[CR] ภูฏาน...กาลครั้งหนึ่ง บันทึกการเดินทางสั้นๆ ในดินแดนแห่งมังกรสายฟ้า [The End]

Part I: http://pantip.com/topic/32193030
Part II: http://pantip.com/topic/32202027

เช้านี้อากาศที่ปูนาคาไม่หนาวเท่ากับที่ทิมพู เพราะอยู่ในพื้นที่ที่ต่ำกว่า เรียกได้ว่ากำลังเย็นสบายคล้ายกับหน้าหนาวของเมืองไทย (หมายถึงปีที่หนาวจริงๆ อย่างเมื่อปลายปีที่แล้ว) วันนี้เราจะกลับไปที่ทิมพูก็เลยต้องออกเดินทางกันตั้งแต่เช้า

ช่วงนี้ภูฏานกำลังเร่งปรับปรุงถนนก็เลยจะมีช่วงที่ต้องปิดถนนประมาณ 15-20 นาที เพื่อให้คนงานทำงานได้ สำหรับแรงงานส่วนใหญ่ก็จะเป็นชาวอินเดีย วันนั้นเป็นวันจันทร์เราก็เลยเจอปิดถนนไป 2 รอบ แต่ก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไรมาก เพราะว่าได้ลงไปเดินเล่นและถ่ายรูปกันอย่างสนุกสนาน อากาศที่นั่นดีจริงๆ ส่วนใครใคร่จะเข้าห้องน้ำก็เรียนเชิญ shot a rabbit กับ pick a flower กันในป่าได้ตามสะดวก แต่ว่าเราไม่กล้าจริงๆ อ้อ ไกด์ชาวภูฏานบอกว่าปีหน้าถนนน่าจะเสร็จแล้ว ใครที่ไปปีหน้าก็คงจะเดินทางสะดวกขึ้น




เมื่อถึงกรุงทิมพูที่แรกที่เราไปก็คือองค์พระใหญ่ หรือ Big Buddha View Point แต่น่าเสียดายที่ด้านในขององค์พระยังไม่เสร็จสมบูรณ์ เราก็เลยยังไม่ได้เข้าไปชม จากจุดชมวิวนี้เราจะสามารถมองเห็นกรุงทิมพูได้จากมุมสูงอีกด้วย




หลังจากอาหารกลางวัน เราไปแวะชมที่ทำการไปรษณีย์ ซึ่งตอนนี้เราได้กลายเป็นสาวภูฏานไปเรียบร้อยแล้ว เพราะว่าได้สวมคีร่าที่ซื้อมาตั้งแต่วันแรก ถ้าใครไปภูฏานแล้วอยากแต่งกายด้วยชุดประจำชาติเข้าซอง (Dzong) ด้วย ต้องคำนวนค่าชุดกันดีๆ เพราะว่าชุดที่เราซื้อมาราคา 22 ดอลลาร์หรือประมาณ 715 บาท แต่ราชุง (Rachung) ซึ่งก็คือผ้าพาดไหล่ผืนเดียวราคา 555 บาท นี่ขนาดว่าคนขับรถช่วยต่อราคาจาก 1,500 งุลตรัม จนเหลือ 1,000 งุลตรัมแล้วนะ



ต่อจากที่ทำการไปรษณีย์ เราได้ไปดูงานศิลปะและงานช่างของภูฏาน 13 แขนงที่โรงเรียนสอนงานศิลปะ หลังจากนั้นก็ไปดูทาคินที่สถานอนุรักษ์สัตว์ประจำชาติของภูฏาน ทาคินมีลักษณะพิเศษคือมีลักษณะผสมระหว่างวัวกับแพะ สำหรับเรามันเป็นอะไรที่ตลกมากที่เราแต่งกายด้วยชุดประจำชาติอย่างสวยงาม แต่ว่ามาเที่ยวสวนสัตว์ ที่สำคัญคือมีเราแต่งอยู่คนเดียว ไม่รู้ว่าตอนนั้นกล้าทำไปได้ยังไง




จุดชมวิวซังเกกัง เป็นจุดชมวิวที่พลาดไม่ได้อีกแห่งหนึ่ง เพราะว่าจากจุดนี้เราจะได้เห็นทาชิโชซอง (Tashichho Dzong) จากมุมสูง นอกจากนี้บริเวณใกล้ๆ กันก็ยังมีวัดนันนารี ซึ่งเป็นวัดของแม่ชีอีกด้วย





สำหรับไฮไลท์ของวันนี้ก็คือทาชิโชซอง (Tashichho Dzong) ทาชิโชซองเป็นศูนย์กลางของการปกครองและสัญลักษณ์เมืองทิมพู ทาชิโซซองเป็นอาคารที่ทำการของรัฐบาล คณะกรรมการบริหารปกครองเมืองทิมพูจะประกอบด้วยคณะสงฆ์และข้าราชการระดับสูง ภายในซองมีกลุ่มอาคารที่แยกออกเป็นเขตสังฆาวาสและเขตฆราวาส กับลานอเนกประสงค์

วันที่เราไปตรงกับวันทำงานของข้าราชการก็เลยจะสามารถเข้าชมได้หลังจากเวลา 17.00 น. และก่อนที่จะไปชมพิธีเชิญธงลงจากยอดเสาที่ทาชิโชซอง เราไปได้แวะที่เมมโมเรียลโชเตน (National Memorial Choeten) เป็นเวลาสั้นๆ เมมโมเรียลโชเตนเป็นสถูปกลางเมืองที่สร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1974 เพื่อถวายพระเกียรติแด่สมเด็จพระราชาธิบจิกมี ดอร์จิ วังชุก พระมหากษัตริย์รัชกาลที่ 3 ของภูฏาน ชาวภูฏานจะนิยมมาทำสมาธิและสวดมนต์ที่นี่






น่าเสียดายที่วันนี้ฝนฟ้าไม่เป็นใจ เราก็เลยไม่สามารถชมความสวยงามของทาชิโชซองได้อย่างเต็มที่ สุดท้ายก็เลยต้องกลับไปพักที่โรงแรม แต่ก็โชคดีที่โรงแรมอยู่ริมแม่น้ำแล้วก็อยู่บนเนินเขา เราก็เลยเพลิดเพลินกับการถ่ายรูปเมืองทิมพูจากหน้าต่างของห้องพัก ทิมพูตอนกลางคืนก็สวยไปอีกแบบหนึ่ง




อากาศตอนเช้าที่ทิมพูหลังจากที่เมื่อคืนนี้ฝนตกหนาวเป็นพิเศษสำหรับเรา จริงๆ แล้วอุณหภูมิก็ประมาณ 4-5 องศา แต่เราว่ามันมีความเย็นยะเยือกมากกว่าปกติ เราออกไปเดินเล่นด้านหน้าโรงแรมได้แค่ 5 นาทีก็ต้องรีบกลับเข้ามาข้างใน เพราะว่ามันหนาวจนสั่นไปหมด



วันที่สี่ของทริปภูฏาน เราจะกลับไปที่เมืองพาโรเพื่อพิชิตวัดทักซัง วัดทักซังตั้งอยู่บนหน้าผาสูง 900 เมตร สำหรับคนที่ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองและไม่ค่อยได้ออกกำลังกายอย่างเราก็เลยต้องมีตัวช่วย นั่นก็คือล่อ (หรือม้าแคระ อันนี้เราไม่แน่ใจ) คนที่ต้องการจะขี่ล่อขึ้นเขาควรจะจองไว้ล่วงหน้า เพราะตอนเราไปเจอคนไทยหลายคนที่ต้องเดินขึ้น เพราะว่ามาถึงแล้วล่อถูกจองไว้หมดแล้ว

สิ่งแรกที่เราสัมผัสได้ตอนที่เดินไปถึงบริเวณที่ล่อยืนอยู่ก็คือ 'เหม็นสาบมาก' ล่อออกจะเน่าๆ หน่อย แล้วระหว่างรอคนจัดล่อ (ให้ขนาดล่อสมดุลกับคนนั่ง) พวกเธอจะปล่อยของเสียออกมาเป็นระยะๆ ทั้งหนักทั้งเบา แต่เราก็ยอมนั่ง เพราะถ้าให้เดินขึ้นเขาเป็นชั่วโมงๆ ก็คงไม่ไหวเหมือนกัน



การขึ้นไปยังวัดทักซังใช้เวลาประมาณ 2.5-3 ชั่วโมง เป็นการขี่ล่อ 2 ชั่วโมงและเดินเท้าต่ออีก 1 ชั่วโมง อันนี้เป็นเวลาที่เราเดินไปแล้วก็หยุดถ่ายรูปไปเรื่อยๆ (จริงๆ แล้วคือเหนื่อย แล้วเอาเรื่องถ่ายรูปมาเป็นข้ออ้าง) แต่ระหว่างทางที่ขี่ล่อเราจะได้แวะพักดื่มน้ำชาที่ร้านอาหารข้างบนเขาด้วย









ด้านในวัดทักซังจะไม่อนุญาตให้นักท่องเที่ยวนำกล้องหรืออุปกรณ์ถ่ายรูปใดๆ เข้าไป เราก็เลยต้องฝากทุกอย่างไว้กับไกด์ชาวภูฏาน ด้านในของวัดแบ่งออกเป็นห้องต่างๆ มีพระพุทธรูปประดิษฐานเหมือนกับวัดอื่นๆ แต่ที่จะพลาดไม่ได้ก็คือถ้ำเสือตามตำนานที่มาของวัด

เราลงจากวัดทักซังมาถึงลานจอดรถตอน 4 โมงเย็น ตอนลงเขาจะใช้เวลาน้อยกว่าตอนขึ้น แม้ว่าจะต้องเดินลงก็ตาม ทางการภูฏานไม่อนุญาตให้นักท่องเที่ยวขี่ล่อลงมา เพราะว่าเส้นทางค่อนข้างลาดชันจะเกิดอันตรายได้









โรงแรมที่เราพักทั้งหมดเป็นโรงแรมมาตรฐานตามที่รัฐบาลภูฏานกำหนด เทียบเท่ากับระดับ 3 ดาว แต่ว่าเราชอบโรงแรมที่พาโรที่สุด เพราะว่าเป็นโรงแรมที่ถูกดัดแปลงมาจากพระราชวังเก่าอายุกว่า 100 ปี นอกจากตัวโรงแรมและห้องพักจะสวยแล้ว ทัศนียภาพรอบๆ โรงแรมก็ยังสวยมากๆ อีกด้วย ที่นี่เราจะมองเห็น Paro Valley และพาโร รุนปุง ซองได้อย่างชัดเจน







สำหรับวันสุดท้ายที่ภูฏาน เราได้ไปไหว้พระที่วัดคิชู ลาคัง ซึ่งเป็นวัดเก่าแก่ของภูฏาน และเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์แห่งชาติ ก่อนจะปิดท้ายด้วยการช้อปปิ้งที่ตัวเมืองพาโร สำหรับของฝากที่ได้รับความนิยมนอกจากจะเป็นพวกงานฝีมือต่างๆ โปสการ์ดและแม่เหล็กติดตู้เย็นแล้ว ยังมีน้ำผึ้ง แยมส้ม น้ำแอปเปิ้ล และยาสีฟันอีกด้วย




ความเป็นเอกลักษณ์ของภูฏานมีให้เราเห็นจนกระทั่งนาทีสุดท้าย เพราะตอนเจ้าหน้าที่ประกาศให้ผู้โดยสารขึ้นเครื่อง เธอเพียงตะโกนว่า Boarding, please. เรียกได้ว่าไม่ต้องมีพิธีรีตองอะไรเลย



สำหรับคนที่เห็นรูปแล้วอยากไปภูฏาน ขอให้แน่ใจว่า
1. ชอบความลำบาก แม้ว่าจะไปกับทัวร์ แต่มันก็จะไม่ได้สะดวกสบายอะไรมาก เพราะสาธารณูปโภคพื้นฐานของประเทศภูฏานยังไม่ดีนัก และแม้ว่าราคาทัวร์จะสูง แต่โรงแรมที่เราพักก็เป็นโรงแรมระดับมาตราฐานหรือ 3 ดาวเท่านั้น  
2. ชอบธรรมชาติ และศิลปวัฒนธรรมจริงๆ เพราะนอกจากวัด วัง และป้อมปราการแล้ว ก็ไม่มีอะไรให้ดู แต่ละเมืองที่ไปก็เป็นเมืองเล็กๆ ที่ช้อปปิ้งก็มีไม่มาก ส่วนใหญ่เป็นของพื้นเมืองและของที่ระลึก ที่สำคัญราคาแพงมาก (แต่เราชอบแนวนี้อยู่แล้วก็เลยรู้สึกประทับใจ)
3. ไม่เมารถ พื้นที่ส่วนใหญ่ของภูฏานเป็นภูเขา เพราะฉะนั้นถนนส่วนใหญ่ก็จะลัดเลาะไปตามไหล่เขา ใครเคยไปหลวงพระบางจะพอนึกภาพออก แต่ทางที่นี่จะแย่กว่า เพราะอยู่ในช่วงก่อสร้าง
4. สามารถเข้าห้องน้ำชายได้แบบไม่ตะขิดตะขวงใจ (ตามร้านอาหารห้องน้ำจะมีแค่ 2 ห้อง) รวมทั้งห้องน้ำแบบที่เป็นรางต่อๆ กัน ที่เราสามารถเห็นของที่คนก่อนหน้าทิ้งไว้ได้ด้วย (ห้องน้ำบนวัดทักซัง)
5. กินผัก ชีส และเครื่องเทศแบบอินเดียได้ อาหารส่วนใหญ่ของภูฏานจะมีแต่ผัก เพราะที่นั่นจะไม่ฆ่าสัตว์ แต่นำเข้าจากอันเดีย ผัดผักส่วนใหญ่ก็จะผัดกับชีส มื้อแรกๆ ก็ดี แต่หลายๆ มื้อเข้าก็ไม่ไหวเหมือนกัน (ถ้าไปกับทัวร์ อาจจะมีอาหารไทยที่ทัวร์เตรียมให้มื้อละอย่างสองอย่าง)

ถ้าพร้อมแล้วก็เก็บกระเป๋าไปเที่ยวกันเลยค่ะ
ขอบคุณที่ติดตามอ่านนะคะ ยิ้มยิ้มยิ้ม
ชื่อสินค้า:   ท่องเที่ยวภูฏาน
คะแนน:     
**CR - Consumer Review : ผู้เขียนรีวิวนี้เป็นผู้ซื้อสินค้าหรือเสียค่าบริการเอง ไม่มีผู้สนับสนุนให้สินค้าหรือบริการฟรี และผู้เขียนรีวิวไม่ได้รับสิ่งตอบแทนในการเขียนรีวิว
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่