วันนี้ที่สนามปั่นสุวรรณภูมิ ผมเจอน้องคนนึงประสบอุบัติเหตุ ตรงกิโลที่ 12.25 น้องล้มศีรษะกระแทกพื้น ก็เข้าไปตรวจดูการตอบสนองเบื้องต้น รู้สึกตัวปรกติ แขนขาตอบสนองได้ สักพัก มีพี่อีกคนเป็นอาสาร่วมกตัญญูปั่นผ่านมา ก็มาช่วยทำแผลและดูแลต่อ
ประเด็นเรื่องนี้มีอยู่ว่า....
เรื่องที่ 1
ผมมาถึงตรงที่น้องประสบอุบัติเหตุ ประมาณ 17:25-17:30 อีกประมาณ 15 นาที พี่อาสามาช่วยดู สอบถามคุณพ่อคุณแม่ ทราบว่าแจ้งไปที่ศูนย์ตั้งแต่ก่อนผมมา ก็คือประมาณ 17:20 รถมาถึง 18:40
ถ้าเป็นโรคหัวใจหรือ Heat Stroke คงไม่รอดแน่ๆ
ระหว่างที่รอรถพยาบาล มีรถตรวจพื้นที่ผ่านมา แต่ไม่มีอุปกรณ์อะไรเลย แต่พอรถพยาบาลมาเท่านั้นแหละ รถตรวจการณ์มาอีก 6 คัน แหมมมม จะเอามาทำไมเยอะแยะฟระ เอาให้เร็วดีกว่าไหม
เรื่องที่ 2
ระหว่างที่รอๆ ก็มีคนปั่นผ่านมาเรื่อยๆ บางคนเห็นแล้วเบรค แม้จะด้วยความปรารถนาดี ก็เป็นความเสี่ยงมากๆ นะครับ การเบรคกะทันหันในช่วงเวลาที่ถนนเปียกมากๆ แล้วคนปั่นเยอะๆ นี่ อาจจะเกิดอุบัติเหตุซ้ำซ้อนได้ ต้องระวัง
เรื่องที่ 3
น้องคนนี้ไม่ได้ใส่หมวกนิรภัย ถามว่าจำเป็ฯต้องใส่ทุกครั้งไหม
เอาจริงๆ ผมว่าไม่ เพราะผมก็ไม่ใส่บ่อยๆ แต่ว่าการปั่นต้องมีความระมัดระวังมากๆ บริเวณโค้ง กิโลที่ 12.25 มีลักษณะเป็นทางตรงยาว แล้วโค้งขวา แต่ถนนเอียงไปด้านซ้าย ถ้าไม่ได้ชะลอมา ก็มีสิทธิหลุดได้
ดังนั้นหากไม่ได้ใส่หมวก ก็ต้องรู้ทางและรู้สภาพถนนพอสมควร
ปัญหาการกู้ภัยในพื้นที่สนามบิน มีปัญหามาตั้งแต่อุบัติเหตุที่ผมประสบเอง เมื่อ 5 ปีก่อนแล้ว ผมติดอยู่ในรถ 2 ชั่วโมง ทั้งที่ศูนย์กู้ภัยของสนามบินห่างไปไม่กี่กิโล แต่ไม่ยอมเอาอุปกรณ์มาให้ใช้ ทำให้เจ้าหน้าที่ทั้งดับเพลิงและกู้ภัยที่มา ไม่มีอุปกรณ์ตัดถ่าง และต้องวิ่งกลับไปเอาจนผมติดอยู่สองชั่วโมงนั่นแหละ
ครั้งนี้ก็เช่นเดียวกัน รถพยาบาลที่มาเป็นของมูลนิธิปอเต็กตึ้ง ไม่ใช่ของกู้ภัยการท่า และต้องรอเกือบชั่วโมง เพื่อประสานให้รถของปอเต็กตึ้งมา
ถามว่าการท่าทำอะไร ทำไมไม่ยอมให้รถกู้ภัยของการท่า ซึ่งมีเจ้าหน้าที่เวรประจำมาช่วยเหลือ จะบอกว่าต้องสำรองให้รันเวย์ ก็ไม่ใช่ เพราะในรันเวย์ก็มีอีกชุดนึง
สุดท้ายก็เตือนไว้ครับ ว่าต้องระวังตัวเองกันมากๆ ครับ การท่าไม่พร้อมที่จะดูแลชีวิตเราเท่าไร
อุปกรณ์เซฟตี้ถ้าซื้อได้ก็ซื้อครับ และระวังเพื่อนร่วมทางมากๆ
ขอบคุณครับ
ปั่นสุวรรณภูมิช่วงนี้ ระวังอุบัติเหตุด้วยครับ
วันนี้ที่สนามปั่นสุวรรณภูมิ ผมเจอน้องคนนึงประสบอุบัติเหตุ ตรงกิโลที่ 12.25 น้องล้มศีรษะกระแทกพื้น ก็เข้าไปตรวจดูการตอบสนองเบื้องต้น รู้สึกตัวปรกติ แขนขาตอบสนองได้ สักพัก มีพี่อีกคนเป็นอาสาร่วมกตัญญูปั่นผ่านมา ก็มาช่วยทำแผลและดูแลต่อ
ประเด็นเรื่องนี้มีอยู่ว่า....
เรื่องที่ 1
ผมมาถึงตรงที่น้องประสบอุบัติเหตุ ประมาณ 17:25-17:30 อีกประมาณ 15 นาที พี่อาสามาช่วยดู สอบถามคุณพ่อคุณแม่ ทราบว่าแจ้งไปที่ศูนย์ตั้งแต่ก่อนผมมา ก็คือประมาณ 17:20 รถมาถึง 18:40
ถ้าเป็นโรคหัวใจหรือ Heat Stroke คงไม่รอดแน่ๆ
ระหว่างที่รอรถพยาบาล มีรถตรวจพื้นที่ผ่านมา แต่ไม่มีอุปกรณ์อะไรเลย แต่พอรถพยาบาลมาเท่านั้นแหละ รถตรวจการณ์มาอีก 6 คัน แหมมมม จะเอามาทำไมเยอะแยะฟระ เอาให้เร็วดีกว่าไหม
เรื่องที่ 2
ระหว่างที่รอๆ ก็มีคนปั่นผ่านมาเรื่อยๆ บางคนเห็นแล้วเบรค แม้จะด้วยความปรารถนาดี ก็เป็นความเสี่ยงมากๆ นะครับ การเบรคกะทันหันในช่วงเวลาที่ถนนเปียกมากๆ แล้วคนปั่นเยอะๆ นี่ อาจจะเกิดอุบัติเหตุซ้ำซ้อนได้ ต้องระวัง
เรื่องที่ 3
น้องคนนี้ไม่ได้ใส่หมวกนิรภัย ถามว่าจำเป็ฯต้องใส่ทุกครั้งไหม
เอาจริงๆ ผมว่าไม่ เพราะผมก็ไม่ใส่บ่อยๆ แต่ว่าการปั่นต้องมีความระมัดระวังมากๆ บริเวณโค้ง กิโลที่ 12.25 มีลักษณะเป็นทางตรงยาว แล้วโค้งขวา แต่ถนนเอียงไปด้านซ้าย ถ้าไม่ได้ชะลอมา ก็มีสิทธิหลุดได้
ดังนั้นหากไม่ได้ใส่หมวก ก็ต้องรู้ทางและรู้สภาพถนนพอสมควร
ปัญหาการกู้ภัยในพื้นที่สนามบิน มีปัญหามาตั้งแต่อุบัติเหตุที่ผมประสบเอง เมื่อ 5 ปีก่อนแล้ว ผมติดอยู่ในรถ 2 ชั่วโมง ทั้งที่ศูนย์กู้ภัยของสนามบินห่างไปไม่กี่กิโล แต่ไม่ยอมเอาอุปกรณ์มาให้ใช้ ทำให้เจ้าหน้าที่ทั้งดับเพลิงและกู้ภัยที่มา ไม่มีอุปกรณ์ตัดถ่าง และต้องวิ่งกลับไปเอาจนผมติดอยู่สองชั่วโมงนั่นแหละ
ครั้งนี้ก็เช่นเดียวกัน รถพยาบาลที่มาเป็นของมูลนิธิปอเต็กตึ้ง ไม่ใช่ของกู้ภัยการท่า และต้องรอเกือบชั่วโมง เพื่อประสานให้รถของปอเต็กตึ้งมา
ถามว่าการท่าทำอะไร ทำไมไม่ยอมให้รถกู้ภัยของการท่า ซึ่งมีเจ้าหน้าที่เวรประจำมาช่วยเหลือ จะบอกว่าต้องสำรองให้รันเวย์ ก็ไม่ใช่ เพราะในรันเวย์ก็มีอีกชุดนึง
สุดท้ายก็เตือนไว้ครับ ว่าต้องระวังตัวเองกันมากๆ ครับ การท่าไม่พร้อมที่จะดูแลชีวิตเราเท่าไร
อุปกรณ์เซฟตี้ถ้าซื้อได้ก็ซื้อครับ และระวังเพื่อนร่วมทางมากๆ
ขอบคุณครับ