#FilmzlapReview
Transformers : Age of Extinction "มหาวิบัติยุคสูญพันธ์"
มหากาพย์หุ่นยักษ์ Tie-In.... สิ้นยุคทรานสฟอร์เมอร์
เรตติ้ง : 3.5/5
ว่าจะไม่ทำ ว่าจะไม่ทำ แต่ในที่สุดป๋าไมเคิล เบย์ก็กลืนน้ำลายตัวเองและเข็นภาค 4 ออกมาขายกันต่อ ในภาคที่แม้ทุนสร้างจะน้อยกว่าภาคที่แล้ว แต่อัตราการจัดเต็มของป๋าก็ใส่มาแทบทำให้คิดว่า "นี่คงเป็นภาคสุดท้ายของป๋าแล้ว" (แต่เปล่า เพราะหนังยังมีภาค 5 ตามมาในปี 2016 อีก)
ไมเคิล เบย์ยังคงตอกย้ำภาพลักษณ์การเป็นผู้กำกับงานประเภท "ระเบิดภูเขาเผากระท่อม" ได้ตรงคอนเซ็ปต์อย่างต่อเนื่อง ซึ่งมาในภาคนี้เห็นได้ชัดว่า ไม่มีอะไรหยุดป๋าได้แล้วจริงๆ แฟนหนังก็เลยจะได้จัดหนักจัดเต็มไปกับแอ็คชั่นมันส์ๆของหนังแบบนันสตอปฮิตส์กันอย่างหนักหน่วงในภาคนี้ เรียกได้ว่าสามภาคที่แล้วรวมกันมันส์อลังการแค่ไหน ภาคนี้ป๋าพร้อมจะจัดให้หนักข้อมากขึ้นกว่านั้น
แต่ถ้าพูดในแง่ของตัวบทและเนื้อเรื่อง เบย์ก็ยังเป็นเบย์ ที่เทน้ำหนักไปให้ความสำคัญในเรื่องของการต่อสู้และเนื้องานแอ็คชั่น จนลืมใส่ใจเทความสำคัญให้กับการเขียนบทให้ออกมาแตกต่างจากเส้นเรื่องก่อนๆ หนังเลยขาดความน่าดึงดูดใจในตัวของเนื้อเรื่อง และเหมือนจะย่ำอยู่กับที่ไม่ไปไหนแม้แต่น้อย เรื่องราวดูไม่มีอะไรดึงดูด หรือทำให้เรารู้สึกเข้าไปอินกับเนื้อหามากเท่าที่ควร ทั้งนี้ก็ยังคงเน้นดราาม่า พ่อลูก และเรื่องราวความผูกพันระหว่างตัวละครมนุษย์กับหุ่นยนต์ แต่กลายเป็นว่า อารมณ์ต่างๆออกมาแห้งแล้งมากๆ เพราะบทพาไปไม่สุดทาง จังหวะการตัดไปมาระหว่างภาคมนุษย์และหุ่นยนต์ก็ดูจะไม่สมูธสักเท่าไหร่ หนังโดด จังหวะโดด เลยหมดกัน
แต่ก็อย่างว่า จะหวังเนื้อหาในส่วนนี้ของงานเบย์ในยุคหลังๆก็ใช่ที่ เพราะเอาจริงๆ เราจะเน้นไปมองที่มุมมองในการถ่ายทอดเรื่องราวแอ็คชั่นมากกว่าที่ถือเป็นซิกเนเจอร์ของเบย์มาโดยตลอด อย่างที่บอกไปข้างต้นก็คือ หนังสามารถตอบโจทย์คอหนังที่ต้องการเห็นความวินาศสันตะโร การทำลายล้างขั้นสูง ภาพลักษณ์ของมุมมองที่หนังมอบให้ในระดับที่เหนือชั้นขึ้นไปกว่าภาคก่อนๆ แต่น่าเสียดายที่เบย์เลือกใส่ซีเควนส์แอ็คชั่นต่างๆเข้ามาในปริมาณที่ "เยอะเกินเหตุ" ไปนิด จึงทำให้ความเยิ่นเย้อของมันอาจจะทำให้ผู้ชมรู้สึกอิ่ม จนเอียนขึ้นอืดไปในช่วงหลังๆ ไอ้ที่ว่าจะพีคก็เลยไม่พีคเท่าที่ควร เพราะหนังยัดเข้ามาจนไม่รู้สึกว่า อันไหนมันคือไคลแม็กซ์ที่พีคจริงๆ และน่าเสียดายตรงที่แม้จะสู้เยอะกันแค่ไหน ก็ไม่มีฉากใด เป็นฉากจำให้กลับไปนึกถึงต่อนอกโรงเลย
ในภาคของนักแสดง มาร์ค วอลเบิร์ก เด่นกว่าหุ่นอย่างเห็นได้ชัด เพราะบทเค้ดของมาร์คถือเป็นกุญแจสำคัญในการเปลี่ยนแปลงของเรื่องราว ซึ่งเขาก็สามารถถ่ายทอดตัวแคแรกเตอร์ออกมาได้น่าสนใจ ถูกจังหวะ และงัดเอาศักยภาพทางการแสดงมาใช้ได้อย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นซีนดราม่า กวนส้น หรือในพาร์ทต่อสู้ต่างๆ มาร์คสามาถแบกรับแทนตัวละครอื่นๆที่ดูไม่มีเสน่ห์ได้อย่างน่าประทับใจ ส่วนนิโคล่า เพลท์ซและ แจ็ค รีเนอร์ ที่มาในบทคู่รักกันนั้น ก็มีที่ทางในแบบของพวกเขาที่ค่อนข้างโอเค เพียงแต่ว่าหนังไม่ได้งัดเอาอะไรของพวกเขาออกมาให้เราได้เห็นแบบโดดเด่นเลย (ไม่เหมือนมีแกน ฟ็อกซ์หรือไชอา ลาเบิฟ ที่ทำให้เราเห็นการพัฒนาตัวละครได้อย่างชัดเจน)
จะว่าหนังสนุก ก็สนุกในสไตล์เบย์ เพราะใครที่อยากเห็น Transformers ที่มันส์ยกระดับขึ้นไปอีกขั้น คุณจะได้เต็มอิ่มอย่างแน่นอน งานสร้างต่างๆออกแบบมาได้ยอดเยี่ยม อลังการ ภาพวิชวลที่เห็น ถือเป็นความแปลกใหม่ในด้านงานบล็อกบัสเตอร์ (ที่อาจจะเคยเห็นบางส่วนนิดๆหน่อยๆมาจากงานเบย์ชิ้นก่อนๆแล้ว) เบย์ถึงขนาดจำลองฉากใหญ่ในฮ่องกงเอาไว้ถ่ายทำกันจริงๆ ซึ่งถือเป็นความคุ้มค่าที่ทำให้ภาพต่างๆออกมาดูสมจริง และระเบิดทำลายล้างกันอิ่มหมีพลีมันได้แบบเรียลๆ โดยไม่ต้องพึ่งซีจีให้มากนัก
ส่วนงานด้านภาพ 3D นั้น แนะนำว่าให้ชมแบบ Imax จะดีที่สุด เพราะหนังเป็นงานเรื่องแรกของโลกที่ถ่ายทำด้วยกล้อง Imax Digital 3D True Stereo สเกลที่ได้เห็นบนจอไอแม็กซ์ หรือรายละเอียดต่างๆ ก็จะพิเศษกว่าที่คุณเคยดูหนังเรื่องไหนๆมา ถือเป็นความได้เปรียบของการดู Transformes ในโรงไอแม็กซ์ที่จะทำให้คุณสนุกสนานกับเรื่องราวของหนังในฉากแอ็คชั่นมันส์ระห่ำเมืองมากยิ่งขึ้น
มีหลายจุดที่น่าติในงานเบย์ชิ้นนี้ แต่งานด้านโปรดักชั่นและภาพ ก็ยังสามารถเอามากลบข้อติดังกล่าวได้อยู่ และถือเป็นงานบันเทิงประจำซัมเมอร์ปีนี้ตอบสนองความต้องการของนักดูหนังที่อยากเห็นอะไรแปลกใหม่และตื่นตาได้ดีจริงๆ ถ้าไม่วัดว่าหนังจะเป็นผลงานมหากาพย์การโปรโมตสินค้าแบบ Tie In ไปเยอะสักหน่อย เพราะไม่ว่าจะสู้กันมันส์วินาศขนาดไหน ก็ยังมีพื้นที่ให้แบรนด์ต่างๆเข้ามามีส่วนร่วมกันอย่างต่อเนื่อง จนเริ่มเอียนกันไปข้าง
ในแง่ของความชอบส่วนตัวแล้ว ผมยังรู้สึกว่าองค์ประกอบโดยรวมของหนัง ยังดรอปจากภาคก่อนๆอยู่พอสมควร คืออาจจะสนุกมันส์บันเทิงเริงระห่ำก็จริง แต่เนื้อในมันกลวงๆ ทำให้ไม่รู้สึกอิน และไม่ฟินได้ตลอด ความยาวของหนังออกแนวทรมานมากกว่าที่จะให้ร่วมลุ้นไปกับหนังได้จนจบ แต่ถึงกระนั้นก็ต้องพิสูจน์ด้วยตัวคุณเองครับ ว่าความยาวของหนังจะเป็นอุปสรรคต่อความมันส์เฉพาะตัวของคุณหรือไม่





ติดตามข่าวสารภาพยนตร์และพูดคุยกันต่อได้ที่
http://facebook.com/filmzlapsocial
### ดูมาแล้ว !! Transformers : Age of Extinction มหากาพย์หุ่นยักษ์ Tie-In...สิ้นยุคทรานสฟอร์เมอร์ [ไม่สปอยล์]
Transformers : Age of Extinction "มหาวิบัติยุคสูญพันธ์"
มหากาพย์หุ่นยักษ์ Tie-In.... สิ้นยุคทรานสฟอร์เมอร์
เรตติ้ง : 3.5/5
ว่าจะไม่ทำ ว่าจะไม่ทำ แต่ในที่สุดป๋าไมเคิล เบย์ก็กลืนน้ำลายตัวเองและเข็นภาค 4 ออกมาขายกันต่อ ในภาคที่แม้ทุนสร้างจะน้อยกว่าภาคที่แล้ว แต่อัตราการจัดเต็มของป๋าก็ใส่มาแทบทำให้คิดว่า "นี่คงเป็นภาคสุดท้ายของป๋าแล้ว" (แต่เปล่า เพราะหนังยังมีภาค 5 ตามมาในปี 2016 อีก)
ไมเคิล เบย์ยังคงตอกย้ำภาพลักษณ์การเป็นผู้กำกับงานประเภท "ระเบิดภูเขาเผากระท่อม" ได้ตรงคอนเซ็ปต์อย่างต่อเนื่อง ซึ่งมาในภาคนี้เห็นได้ชัดว่า ไม่มีอะไรหยุดป๋าได้แล้วจริงๆ แฟนหนังก็เลยจะได้จัดหนักจัดเต็มไปกับแอ็คชั่นมันส์ๆของหนังแบบนันสตอปฮิตส์กันอย่างหนักหน่วงในภาคนี้ เรียกได้ว่าสามภาคที่แล้วรวมกันมันส์อลังการแค่ไหน ภาคนี้ป๋าพร้อมจะจัดให้หนักข้อมากขึ้นกว่านั้น
แต่ถ้าพูดในแง่ของตัวบทและเนื้อเรื่อง เบย์ก็ยังเป็นเบย์ ที่เทน้ำหนักไปให้ความสำคัญในเรื่องของการต่อสู้และเนื้องานแอ็คชั่น จนลืมใส่ใจเทความสำคัญให้กับการเขียนบทให้ออกมาแตกต่างจากเส้นเรื่องก่อนๆ หนังเลยขาดความน่าดึงดูดใจในตัวของเนื้อเรื่อง และเหมือนจะย่ำอยู่กับที่ไม่ไปไหนแม้แต่น้อย เรื่องราวดูไม่มีอะไรดึงดูด หรือทำให้เรารู้สึกเข้าไปอินกับเนื้อหามากเท่าที่ควร ทั้งนี้ก็ยังคงเน้นดราาม่า พ่อลูก และเรื่องราวความผูกพันระหว่างตัวละครมนุษย์กับหุ่นยนต์ แต่กลายเป็นว่า อารมณ์ต่างๆออกมาแห้งแล้งมากๆ เพราะบทพาไปไม่สุดทาง จังหวะการตัดไปมาระหว่างภาคมนุษย์และหุ่นยนต์ก็ดูจะไม่สมูธสักเท่าไหร่ หนังโดด จังหวะโดด เลยหมดกัน
แต่ก็อย่างว่า จะหวังเนื้อหาในส่วนนี้ของงานเบย์ในยุคหลังๆก็ใช่ที่ เพราะเอาจริงๆ เราจะเน้นไปมองที่มุมมองในการถ่ายทอดเรื่องราวแอ็คชั่นมากกว่าที่ถือเป็นซิกเนเจอร์ของเบย์มาโดยตลอด อย่างที่บอกไปข้างต้นก็คือ หนังสามารถตอบโจทย์คอหนังที่ต้องการเห็นความวินาศสันตะโร การทำลายล้างขั้นสูง ภาพลักษณ์ของมุมมองที่หนังมอบให้ในระดับที่เหนือชั้นขึ้นไปกว่าภาคก่อนๆ แต่น่าเสียดายที่เบย์เลือกใส่ซีเควนส์แอ็คชั่นต่างๆเข้ามาในปริมาณที่ "เยอะเกินเหตุ" ไปนิด จึงทำให้ความเยิ่นเย้อของมันอาจจะทำให้ผู้ชมรู้สึกอิ่ม จนเอียนขึ้นอืดไปในช่วงหลังๆ ไอ้ที่ว่าจะพีคก็เลยไม่พีคเท่าที่ควร เพราะหนังยัดเข้ามาจนไม่รู้สึกว่า อันไหนมันคือไคลแม็กซ์ที่พีคจริงๆ และน่าเสียดายตรงที่แม้จะสู้เยอะกันแค่ไหน ก็ไม่มีฉากใด เป็นฉากจำให้กลับไปนึกถึงต่อนอกโรงเลย
ในภาคของนักแสดง มาร์ค วอลเบิร์ก เด่นกว่าหุ่นอย่างเห็นได้ชัด เพราะบทเค้ดของมาร์คถือเป็นกุญแจสำคัญในการเปลี่ยนแปลงของเรื่องราว ซึ่งเขาก็สามารถถ่ายทอดตัวแคแรกเตอร์ออกมาได้น่าสนใจ ถูกจังหวะ และงัดเอาศักยภาพทางการแสดงมาใช้ได้อย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นซีนดราม่า กวนส้น หรือในพาร์ทต่อสู้ต่างๆ มาร์คสามาถแบกรับแทนตัวละครอื่นๆที่ดูไม่มีเสน่ห์ได้อย่างน่าประทับใจ ส่วนนิโคล่า เพลท์ซและ แจ็ค รีเนอร์ ที่มาในบทคู่รักกันนั้น ก็มีที่ทางในแบบของพวกเขาที่ค่อนข้างโอเค เพียงแต่ว่าหนังไม่ได้งัดเอาอะไรของพวกเขาออกมาให้เราได้เห็นแบบโดดเด่นเลย (ไม่เหมือนมีแกน ฟ็อกซ์หรือไชอา ลาเบิฟ ที่ทำให้เราเห็นการพัฒนาตัวละครได้อย่างชัดเจน)
จะว่าหนังสนุก ก็สนุกในสไตล์เบย์ เพราะใครที่อยากเห็น Transformers ที่มันส์ยกระดับขึ้นไปอีกขั้น คุณจะได้เต็มอิ่มอย่างแน่นอน งานสร้างต่างๆออกแบบมาได้ยอดเยี่ยม อลังการ ภาพวิชวลที่เห็น ถือเป็นความแปลกใหม่ในด้านงานบล็อกบัสเตอร์ (ที่อาจจะเคยเห็นบางส่วนนิดๆหน่อยๆมาจากงานเบย์ชิ้นก่อนๆแล้ว) เบย์ถึงขนาดจำลองฉากใหญ่ในฮ่องกงเอาไว้ถ่ายทำกันจริงๆ ซึ่งถือเป็นความคุ้มค่าที่ทำให้ภาพต่างๆออกมาดูสมจริง และระเบิดทำลายล้างกันอิ่มหมีพลีมันได้แบบเรียลๆ โดยไม่ต้องพึ่งซีจีให้มากนัก
ส่วนงานด้านภาพ 3D นั้น แนะนำว่าให้ชมแบบ Imax จะดีที่สุด เพราะหนังเป็นงานเรื่องแรกของโลกที่ถ่ายทำด้วยกล้อง Imax Digital 3D True Stereo สเกลที่ได้เห็นบนจอไอแม็กซ์ หรือรายละเอียดต่างๆ ก็จะพิเศษกว่าที่คุณเคยดูหนังเรื่องไหนๆมา ถือเป็นความได้เปรียบของการดู Transformes ในโรงไอแม็กซ์ที่จะทำให้คุณสนุกสนานกับเรื่องราวของหนังในฉากแอ็คชั่นมันส์ระห่ำเมืองมากยิ่งขึ้น
มีหลายจุดที่น่าติในงานเบย์ชิ้นนี้ แต่งานด้านโปรดักชั่นและภาพ ก็ยังสามารถเอามากลบข้อติดังกล่าวได้อยู่ และถือเป็นงานบันเทิงประจำซัมเมอร์ปีนี้ตอบสนองความต้องการของนักดูหนังที่อยากเห็นอะไรแปลกใหม่และตื่นตาได้ดีจริงๆ ถ้าไม่วัดว่าหนังจะเป็นผลงานมหากาพย์การโปรโมตสินค้าแบบ Tie In ไปเยอะสักหน่อย เพราะไม่ว่าจะสู้กันมันส์วินาศขนาดไหน ก็ยังมีพื้นที่ให้แบรนด์ต่างๆเข้ามามีส่วนร่วมกันอย่างต่อเนื่อง จนเริ่มเอียนกันไปข้าง
ในแง่ของความชอบส่วนตัวแล้ว ผมยังรู้สึกว่าองค์ประกอบโดยรวมของหนัง ยังดรอปจากภาคก่อนๆอยู่พอสมควร คืออาจจะสนุกมันส์บันเทิงเริงระห่ำก็จริง แต่เนื้อในมันกลวงๆ ทำให้ไม่รู้สึกอิน และไม่ฟินได้ตลอด ความยาวของหนังออกแนวทรมานมากกว่าที่จะให้ร่วมลุ้นไปกับหนังได้จนจบ แต่ถึงกระนั้นก็ต้องพิสูจน์ด้วยตัวคุณเองครับ ว่าความยาวของหนังจะเป็นอุปสรรคต่อความมันส์เฉพาะตัวของคุณหรือไม่
ติดตามข่าวสารภาพยนตร์และพูดคุยกันต่อได้ที่
http://facebook.com/filmzlapsocial