ต้องขอออกตัวก่อนว่า เจ้าของกระทู้อายุ 23 กำลังจะ 24 ปีนี้ค่ะ จบมหาลัยมาแล้ว 1 ปี
ที่ตั้งกระทู้นี้ขึ้นมา ไม่ได้จะโอ้อวดแต่อย่างใด แค่อยากจะแชร์ประสบการณ์การเก็บเงิน ให้เพื่อนๆได้นำไปใช้เท่านั้น
เป็นคนเล่าอะไรไม่ค่อยเก่ง ก็ขอเริ่มเลยละกันนะค่ะ .....................
ที่ตั้งกระทู้นี้ขึ้นมา สืบเนื่องเจ้าของกระทู้ได้ไปนัดเจอกับเหล่าแก๊งค์เพื่อนๆสมัยเรียน
ก็พูดคุย สนุกสนาน สอบถามสารทุกข์สุขดิบกันปกติ เม้าท์มอยกันตามประสาเพื่อนๆที่ไม่ได้เจอกันนาน
จนเกิดคำถามๆหนึ่งขึ้นระหว่างสนทนาว่า
"เฮ้ย พวกแกมีเงินเก็บกันเท่าไหร่แล้ววะ???" (เป็นคำถามที่จี๊ดใจกันมากใช่ไหมละ 555)
ซึ่งแต่ละคนตอบว่า
"กรุไม่มีตังเก็บเลยวะ" / "แค่จะใช้ให้พอต่อเดือนยังไม่ได้เลยวะ" / "กรุหรอ เดือนชนเดือนวะ"
ตลอดที่ฟังคำตอบของเพื่อนๆนั้น ก็แอบคิดในใจว่าทำไมเรามีเงินเก็บอยู่คนเดียวเลยวะ แล้วกรุจะตอบยังไงดีวะ????
จนถึงตาเจ้าของกระทู้จะต้องตอบ......อ้ำๆอึ้งๆไปสักพัก "เอิ่มมมม เกือบๆ 1แสน" (จริงๆมีมากกว่านั้นนะค่ะ)
เพื่อนๆก็
"โหหหหหหห....แกทำไงวะ" / "ทำงานมากี่ปีละวะ" / "เก็บเงินไงวะ" / "เงินเก็บตอนนี้มีเท่าไหร่ละ" / "เงินเดือนแกเท่าไหร่วะ"
คำถามตามมาอีกมากมาย ก็ตอบเพื่อนๆไปตามตรงค่ะ ว่าเราเก็บเงินยังไง ใช้ชีวิตยังไง
ก็แอบปลื้มค่ะ ที่เพื่อนๆจะเอาเราเป็นตัวอย่างที่ดีในการเก็บเงิน (ยิ้มกรุ่มกริ่มเลย 555)
ก็เลยจะมาแชร์ให้เพื่อนๆฟังกันนะค่ะ ว่าเจ้าของกระทู้มีวิธีการเก็บเงินอย่างไร ไม่ได้คิดขึ้นมาเองนะค่ะ
อ่านในหนังสือเรื่องการออมแล้วนำมาประยุกต์ใช้
แต่ขอย้อนอดีตสักหน่อย เพื่อให้ได้ทราบประวัติชีวิตคร่าวๆกันก่อนว่าเคยเป็นคนใช้เงินเก่งแค่ไหน......
เจ้าของกระทู้เป็นลูกคนจีนก็จะได้เต๊ะเอียทุกๆปี ได้ตั้งแต่จำความได้จนเรียนจบมหาลัย
แต่จะได้ใช้เต๊ะเอียจริงๆก็ช่วงมัธยมปลายเป็นต้นมาจนจบมหาลัย ซึ่งเงินเต๊ะเอียนั้นได้มาก็ไม่ใช่น้อยๆเลย
แต่ว่าก็มีเท่าไหร่ ได้มาเท่าไหร่ก็ใช้หมด ไม่เคยเหลือเลย
ก็เป็นชีวิตวัยรุ่นทั่วๆไปอยากเที่ยว อยากมี อยากได้ หาตังไม่ได้ (หาได้แต่จากพ่อแม่เนี่ยะแหละ) และใช้เงินเป็นอย่างเดียว
แต่มีสิ่งหนึ่งที่พ่อแม่จะสอนค่ะ จริงๆไม่เชิงสอนหรอกค่ะ คือ เวลาเราไปขอเงินเขาจะไปเที่ยว ไปซื้ออะไรนอกจากเรื่องเรียน
เขาก็จะบอกว่าอยากได้อะไรให้เก็บตังซื้อเอง เขาจะช่วยเหลือแต่เฉพาะเรื่องเรียนเท่านั้น
ซึ่งเวลาเจ้าของกระทู้อยากได้เสื้อผ้า รองเท้า กระเป๋า เครื่องสำอางค์ เที่ยว ของใช้ส่วนตัวที่อยากได้ อยากมี ที่นอกจากเรื่องเรียน
ไม่เคยขอพ่อแม่เพิ่มเลย ก็จะเก็บเงินซื้อเองตลอด (เพราะขอก็ไม่เคยได้) รวมถึงเอาเงินเต๊ะเอียก้อนนี้มาใช้จ่ายฟุ่มเฟือยเรื่อยมา
จนเข้ามหาลัยได้เดือนละ 5,000 บาท ไม่รวมค่าเช่าหอนะค่ะ พ่อจ่ายต่างหาก
เป็นเงินที่ใช้จ่ายส่วนตัวเน้นๆเลย 5,000 บาท ทั้งๆที่เราก็ได้เต๊ะเอียด้วยนะค่ะ แต่ไม่เคยพอเลย ขอเพิ่มเดือนละ 1,000-2,000 บาทตลอด
ตอนนั้นเราคิดว่าน้อยนะค่ะ 5,000 บาท อยู่มหาลัยนี่ชีวิตลัลล้า อิสระมาก ก็ใช้แบบตามใจมาตลอด
(เฮ้อออ คิดแล้วแบบว่า..........อยากย้อนเวลากลับไปเก็บเงินจัง)
จนเรียนจบมหาลัย เราก็ไม่มีเงินเก็บสักบาทเลย มีเงินเก็บ = 000000000000000000000
จนวันหนึ่งถึงเวลาออกสู่โลกกว้าง เรียนจบแล้วก็ต้องทำงาน ซึ่งเราก็ได้ไปเป็นวิศวกรโรงงานแห่งหนึ่ง
รายได้รวมสวัสดิการต่างๆต่อเดือน แล้วประมาณ 20k-23k (ถ้าขยันทำโอทีนะ) ต้องไปเช่าหออยู่
จุดเปลี่ยนชีวิตอยู่ตรงนี้เนี่ยะแหละค่ะ
ค่าใช้จ่ายทุกอย่างเราต้องรับผิดชอบเอง ทั้งค่ากินอยู่ ค่าข้าวของเครื่องใช้ ค่าหอ ค่าเที่ยว สารพัดค่าเลยค่ะ
พ่อไม่ช่วยเรื่องค่าใช้จ่ายแล้วค่ะ แล้วเราก็ส่งเงินให้พ่อแม่ด้วย (เงินให้พ่อแม่อันนี้เต็มใจให้ค่ะ แต่จะให้เดือนเว้นเดือน
ทบกันไป ให้มากให้น้อย อะไรทำนองนี้ค่ะ เป็นน้ำใจเล็กๆจากเรา) เดือนแรกๆหมดค่ะ
แต่ตอนไปอยู่หอ มีหนังสือเรื่องการออมเงินเล่มหนึ่งติดตัวไปด้วย จนวันหนึ่งก็หยิบมาอ่าน......
((แต่จำไม่ได้แล้วค่ะว่าชื่ออะไร เพราะตอนนี้ย้ายที่ทำงานละ กลับมาทำงานแถวบ้าน หนังสือเล่มนี้หายไปละค่ะ))
หนังสือเล่มนี้สอนทุกอย่างเลยค่ะ ทั้งเรื่องออมเงิน กองทุน LTF RMF การลดหย่อนภาษี และอื่นๆ อีกมากมาย
หลังจากอ่านหนังสือเล่มนี้ ชีวิตเปลี่ยนค่ะ เราเริ่มมีเงินเก็บทุกเดือน จะมากจะน้อยก็มีเงินเก็บค่ะ (เล่ามาตั้งนานกว่าจะเข้าเรื่องเน๊าะ 555+)
เงินเดือนได้เท่าเดิม เราได้เที่ยว ได้ใช้จ่ายฟุ่มเฟือย ซื้อเสื้อผ้า รองเท้า กระเป๋า เครื่องสำอางค์ ใช้ชีวิตปกติทุกอย่างค่ะ มีเงินให้พ่อแม่
แต่มีอย่างหนึ่งที่เพิ่มขึ้น คือ เรามีเงินเก็บค่ะ เรามีเงินเก็บเพิ่มมากขึ้นมาตลอดโดยเราไม่รู้สึกตัวเลยค่ะ
อีกอย่างหนึ่งที่ช่วยให้เราเก็บเงิน คือ คุณแฟนค่ะ (อายุเท่ากันค่ะ จบมาพร้อมกัน เริ่มทำงานพร้อมๆกัน)
แต่ว่าคุณแฟนเป็นคนงกมาก โครตงกอะ (แอบเม้าท์หน่อย) เขาได้เงินเดือนน้อยกว่าเรามาก แต่เก็บเงินได้เยอะกว่าเราอีก T^T
มันแทงใจดำอะค่ะ มันรู้สึกแบบว่า....... ทำไมเราไม่มีเงินเก็บวะ ทั้งๆที่เงินเดือนก็เยอะกว่า (เงินเดือนเรามากกว่าคุณแฟนประมาณ 5-8k)
และมีเพื่อนสนิทเราอีกคนค่ะที่เราเอาเป็นไอดอลในการเก็บเงิน หาเงินค่ะ เขาเป็นจุดเริ่มต้นในการทำธุรกิจของเราค่ะ
(เราแอบมีธุรกิจเล็กๆค่ะ มีแรงบันดาลใจมาจากเพื่อนคนนี้ ไม่ขอเล่านะค่ะ เดี๋ยวยาว)
ตลอดเวลาที่ทำงาน เราไม่เคยรู้เลยค่ะ ว่าเพื่อนๆคนอื่นเรามีเงินเก็บกันเท่าไหร่ รู้แต่ว่าคุณแฟนเนี่ยะ มันน่าโมโหมาก
เงินเก็บมันจะอะไรเยอะแยะทั้งๆที่เงินเดือนก็น้อยกว่า จนวันที่เราเจอเพื่อนๆนี่แหละค่ะ
ว่าเราก็เป็นคนเก็บเงินเก่งเหมือนกันนะ ต้องขอบคุณหนังสือเกี่ยวกับการออมเงินเล่มนี้ กับคุณแฟนจริงๆ ค่ะ
ที่ทำให้เรามีเงินเก็บเริ่มจาก 0 >>> เป็น 5พัน >>>>> เป็น 1หมื่น >>>>> เป็น 1แสน ในเวลาช่วง 11เดือน (เรานับตั้งแต่เริ่มทำงานนะค่ะ)
เพื่อนๆพี่ๆคนไหนที่เก็บเงินได้แล้วก็ยินดีด้วยค่ะ คุณกำลังจะเป็นเศรษฐีในวันข้างหน้า
ส่วนคนที่เริ่มจะเก็บเงิน หรือยังไม่มีเงินเก็บอย่าเพิ่งท้อค่ะ เรามีวิธีเก็บเงินง่ายๆ ใช้ได้จริง มาฝากทุกๆคนค่ะ
3วิธีง่ายๆที่เราใช้ในการเก็บตังที่ได้จากการอ่านในหนังสือนะค่ะ เราสรุปเป็นภาษาของเราเอง แต่พยายามพิมพ์เป็นภาษาหนังสือนะค่ะ
เริ่มเลยดีกว่า..........
วิธีที่ 1.การออมของคนส่วนใหญ่ คือ "เงินเดือน-ค่าใช้จ่าย=เงินออม" ซึ่งคุณจะพบว่า เงินออมของคุณในแต่ละเดือนนั้นมันน้อยมาก
แต่ทว่าลองกลับกันหล่ะ "เงินเดือน-เงินออม=ค่าใช้จ่าย" มันอาจฟังดูยากนะ แต่ถ้าคิดดีๆ ลองคิดให้ลึกหน่อย
ก็จะพบว่า
""การที่คุณใช้จ่ายไปเรื่อยๆจนกว่าเงินเดือนๆนั้นใกล้จะหมดแล้วค่อยประหยัด หรือคุณจะจำกัดเงินที่ต้องใช้ต่อเดือนแล้วใช้ให้พอ""
อย่างไหนจะเก็บเงินได้ดีกว่าละ?? คุณจะอดทนเพื่อเงินออมในวันนี้ หรือวันนี้คุณจะยอมไม่มีเงินเก็บเพื่อใช้เงินสนองความต้องการของตัวเอง
วิธีที่ 2.เมื่อเราได้เงินเดือนมา ควรแบ่งเงินเป็น3กอง (จริงๆควรแบ่งเป็น 5 กอง แต่ 3 กอง ก็แจ่มแล้วค่ะ)
กองที่ 1 คือ เงินใช้ประจำวันที่จำเป็นต่อเดือน (ค่ารถ ค่าข้าว ค่าโทรศัพท์ ค่าเน็ต ค่าอื่นๆที่ต้องใช้ทุกวัน)
กองที่ 2 คือ เงินออม (เป็นตายแค่ไหนก็ห้ามเอาออกมาใช้เด็ดขาด)
กองที่ 3 คือ เงินสำรองใช้จ่ายฉุกเฉิน (เที่ยว กิน ฟิตเนส ของขวัญ เสื้อผ้า รองเท้า กระเป๋า เครื่องสำอางค์ และอื่นๆ)
แค่นี้คุณก็จะรู้แล้วว่าค่าใช้จ่ายส่วนไหนที่จำเป็นต่อชีวิตจริงๆบ้าง และเงินส่วนไหนที่ฟุ่มเฟือยเกินความจำเป็น
วิธีที่ 3.การทำบันทึกรายรับรายจ่าย ข้อนี้เป็นสิ่งง่ายๆ แต่ทำยากที่สุด แต่มันเป็นจุดเริ่มต้นเล็กๆของการออม และเป็นจุดเริ่มต้นง่ายๆของคนอยากมีตังจ้า
เด๋วมาแชร์ต่อนะค่ะว่า ตัวเราเองเนี่ยแบ่งเงินยังไง? หลังจากทำงานไปแล้ว 11 เดือนเรามีอะไรบ้าง?
ขอแชร์ประสบการณ์การออมเงินที่ดี มีประโยชน์ และใช้ได้จริง จากเงิบเก็บ 0 บาท สู่ เงินเก็บ 6 หลักแรกในชีวิตค่ะ
ที่ตั้งกระทู้นี้ขึ้นมา ไม่ได้จะโอ้อวดแต่อย่างใด แค่อยากจะแชร์ประสบการณ์การเก็บเงิน ให้เพื่อนๆได้นำไปใช้เท่านั้น
เป็นคนเล่าอะไรไม่ค่อยเก่ง ก็ขอเริ่มเลยละกันนะค่ะ .....................
ที่ตั้งกระทู้นี้ขึ้นมา สืบเนื่องเจ้าของกระทู้ได้ไปนัดเจอกับเหล่าแก๊งค์เพื่อนๆสมัยเรียน
ก็พูดคุย สนุกสนาน สอบถามสารทุกข์สุขดิบกันปกติ เม้าท์มอยกันตามประสาเพื่อนๆที่ไม่ได้เจอกันนาน
จนเกิดคำถามๆหนึ่งขึ้นระหว่างสนทนาว่า "เฮ้ย พวกแกมีเงินเก็บกันเท่าไหร่แล้ววะ???" (เป็นคำถามที่จี๊ดใจกันมากใช่ไหมละ 555)
ซึ่งแต่ละคนตอบว่า "กรุไม่มีตังเก็บเลยวะ" / "แค่จะใช้ให้พอต่อเดือนยังไม่ได้เลยวะ" / "กรุหรอ เดือนชนเดือนวะ"
ตลอดที่ฟังคำตอบของเพื่อนๆนั้น ก็แอบคิดในใจว่าทำไมเรามีเงินเก็บอยู่คนเดียวเลยวะ แล้วกรุจะตอบยังไงดีวะ????
จนถึงตาเจ้าของกระทู้จะต้องตอบ......อ้ำๆอึ้งๆไปสักพัก "เอิ่มมมม เกือบๆ 1แสน" (จริงๆมีมากกว่านั้นนะค่ะ)
เพื่อนๆก็ "โหหหหหหห....แกทำไงวะ" / "ทำงานมากี่ปีละวะ" / "เก็บเงินไงวะ" / "เงินเก็บตอนนี้มีเท่าไหร่ละ" / "เงินเดือนแกเท่าไหร่วะ"
คำถามตามมาอีกมากมาย ก็ตอบเพื่อนๆไปตามตรงค่ะ ว่าเราเก็บเงินยังไง ใช้ชีวิตยังไง
ก็แอบปลื้มค่ะ ที่เพื่อนๆจะเอาเราเป็นตัวอย่างที่ดีในการเก็บเงิน (ยิ้มกรุ่มกริ่มเลย 555)
ก็เลยจะมาแชร์ให้เพื่อนๆฟังกันนะค่ะ ว่าเจ้าของกระทู้มีวิธีการเก็บเงินอย่างไร ไม่ได้คิดขึ้นมาเองนะค่ะ
อ่านในหนังสือเรื่องการออมแล้วนำมาประยุกต์ใช้
แต่ขอย้อนอดีตสักหน่อย เพื่อให้ได้ทราบประวัติชีวิตคร่าวๆกันก่อนว่าเคยเป็นคนใช้เงินเก่งแค่ไหน......
เจ้าของกระทู้เป็นลูกคนจีนก็จะได้เต๊ะเอียทุกๆปี ได้ตั้งแต่จำความได้จนเรียนจบมหาลัย
แต่จะได้ใช้เต๊ะเอียจริงๆก็ช่วงมัธยมปลายเป็นต้นมาจนจบมหาลัย ซึ่งเงินเต๊ะเอียนั้นได้มาก็ไม่ใช่น้อยๆเลย
แต่ว่าก็มีเท่าไหร่ ได้มาเท่าไหร่ก็ใช้หมด ไม่เคยเหลือเลย
ก็เป็นชีวิตวัยรุ่นทั่วๆไปอยากเที่ยว อยากมี อยากได้ หาตังไม่ได้ (หาได้แต่จากพ่อแม่เนี่ยะแหละ) และใช้เงินเป็นอย่างเดียว
แต่มีสิ่งหนึ่งที่พ่อแม่จะสอนค่ะ จริงๆไม่เชิงสอนหรอกค่ะ คือ เวลาเราไปขอเงินเขาจะไปเที่ยว ไปซื้ออะไรนอกจากเรื่องเรียน
เขาก็จะบอกว่าอยากได้อะไรให้เก็บตังซื้อเอง เขาจะช่วยเหลือแต่เฉพาะเรื่องเรียนเท่านั้น
ซึ่งเวลาเจ้าของกระทู้อยากได้เสื้อผ้า รองเท้า กระเป๋า เครื่องสำอางค์ เที่ยว ของใช้ส่วนตัวที่อยากได้ อยากมี ที่นอกจากเรื่องเรียน
ไม่เคยขอพ่อแม่เพิ่มเลย ก็จะเก็บเงินซื้อเองตลอด (เพราะขอก็ไม่เคยได้) รวมถึงเอาเงินเต๊ะเอียก้อนนี้มาใช้จ่ายฟุ่มเฟือยเรื่อยมา
จนเข้ามหาลัยได้เดือนละ 5,000 บาท ไม่รวมค่าเช่าหอนะค่ะ พ่อจ่ายต่างหาก
เป็นเงินที่ใช้จ่ายส่วนตัวเน้นๆเลย 5,000 บาท ทั้งๆที่เราก็ได้เต๊ะเอียด้วยนะค่ะ แต่ไม่เคยพอเลย ขอเพิ่มเดือนละ 1,000-2,000 บาทตลอด
ตอนนั้นเราคิดว่าน้อยนะค่ะ 5,000 บาท อยู่มหาลัยนี่ชีวิตลัลล้า อิสระมาก ก็ใช้แบบตามใจมาตลอด
(เฮ้อออ คิดแล้วแบบว่า..........อยากย้อนเวลากลับไปเก็บเงินจัง)
จนเรียนจบมหาลัย เราก็ไม่มีเงินเก็บสักบาทเลย มีเงินเก็บ = 000000000000000000000
จนวันหนึ่งถึงเวลาออกสู่โลกกว้าง เรียนจบแล้วก็ต้องทำงาน ซึ่งเราก็ได้ไปเป็นวิศวกรโรงงานแห่งหนึ่ง
รายได้รวมสวัสดิการต่างๆต่อเดือน แล้วประมาณ 20k-23k (ถ้าขยันทำโอทีนะ) ต้องไปเช่าหออยู่
จุดเปลี่ยนชีวิตอยู่ตรงนี้เนี่ยะแหละค่ะ
ค่าใช้จ่ายทุกอย่างเราต้องรับผิดชอบเอง ทั้งค่ากินอยู่ ค่าข้าวของเครื่องใช้ ค่าหอ ค่าเที่ยว สารพัดค่าเลยค่ะ
พ่อไม่ช่วยเรื่องค่าใช้จ่ายแล้วค่ะ แล้วเราก็ส่งเงินให้พ่อแม่ด้วย (เงินให้พ่อแม่อันนี้เต็มใจให้ค่ะ แต่จะให้เดือนเว้นเดือน
ทบกันไป ให้มากให้น้อย อะไรทำนองนี้ค่ะ เป็นน้ำใจเล็กๆจากเรา) เดือนแรกๆหมดค่ะ
แต่ตอนไปอยู่หอ มีหนังสือเรื่องการออมเงินเล่มหนึ่งติดตัวไปด้วย จนวันหนึ่งก็หยิบมาอ่าน......
((แต่จำไม่ได้แล้วค่ะว่าชื่ออะไร เพราะตอนนี้ย้ายที่ทำงานละ กลับมาทำงานแถวบ้าน หนังสือเล่มนี้หายไปละค่ะ))
หนังสือเล่มนี้สอนทุกอย่างเลยค่ะ ทั้งเรื่องออมเงิน กองทุน LTF RMF การลดหย่อนภาษี และอื่นๆ อีกมากมาย
หลังจากอ่านหนังสือเล่มนี้ ชีวิตเปลี่ยนค่ะ เราเริ่มมีเงินเก็บทุกเดือน จะมากจะน้อยก็มีเงินเก็บค่ะ (เล่ามาตั้งนานกว่าจะเข้าเรื่องเน๊าะ 555+)
เงินเดือนได้เท่าเดิม เราได้เที่ยว ได้ใช้จ่ายฟุ่มเฟือย ซื้อเสื้อผ้า รองเท้า กระเป๋า เครื่องสำอางค์ ใช้ชีวิตปกติทุกอย่างค่ะ มีเงินให้พ่อแม่
แต่มีอย่างหนึ่งที่เพิ่มขึ้น คือ เรามีเงินเก็บค่ะ เรามีเงินเก็บเพิ่มมากขึ้นมาตลอดโดยเราไม่รู้สึกตัวเลยค่ะ
อีกอย่างหนึ่งที่ช่วยให้เราเก็บเงิน คือ คุณแฟนค่ะ (อายุเท่ากันค่ะ จบมาพร้อมกัน เริ่มทำงานพร้อมๆกัน)
แต่ว่าคุณแฟนเป็นคนงกมาก โครตงกอะ (แอบเม้าท์หน่อย) เขาได้เงินเดือนน้อยกว่าเรามาก แต่เก็บเงินได้เยอะกว่าเราอีก T^T
มันแทงใจดำอะค่ะ มันรู้สึกแบบว่า....... ทำไมเราไม่มีเงินเก็บวะ ทั้งๆที่เงินเดือนก็เยอะกว่า (เงินเดือนเรามากกว่าคุณแฟนประมาณ 5-8k)
และมีเพื่อนสนิทเราอีกคนค่ะที่เราเอาเป็นไอดอลในการเก็บเงิน หาเงินค่ะ เขาเป็นจุดเริ่มต้นในการทำธุรกิจของเราค่ะ
(เราแอบมีธุรกิจเล็กๆค่ะ มีแรงบันดาลใจมาจากเพื่อนคนนี้ ไม่ขอเล่านะค่ะ เดี๋ยวยาว)
ตลอดเวลาที่ทำงาน เราไม่เคยรู้เลยค่ะ ว่าเพื่อนๆคนอื่นเรามีเงินเก็บกันเท่าไหร่ รู้แต่ว่าคุณแฟนเนี่ยะ มันน่าโมโหมาก
เงินเก็บมันจะอะไรเยอะแยะทั้งๆที่เงินเดือนก็น้อยกว่า จนวันที่เราเจอเพื่อนๆนี่แหละค่ะ
ว่าเราก็เป็นคนเก็บเงินเก่งเหมือนกันนะ ต้องขอบคุณหนังสือเกี่ยวกับการออมเงินเล่มนี้ กับคุณแฟนจริงๆ ค่ะ
ที่ทำให้เรามีเงินเก็บเริ่มจาก 0 >>> เป็น 5พัน >>>>> เป็น 1หมื่น >>>>> เป็น 1แสน ในเวลาช่วง 11เดือน (เรานับตั้งแต่เริ่มทำงานนะค่ะ)
เพื่อนๆพี่ๆคนไหนที่เก็บเงินได้แล้วก็ยินดีด้วยค่ะ คุณกำลังจะเป็นเศรษฐีในวันข้างหน้า
ส่วนคนที่เริ่มจะเก็บเงิน หรือยังไม่มีเงินเก็บอย่าเพิ่งท้อค่ะ เรามีวิธีเก็บเงินง่ายๆ ใช้ได้จริง มาฝากทุกๆคนค่ะ
3วิธีง่ายๆที่เราใช้ในการเก็บตังที่ได้จากการอ่านในหนังสือนะค่ะ เราสรุปเป็นภาษาของเราเอง แต่พยายามพิมพ์เป็นภาษาหนังสือนะค่ะ
เริ่มเลยดีกว่า..........
วิธีที่ 1.การออมของคนส่วนใหญ่ คือ "เงินเดือน-ค่าใช้จ่าย=เงินออม" ซึ่งคุณจะพบว่า เงินออมของคุณในแต่ละเดือนนั้นมันน้อยมาก
แต่ทว่าลองกลับกันหล่ะ "เงินเดือน-เงินออม=ค่าใช้จ่าย" มันอาจฟังดูยากนะ แต่ถ้าคิดดีๆ ลองคิดให้ลึกหน่อย
ก็จะพบว่า ""การที่คุณใช้จ่ายไปเรื่อยๆจนกว่าเงินเดือนๆนั้นใกล้จะหมดแล้วค่อยประหยัด หรือคุณจะจำกัดเงินที่ต้องใช้ต่อเดือนแล้วใช้ให้พอ""
อย่างไหนจะเก็บเงินได้ดีกว่าละ?? คุณจะอดทนเพื่อเงินออมในวันนี้ หรือวันนี้คุณจะยอมไม่มีเงินเก็บเพื่อใช้เงินสนองความต้องการของตัวเอง
วิธีที่ 2.เมื่อเราได้เงินเดือนมา ควรแบ่งเงินเป็น3กอง (จริงๆควรแบ่งเป็น 5 กอง แต่ 3 กอง ก็แจ่มแล้วค่ะ)
กองที่ 1 คือ เงินใช้ประจำวันที่จำเป็นต่อเดือน (ค่ารถ ค่าข้าว ค่าโทรศัพท์ ค่าเน็ต ค่าอื่นๆที่ต้องใช้ทุกวัน)
กองที่ 2 คือ เงินออม (เป็นตายแค่ไหนก็ห้ามเอาออกมาใช้เด็ดขาด)
กองที่ 3 คือ เงินสำรองใช้จ่ายฉุกเฉิน (เที่ยว กิน ฟิตเนส ของขวัญ เสื้อผ้า รองเท้า กระเป๋า เครื่องสำอางค์ และอื่นๆ)
แค่นี้คุณก็จะรู้แล้วว่าค่าใช้จ่ายส่วนไหนที่จำเป็นต่อชีวิตจริงๆบ้าง และเงินส่วนไหนที่ฟุ่มเฟือยเกินความจำเป็น
วิธีที่ 3.การทำบันทึกรายรับรายจ่าย ข้อนี้เป็นสิ่งง่ายๆ แต่ทำยากที่สุด แต่มันเป็นจุดเริ่มต้นเล็กๆของการออม และเป็นจุดเริ่มต้นง่ายๆของคนอยากมีตังจ้า
เด๋วมาแชร์ต่อนะค่ะว่า ตัวเราเองเนี่ยแบ่งเงินยังไง? หลังจากทำงานไปแล้ว 11 เดือนเรามีอะไรบ้าง?