญชี  1 , แคชเชียร์ 1 , พนักงานรายวัน 2 คน) ผมแบกส่งของเองวัสดุก่อสร้าง ไม้อัด สินค้าพื้นกล่องหนึ่งไม่ต่ำกว่า 20 KG แบกจนไม่กล้ามองหน้าลูกค้ากลัวเค้าว่าบริษัทฯเราเล็กจนไม่น่าไว้ใจ แต่ก็ไม่รอดเคยโดนทักว่าอ้าวเจ้าของแบกเองเหรอ ลูกน้องไม่มีเหรอ แล้วใครคุมงานต่อ ผมตอบผมเองดูแลหมดครับ ผมเป็น Sale เป็นคนส่งของ และเป็นโฟว์แมนครับ สั่งผมมาได้เลย One Stop Shopping >>>

เหนื่อยและท้อ เหงื่อท้วมกายเคยแวะปั๊มล้างตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าจากเสื้อยืด ยีนส์ มาเป็นชุดกางเกงผ้า เสื้อเชิ้ต และสเปรย์ ฉีดพรมทั่งกายเข้าไปขายงานต่อก็มีครับ


เหนื่อยแต่สุขใจเพราะว่ามีภรรยาที่เก่งคอยช่วยเหลือ และที่สำคัญเพื่อลูกชายคนเดียวของผมครับ ผมเริ่มต้นช้า และแก่ มาสายงานการก่อสร้างที่ต้องใช้กำลังสมองและกายมากๆ ลองดูนะครับน้องๆ ไม่จำเป็นต้องทำธุรกิจที่เราเรียนมา หรือทำงานอยู่ก็ได้ ลองที่เราชอบและรักครับ สู้ๆๆนะครับ
ความคิดเห็นที่ 18
เรื่องราวของเรายาวหน่อยนะค่ะ เพราะเราผ่านอะไรมาเยอะพอสมควร ชีวิตเหมือนกราฟ ขึ้นๆลงๆ อ่ะค่ะ

ที่บ้านเราทำธุรกิจขนาดกลาง เราคาดหวังว่า หลังจากเรียนจบ เราจะมาช่วยกิจการของครอบครัว แต่...
เรื่องกลับไม่เป็นอย่างที่เราคิด เพราะแม่เรามีความเชื่อว่าลูกชายเท่านั้นที่จะสืบทอดกิจการได้

เราเลยตัดสินใจไปเรียนต่อต่างประเทศ และจะหาลู่ทางทำธุรกิจด้วยตัวเองให้ได้
โดยเรามีเงินติดตัวไป 60000 บาท เราเริ่มหางานพิเศษทำหลังเลิกเรียน โชดดีที่เราไม่เลือกงาน เลยได้งานร้านอาหารช่วงเย็น และงานทำความสะอาดช่วงเช้า เริ่มงานเวลาตี 5 ถึง 9 โมง แล้วนั่งรถเมล์ไปเรียนหนังสือ เรียนเสร็จไปทำงานร้านอาหารต่อถึงเที่ยงคืน วงจรชีวิตเป็นแบบนี้ตลอดทั้งปี

แล้ววันหนึ่ง... เราก็ได้รับโอกาสที่เรามองหามาตลอด มีพี่เจ้าของร้านขายของคนไทย หาคนมาแชร์ค่าเช่าร้าน เราใช้เงินทั้งหมดที่เราทำงานหามาได้ นำไปลงทุนเปิดร้านขายของ แต่มันก็น้อยเกินไป เราเลยมองหาหุ้นส่วน ซึ่งก็ได้เพื่อนคนไทยที่เรียนด้วยกันมาหุ้น

ช่วงแรกขายแทบไม่ได้เลย ทำเลร้านดีแต่ส่วนของเราอยู่ด้านในสุด ไม่มีคนรู้จัก ไม่มีคนเห็น เราเลยไปลาออกจากงานทุกอย่างเพื่อทุ่มเทให้กับร้านเพียงอย่างเดียว เราใช้เวลาไม่นานในการแก้ปัญหา จนร้านเริ่มมีคนรู้จัก บริการดี ทำให้มีลูกค้าปากต่อปากมากขึ้นเรื่อยๆ ใช้เวลา 5 เดือนในการคืนทุน เรากับเพื่อนดีใจมาก กิจการดีขึ้นเรื่อยๆ พอเปิดมาได้ 1 ปี เราเลยตัดสินใจขยายร้าน ร้านใหม่ใหญ่กว่าเดิม และได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี

เราเริ่มมีเงินเก็บมากขึ้นเรื่อยๆ กิจการเริ่มมั่นคง มีลูกจ้างมากขึ้น และเราก็เรียนจบและกำลังขอสัญชาติ เพื่อให้เราทำธุรกิจได้สะดวกขึ้น ทุกอย่างในชีวิตไปได้ดี เราเลยมองหาธุรกิจอื่นเพื่อเพิ่มรายได้ให้ตัวเอง

ในที่สุดเราก็เปิดธุรกิจสปาไทย กับหุ้นส่วนร้านขายของคนเดิม และเพื่อนคนจีนอีกคน ทั้งหมด 3 หุ้น
ด้วยความที่เราประมาทเพราะธุรกิจแรกประสบความสำเร็จได้อย่างง่ายดาย เลยคิดว่าอะไรก็ง่ายไปหมด สปาเราขาดทุนต่อเนื่องมาตลอด 6 เดือนแรก และไม่มีที่ท่าว่าจะดีขึ้นเลย หุ้นส่วนคนไทยขอถอนหุ้นคืน โดยขอเงินลงทุนทั้งหมดคืน ด้วยความที่เราเห็นแก่ความเป็นเพื่อนและยังคงทำร้านขายของร่วมกันเลยไม่อยากมีปัญหา เราเลยซื้อหุ้นคืนมา โดยไม่คิดว่ามันอาจจะเป็นหนทางนำไปสู่ความลำบากในอนาคต

เรากับเพื่อนคนจีนค่อยๆแก้ปัญหาที่ละจุด เพื่อให้เราขาดทุนน้อยที่สุด วางระบบ และบริการใหม่หมด เวลาผ่านไป 1 ปี ธุรกิจสปายังคงขาดทุน แต่แนวโน้มดีขึ้น เราสู้ไม่ถอย แม้ช่วงนั้นเงินที่เราเก็บไว้จะลดลงไปเรื่อยๆ

จนในที่สุด รายรับที่เราได้จากร้านขายของก็ไม่พอกับรายจ่ายของเรา และเราก็ไม่ค่อยมีเวลาไปดูแลร้านขายของ ปล่อยให้หุ้นส่วนคนไทยดูแล ซึ่งเราไม่เคยรู้เลยว่า หุ้นส่วนเรากำลังโกงเงินเรา เหตุการณ์เกิดขึ้นรวดเร็วมาก มารู้ตัวอีกที หุ้นส่วนเราขายร้าน หนีไปแล้ว ทิ้งหนี้สินมากมายไว้ให้เรา.. เรามืดแปดด้าน ไม่รู้จะทำยังไง

เราค่อยๆคิด ตั้งสติ และเอาเงินเก็บก้อนสุดท้ายที่มี ไปจ่ายเงินให้กับพนักงานที่ร้านค้างจ่าย เพราะเราคิดว่า เขาเดือดร้อนกว่าเรา ไหนจะตกงาน และเงินที่ทำงานไปก็ไม่ได้รับ จะเอาเงินที่ไหนไปใช้จ่าย เลี้ยงดูครอบครัว ส่วนเจ้าหนี้อื่นๆ ก็ไปต่อรองขอผ่อนส่งไปเรื่อยๆ ไม่หนีแต่ทยอยให้ ช่วงนั้นเราเครียดมากถึงมากที่สุด ไม่เคยมีคืนไหนที่นอนหลับสนิทเลย มันกังวลอยู่ตลอดเวลา

เราออกหางานทำอีกครั้ง เพื่อหารายได้ ทำงานทุกอย่าง ขับรถส่งของ ทำความสะอาด รับจ้างซ่อมคอมพิวเตอร์ ถ่ายรูป ฯลฯ แต่ก็ยังไม่พอกับรายจ่าย เราถูกไล่ออกจากบ้านเพราะค้างค่าเช่า ไม่มีที่นอน ไปอาศัยนอนที่ร้านได้ระยะหนึ่ง หุ้นส่วนคนจีนรู้เรื่อง เลยให้เราไปอยู่บ้านเขาฟรี ส่วนหนี้สินที่มี เขาออกให้ก่อน มีแล้วค่อยมาคืน

มันเหมือนยกภูเขาออกจากอก เขาเหมือนนางฟ้ามาช่วยชีวิตเรา (เราบอกกับตัวเองว่า ไม่ว่าชีวิตข้างหน้าจะเป็นยังไง เราจะไม่ทิ้งเพื่อนคนนี้อย่างเด็ดขาด)

หลังจากเราจัดการปัญหาต่างๆออกไปได้ เรากลับมาทุ่มเทให้กับสปาเราอีกครั้ง หลังจากขาดทุนไปเกือบ 2 ปี ธุรกิจค่อยๆดีขึ้นเรื่อยๆ จนมีกำไร เราแทบจะกินนอนอยู่ที่ร้าน ใส่ใจกับทุกๆรายละเอียด และพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ธุรกิจได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจนลูกค้าเรียกร้องให้เปิดสาขา 2 เพราะร้านรับลูกค้าไม่ได้แล้ว ต้องโทรจองล่วงหน้าตลอด

ทุกวันนี้ เรามีธุรกิจสปา 3 สาขาและกำลังเปิดสาขาที่ 4 โดยทำร่วมกับเพื่อนคนจีน และมีธุรกิจอื่นๆอีกเล็กน้อย เรามีเงินซื้อบ้านราคาแพงๆ มีรถหรูๆขับ ใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย แต่เราก็ไม่เคยลืมครอบครัวเราที่เมืองไทย พ่อกับแม่บินมาเยื่ยมเราแทบทุกปี และท่านก็ภูมิใจมากที่เราสร้างมันมาได้ด้วยตัวเอง
ความคิดเห็นที่ 7
แรงบันดาลใจ = เพื่อความอยู่รอด
เริ่มจากติดลบ

ก่อนหน้านี้เคยทำงานมือปืนรับจ้าง (สรรพนาม ) สุดท้ายไม่มีใครจ้าง
ต้องคอยถามหางาน ตามหาที่ไหนมีงานบ้างใหม ผมขอเสนอตัวครับ
เเต่ก็ไม่ค่อยมี เด็กรุ่นใหม่ก็เริ่มเข้ามาตีตลาด ( เทคโนโลยีสมัยใหม่ สามารถเรียนรู้ใด้ง่ายขึ้น )
ความเก๋าเริ่มใช้ไม่ได้เเล้ว เริ่มไม่มีใครจ้าง เริ่มเเย่ลงๆๆๆ
บ้าน รถ ค่าน้ำ ไฟ บัตรเคดิต เริ่มมาหลอกหลอนก่อนนอน เเถมด้วยตอนตื่นนอน
เริ่มขายไปทีละอย่าง ค่อยๆปล่อยมันไป

จนไม่นานในคืนหนึ่ง ก่อนนอนก็ถึงบางอ้อ เกิดความคิดว่า
" ทำไมเราต้องนั่งรองานจากคนอื่นด้วยหละ ทำไมเราไม่ขึ้นมาจ่ายงานให้คนอื่นหละ "
ก็เลยมีความคิดที่จะเปิดบริษัท เพื่อหางานมา เเล้วจ่ายต่อให้มือปืนคนอื่นๆ
จุดเกิดเหตุ เกิดจากร้านลาบ ข้างทาง นั่งทาน ดื่ม กับพรรคพวกสมัยเรียนวิศวะด้วยกัน
เลยได้ความรู้เรื่องการเปิดบริษัทนั้นไม่ยากอย่างที่คิด แต่ติดที่เงิน อย่างเดียว

มาแก้กันทีละอย่าง คืนนั้นเลย ตีสอง โทรหาเพื่อนรักคนหนึ่ง บอกจุดประสงค์ให้ฟัง
แล้วก็สรุป เห้ย...กูยืมเงิน สามหมื่น จะเอาไปเปิดบริษัท เเต่ไม่มีกำหนดคืนนะ  รุ่งเช้าใด้รับเงิน
จากนั้นก็เริ่มต้นทำเป็นบริษัท โทรหาบริษัทเพื่อของานมาทำ แล้วจ่ายต่อให้กับมือปืน หรือทีมรับเหมา
แต่ทำเองซะส่วนใหญ่ เพราะไม่เหลือเงินไปจ้างเขา ที่เขามาทำให้เรา เพราะเราบอกความจริงเลย
ว่า เราจะจ่ายเงินค่าจ้างได้อีกกี่วัน บอกเขาไปตรงๆ พี่จะเอากับผมไหม เเบบต่างคนก็ต่างวัดใจกัน
บางรายก็โอเค บางรายก็บายๆ ก็ไม่ว่ากัน
ความเหนื่อยไม่เคยมี เพราะไม่มีเวลาให้เหนื่อย
กลางวันออกไปทำงานติดตั้ง ปีนเสา ดูงานผู้รับเหมา
กลางคืน นั่งทำเอกสารเพื่อส่งงาน ตกดึกนั่งทำเรื่องเอกสารบัญชี
ทำอย่างนี้มาปีกว่าๆ ถึงใด้มีลูกจ้างคนเเรก กว่าจะมีได้ คิดเเล้วคิดอีก
กลัวจะไม่มีเงินจ่ายเขา เเต่ก็ต้องเสี่ยง เพราะได้งานใหญ่มาชิ้นหนึ่ง
ต้องใช้สองทีม คนสองคน รถสองคัน ( ผมหนึ่งคนเเละมีรถเเล้วหนึ่งคันต้องหาอีกหนึ่ง)
คิดๆเเล้วคุ้ม  ก็เลยถอยกระบะมือสองมาหนึ่งคัน พร้อมรับพนักงานคนเเรกมาหนึ่งคน
จัดเเจงสอนงาน จ่ายงานแยกย้ายกันทำ

จากวันนั้นถึงวันนี้ ย่างเข้าปีที่สี่ ถามว่าดีขึ้นใหม
ตอบเลยว่าเหมือนเดิม เพียงเเต่เราเเกร่งขึ้น
มีขึ้นมีลง แต่ยังต้องสู้ เพราะยังมีลูกน้องอีก 6 ชีวิตที่ฝากความหวังใว้กับเรา
ท่องใว้อย่างเดียว " ล้มไม่ได้ เเพ้ไม่ได้ "

#  ยาวไปหน่อยนะครับ อากาศกำลังดี ฝนกำลังจะตก เลยมีอารมณ์เขียนไปเรื่อยๆ  #
ความคิดเห็นที่ 27
เรียนจบสายวิทยาศาสตร์ในแบบที่งานแย่งคนจบสายนี้
ทำไปทำมาก็ท้อในกับการทำงานมาตลอด ทำไมมันต้องเป็นริดสีดวงบ่อยขนาดนี้
กินไม่เป็นเวลา นอนไม่เป็นเวลา Life balance ไม่มี ห้าโมงเย็น คืออัลไล
บ้านก็อยากได้ แต่ก็อยากมีกิจการของตัวเอง ใจร้อนเพราะเบื่องานประจำ
ลาออกมา กู้เงินแสนนึงมาทำร้านขายปลาหมึกแห้ง อาหารทะเลของฝากจากทะเล
คิดว่าเจ๋งเพราะไม่มีใครทำ(จริงๆไม่ใช่เลย) เลยเปิดร้านสวยหรู ตั้งกระทู้พันทิพ
เป็นกระทู้แนะนำซะงั้น ได้คำแนะนำที่น่าขนลุก และก็เป็นแบบนั้นจริงๆ
เรียกได้ว่าเกือบเจ๊ง (ลองไปอ่านกระทู้ที่เค้าตั้งดูนะ) เกลียดกลิ่นปลาหมึกพักนึง

แต่ก็ตั้งแต่สติมาได้อย่างรวดเร็ว ขายตลาดนัด วิ่งขายตามที่นั่นที่นี่
เลขายก็แล้ว แจกแถมก็แล้ว ค่าเช่าก็แสนแพง เงินก็เริ่มร่อยหรอ
เลยตัดสินใจไม่เช่าต่อ ก็มาเครียดว่าจะเอาไงดี ขายของระบายออกละกัน
ได้เงินมาก้อนนึง ก็ต้องมาใช้งานรับปริญญา ก่อนไปซ้อมรับฯ ไปส่งค่าประกัน
ที่ไปรษณีย์กะน้า เห็นเค้าตั้งแผงขายของกัน เราก็เอาบ้าง สอบถาม แล้วเริ่มวางเงินวันนั้นเลย
น้าถามว่าทำไมนานจัง บอกว่า..หนูได้ที่ขายของใหม่ล่ะ
กลับมาจากรับปริญญา ก็เริ่มขายเลย ทุกอย่างเริ่มเข้าที่ แต่ก็มีปัญหาเพราะหมึกตากแดดแล้วราขึ้นบ้าง
ไม่กรอบบ้าง เสียลูกค้าบ้าง หากเค้ากลับมา ก็จะแถมให้เค้า เอาให้ดีๆฟรีๆไปเลย
ความคิดอยากทำบ้านก็ผุดขึ้นมา..เดินบัญชี ขายส่งด้วยกำไรสุทธิหักแล้วไม่ถึงห้าบาทก็เอา
ไม่หมิ่นเงินน้อย ไม่คอยละวาสนา จนเกือบๆปี เริ่มยื่นกู้เงินทำบ้าน
วิ่งส่งเอกสารธนาคารทางเดินเลื่อมเลย ญาติพี่น้อง คนรอบข้างให้กำลังใจมาตลอดว่า

-------------กู้ไม่ได้หรอกนะ บ้านน่ะ ถ้าไม่ใช่เงินเดือนประจำ----------------

ก็ได้แต่บอกเค้าว่า ------- หนูจะทำให้ดู ว่าหนูทำได้ -------
แล้วก็ทำได้ ช่วงนั้นก็จ่ายค่านั่นนี่ เกี่ยวกับบ้านเยอะแยะมากจนทุนไม่เหลือต่อทุนขายของ
เลยล้มเลิกไว้มีโอกาส ค่อยว่ากันใหม่ พอบ้านในฝันเป็นจริง ก็ตั้งกระทู้อีก
เป็นกระทู้แนะนำอีก ปลื้มปริ่ม หัวใจ เราทำได้ คนอื่นก็ทำได้ ตลอดเวลาร้องไห้ไม่รู้กี่รอบ
ให้ใครเห็นก็ไม่ได้ มีแต่คนรอจะซ้ำ มีแต่แม่ ที่เข้าใจ แม่เห็นว่ากินข้าวทั้งน้ำตามาตลอด
ดอกก็ต้องใช้ รถก็ต้องผ่อน ไหนจะบัตรอีก ตอนนี้นะเรอะ หึหึ ไม่เอาอีกละ หนี้บัตร หนี้นอกระบบ
มีแต่หนี้ธนาคารอย่างเดียว บ้านสวย แม่มีความสุข เรามีความสุข ก็ดีใจล่ะ

เวลาเจอรุ่นน้อง หรอว่าคนรู้จัก ลาออกจากงานมาขายของ มาทำนั่นนี่ของตัวเอง
เราถลาไปอุดหนุนเลย เข้าใจหัวอกเค้ามาก ว่าเค้ารู้สึกยังไง บางคนไม่ได้ขายในสิ่งที่เกี่ยวกับ
ชีวิตเรา เราก็ซื้อ อยากให้เค้าได้ไปต่อ ทุกอย่างมันสำเร็จได้ ... ถ้าอดทด และพยายาม


นี่คือบ้านหลังน้อย ที่รอคอยมาทั้งชีวิต
เป็นกำลังใจให้ทุกคน สู้เถอะ ชีวิต ใช้ชีวิต อย่าเอาชีวิตไปใช้

ความคิดเห็นที่ 15
ทำอพาร์ทเมนท์ค่ะ 60 ห้อง  กทม ย่านถนนสาธุประดิษฐ์ค่ะ

เริ่มต้นในวัย 30 กว่าจากพนักงานบริษัทเหมือนคนอื่นๆ  ความโชคดีอยู่ๆบ้านก็โดนตัดถนนค่ะ    ก็คิดจะทำอพาร์ทเมนท์ก็ทำเรื่องกู้แบงค์เลยเงินมีอยู่เท่าไหร่เอามาลงทุนก่อน    พอเริ่มเป็นรูปเป็นร่างรับคนเข้า    อุปสรรคเยอะค่ะถนนที่ตัดยังไม่เรียบร้อยทางเข้าลำบากมาก    แถมถนนตัดใหม่ยังไม่มีชื่อ   อธิบายทีกว่าจะเข้าใจก็งงกันไปหลายครั้ง     ถึงบางครั้งก็ขับรถไปรับคนที่สนใจอยากเข้ามาดู    บริการเต็มที่ค่ะ           เทคนิคหาลูกค้าของเราคือในเมื่ออพาร์ทเมนท์เพิ่งเปิดทางเข้าหาลำบาก      เราก็ผูกสัมพันธ์กับพี่วินมอเตอร์ไซด์ค่ะ  คือคันไหนพาคนมาเช่าห้องเราและมีการทำสัญญาเรียบร้อย    เราให้ห้องละ 100 บาททันทีเลย   ช่วงนั้นพี่วินขยันพาคนมากันสุดๆ    ป้ายประกาศต่างเรากวนแป้งเปียกเองเลยค่ะ   แปะทุกทีที่แปะได้       ขอบอกว่าช่วงนั้นถ้าปากเราขยายได้   คงกว้างไปถึงหูเลยค่ะ

ตอนนี้ก็ผ่านมาหลายปีแล้วค่ะ  อีกปีกว่าเราหมดหนี้แบงค์แล้ว   ไม่เป็นหนี้ซะที  และที่สำคัญตลอดที่ทำมาห้องพักเราเต็มทุกห้องทุกเดือนค่ะ  แถมมีคนมาลงชื่อจองไว้ด้วยนะคะ  

แต่ไหนๆก็เล่าแล้ว    เราจะเล่าถึงการดูแลอพาร์ทเมนท์ของเราค่ะ   รู้กันอยู่ว่าอยู่กับคนเยอะๆ    ปัญหาร้อยแปด   แต่เราทำด้วยใจรักค่ะเรารักทุกอย่าง   รักคนเช่าทุกคนเหมือนน้องดูแลกันไป   เราคิดว่าเราเหมือนพี่สาวของทุกคนไม่เคยคิดว่าเราเป็นเจ้าของต้องทำตัวเหนือกว่า    คิดว่าไม่มีเค้าเราก็อยู่ไม่ได้    ปีใหม่เราจะมีของขวัญแจกทุกห้องค่ะ   ไม่มีค่าอะไรมากแต่มาจากใจ   เพราะฉะนั้นเราก็จะได้ขนม จากน้องๆที่กลับบ้านมา   ปฎิทิน   ข้าวสาร ขนุนมาเป็นลูกเลยค่ะ      สนุกสนานกันไปอวยพรกันไป    มีแต่ความสุข

สงการนต์เราเอาถังน้ำไปตั้งหน้าตึกเลยค่ะ    เปิดน้ำไว้ใครอยากเล่นเชิญเลย   บางทีเราก็เล่นด้วยบางปี  เล่น 3 วัน    ค่าน้ำเพิ่มมาไม่สนค่ะอยากให้ทุกคนสนุก

ถ้าถามว่าเราจ้างใครดูแลตึกเวลาอะไรเสีย  อะไรต้องซ่อมและเป็นบ่อยมากกก    ขอบอกว่าในเมื่อเรายังผ่อนแบงค์อยู่ภาระมี  ภาษีก็เยอะ    เราทำกับแฟน 2คนค่ะ   โชคดีที่แฟนซ่อมได้ทุกอย่าง    เราทำเองตั้งแต่ล้างห้องน้ำ   ทาสี   คนย้ายออกเราทำเองกัน2คนค่ะ     ห้องต้องสวยทาสีใหม่   แอร์เราก็ล้างเองนะคะ    คนใหม่ที่มาอยู่ต้องประทับใจค่ะ      ห้องไหนที่แจ้งว่าอะไรเสีย    ถ้าตอนนั้นว่างทำเลยค่ะ    

เพราะฉะนั้น  น้องๆที่อยู่ด้วยกันก็อยู่ด้วยกันนานๆ   จนบางคนมีลูกแถมแม่เราเป็นคนตั้งชื่อลูกให้ด้วยค่ะ   บางคนย้ายออกไปแล้วก็กลับมาเที่ยวไปเที่ยวด้วยกันอีก   เป็นเพื่อนกันไป     และที่เรารู้สึกประทับใจที่สุดคือ   ตึกเราน้ำท่วมค่ะ   ท่อแตกบนชั้น5  น้ำท่วมทางเดินสูงถึงตาตุ่ม   ปรากฎว่าน้องๆออกมาช่วยกันค่ะ   โกยน้ำทิ้งกันจนเสร็จ   ยิ้มแย้มแจ่มใส   รู้จักกันไประหว่างห้อง    

ปัญหาคนเช่าแย่ๆ  มีมั้ย   ตอบว่ามีค่ะ   ก็ใช้เหตุผลคุยการที่เราดีด้วยเค้าก็เกรงใจค่ะ    คุยกันได้    แต่เราจะเลือกรับคนเช่า  ถ้าดูแล้วอนาคตจะก่อปัญหา   เราให้ห้องว่างดีกว่าค่ะ   อ้อ เรามีเทคนิครับคนนะคะ   เผื่อเป็นแนวทางใครสนใจได้    เวลาคุยเราจะคุยแนวพี่คุยกับน้อง  จ๊ะจ๋ากันไปให้เค้ารู้สึกเชื่อใจ  เรียกแทนตัวเองว่าพี่ตลอด  

ก็นี่แหละค่ะ   การทำอพาร์ทเมนท์แบบของเรา   ก็ทำด้วยใจรักเท่านั้นแหละค่ะ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่