เมื่อตอนเย็นที่ผ่านมา 20/6/57 เวลา 18.45น. บนถนนเลียบคลองภาษีเจริญฝั่งเหนือ
(
https://www.google.co.th/maps/@13.692538,100.378671,3a,75y,83.51h,85t/data=!3m4!1e1!3m2!1s8dQShNG4koURrreARcRwhA!2e0!6m1!1e1)
เราจอดรถติดอยู่ก่อนถึงสี่แยกที่ตัดกับถนนเพชรเกษม69 อยู่ๆ ก็มีเสียงตึง! และรถก็กระเด้งไปข้างหน้านิดนึง
เราก็คิด เอาแล้วงัยล่ะ เปิดประตูลงไปเพื่อเตรียมเจรจากับรถกระบะที่มาชนหลัง
เรา: ทำไมชนล่ะคะ
ลุง: คุณถอยหลังมาชนรถผมทำไม?
เรา: ... (เงิบ) ... เปล่านะคะ ลุงนั่นแหละ มาชนรถหนู
ลุง: คุณนั่นแหละ ผมไม่ได้ทำ จะมาพูดอย่างงี้ได้ยังงัย ... เรียกตำรวจเลยดีกว่า
เรา: ค่ะ อยู่ตรงไหนคะ เรียกเลย
สถานการณ์บนถนนแห่งนี้คือ ถนนมีฝั่งละสองเลนส์ โดยเลนส์ชิดฟุตบาท (ฟุตปาธ ตามราชบัณฑิต) ทั้งสองฝั่งมีรถจอดอยู่
แปลว่าเหลือให้วิ่งกันอยู่ฝั่งละเลนส์ ขณะเกิดเหตุการณ์แปลว่า รถจอดติดอยู่ข้างหลัง ไปไหนไม่ได้ รอเราตกลงกัน
ผ่านไป 1 นาที
เรา: เอายังงัยคะ ลุง จะอยู่ตรงนี้เหรอ รถข้างหลังติดยาวแล้วนะ
ลุง: อยู่ตรงนี้แหละ ในเมื่อไม่ยอมรับว่าถอยมาชนก็อยู่ตรงนี้แหละ
เรา: รถข้างหลังติดยาวเนี่ย ถ้าเค้าด่า ก็ไม่ใช่หนูนะคะ
ผ่านไปอีก 1 นาที ไม่มีวี่แววว่าจะพบตำรวจแถวนั้น
เรา: ยังงัยคะลุง จะรออยู่อย่างงี้เหรอ รถติดยาวไปถึงนู่นแล้วนะ ขยับเข้าข้างทางมั๊ย
ลุงคิดอยู่แป๊บนึงแล้วก็ยินยอม ต่างคนต่างเอารถจอดเข้าข้างทาง
ลุงซึ่งดับเครื่องลงจากรถมายืนข้างฟุตบาทก่อนเรา ก็โทรศัพท์หาประกันทันที
ส่งเสียงดัง ประมาณว่า เกิดอุบัติเหตุ รถยนต์คันหน้าถอยมาชนรถผม ผมเป็นทหาร (บลาๆๆๆ ...? เป็นทหารเกี่ยวไรอ่ะ) รีบมาด่วนเลยนะ
ลุงคุยนานมาก เราซึ่งยืนรอ จึงมองท้ายรถเรา และหน้ารถลุง มองแล้วมองอีกจนแน่ใจ
ยืนรอลุงคุยเสร็จ เราจึงพูดว่า ลุงคะ ลุงดูหน้ารถของลุง หนูดูท้ายรถของหนู
ถ้าทั้งสองฝ่ายเห็นว่าไม่เป็นอะไร เรามีทางเลือกอยู่สามทาง
1. ต่างคนต่างไป
2. เรียกประกัน
3. เรียกตำรวจด้วย
ลุงยืนกรานว่า ถ้าเราไม่ยอมรับว่าเราเป็นคนถอยไปชน งั้นก็เรียกทั้งประกันทั้งตำรวจเลย
เราเลยบอกว่า จริงๆ แล้วเราเป็นผู้เสียหายด้วยซ้ำ เราไม่ติดใจเอาอะไร มีทางเลือกที่ง่าย
ลุงอาจจะมีเวลามาก แต่หนูไม่ใช่ ทำไมหนูต้องมาเสียเวลาตรงนี้ด้วย แต่ถ้าลุงจะเลือกทางยากก็เอาเลยค่ะ
สองฝ่ายจึงรอๆๆๆๆๆ ผ่านไปครึ่งชั่วโมง มิสเตอร์ทิพยประกันภัยก็มา
ลุงก็โหวกเหวกด้วยรายละเอียดทางลุงดังนี้
"ด้านหน้าเราเป็นที่ว่าง ไม่ได้มีรถติดอยู่ข้างหน้า อยู่ๆ เราก็ถอยไป จะชนเค้า เค้าบีบแตรเสียงดัง แล้วก็ตึง!
เค้าไม่ได้เป็นคนขับมาชนเรา ถ้าเค้าชนเรา มันก็ต้องไปกระแทกคันหน้าแล้วสิ" << (จำเป็นเหรอ?)
เราก็บอกรายละเอียดทางเราดังนี้
"เราจอดรถติดตามคันหน้าอยู่ มีแค่ที่ว่างระหว่างคัน เรามีสติดีครบถ้วน ไม่ได้ถือมือถือ นั่งอยู่เฉยๆ
ไม่มีความจำเป็นต้องเข้าเกียร์ถอยและมือก็ไม่ได้พลาดไปโดน
(รถเราเป็นโตโยต้า ต้องเข้าเกียร์ถอยโดยการโยกเกียร์ไปทางขวาและขึ้น)
รถลุงมาชนด้านหลังเราดังตึง ส่วนที่ลุงพูดว่าลุงกดแตรดังก็ไม่มีค่ะ"
มิสเตอร์ทิพยประกันภัย บอกว่า ถ้าอย่างนี้ผมเคลียร์ให้ไม่ได้ ไปสน.กันเถอะครับ

ซ้าย = ลุง, ขวา = มิสเตอร์ทิพยประกันภัย, ขวาล่าง = รถลูกชายลุง
เราถอยหลังเข้าซอยเพื่อกลับรถ โดยมีมิสเตอร์ทิพยประกันภัยโบกให้
ส่วนลุง สตาร์ทรถตรงข้างทางแล้วก็กลับรถตรงนั้นเลย ซึ่งก็แน่นอนว่าเลี้ยวไม่พ้น ต้องถอยอีกรอบหนึ่ง
แต่ในระหว่างนั้น รถแท็กซี่คันหนึ่งก็จะไป แต่ลุงก็จะถอย แท็กซี่บีบแตรเสียงดัง ปิ๊นนนนนนน! แล้วก็ตึง
แท็กซี่บุบ มิสเตอร์ทิพยประกันวิ่งไปเคลียร์ เราเปิดกระจก หัวเราะเสียงดัง บอกมิสเตอร์ทิพยประกันภัยว่า "งานงอกละค่ะ"
ปรากฎว่ามิสเตอร์ฯ เคลียร์ได้พี่แท็กซี่ไม่เอาอะไร แล้วก็ไป ส่วนในใจเราก็รู้สึกเสียใจนิดหน่อยที่ไม่มีเพื่อนร่วมคดี
ณ สน. หนองแขม
ลุงโหวกเหวกเหมือนข้างบน vs. เราก็แย้งเหมือนข้างบน
รถลุงและเราเป็นเกียร์ออโต้ทั้งคู่ ความผิดจากทางเราดูไม่น่าเป็นไปได้เลย
ถึง ณ จุดนี้ เราเรียกประกันฝ่ายเราให้มาเคลียร์ (มิสเตอร์กรุงเทพประกันภัย)
ลุงบอกว่าผมเป็นทหาร มีเกียรติของทหาร ผมอยู่มาจนป่านนี้อายุ 71 แล้ว .....
ลุงก็พูดเพ้อเจ้อยาวๆ ไป ผู้หมวดบอกว่า ดูตามหลักแล้วเหตุการณ์ไม่น่าจะเป็นการถอย
ลุงเถียงกับผู้หมวด และบลาๆๆ ไปจนถึงว่าผู้หมวดดูถูกลุง ดูถูกทหาร คุณผู้หมวดก็ใจเย็น และคุณตำรวจอีกคนก็มาคุยแทน
ลุงบอกว่าเดี๋ยวจะเรียกลูกให้มาดูด้วย เป็นตำรวจยศพันโท
แล้วลุงก็โทรศัพท์เปิดสปีกเกอร์โฟนคุยโชว์ และให้ลูกคุยกับตำรวจในสน.
หลังวางโทรศัพท์ คุณตำรวจก็เรียกลุงไปคุยในห้อง เนิ่นนานยาวยืด
พอลุงออกมาแล้ว คุณตำรวจก็เรียกเราเข้าไปคุยต่อ
มิสเตอร์กรุงเทพประกันภัยมาแล้ว ทุกคนจึงเข้าไปคุยด้วยกันยกเว้นลุง
เราพูดกับประกันทั้งสองฝ่ายและคุณตำรวจว่า ณ ตอนนี้ ผ่านมาสองชั่วโมงแล้ว
เราต้องการเคลม แม้ว่าจะเป็นรอยขีดข่วนเล็กน้อยก็ตาม
1.เพื่อให้ได้ข้อสรุปว่ารถเราถูกชน เราเป็นฝ่ายเสียหายและต้องมานั่งเสียเวลางี่เง่า ทั้งที่อุตส่าห์เสนอไปแล้วว่าต่างคนต่างไป
2.เผื่อเบี้ยประกันฝ่ายลุงปีหน้าอาจจะเพิ่มเล็กน้อย
คุณตำรวจบอกว่า ผมเข้าใจคุณนะ แต่ดูเหมือนทางนู้นต้องการเป็นฝ่ายถูกและไม่ยอมเข้าใจอะไร
ลุงพูดเหมือนกับว่าถ้าเรายอมขอโทษ เรื่องก็จะจบ ไม่เอาอะไร
เราเลยบอกว่า จะให้เราพูดอย่างงั้นได้อย่างไร ในเมื่อเขามาชนเรา
ถ้าเรายอมรับผิดแล้วลุงเกิด ร้องโอ๊ย บอกว่าเจ็บขาขึ้นมา เราไม่แย่เหรอ
เรื่องมาถึงจุดนี้แล้ว เราต้องการให้มีการบันทึกการเคลม มิสเตอร์กรุงเทพประกันภัยบอกว่า จากที่ดูรถ ผมเห็นแล้วว่าเกิดการชนขึ้นจริง
แต่ถ้าเราลองใช้ทิชชู่เช็ดดู จริงๆ แล้วอาจจะไม่ได้มีริ้วรอยใดๆ ก็ได้ เราก็บอกว่า โอเคลองดู ปรากฎก็เป็นดังที่เขาพูด
รถไม่เป็นอะไรทั้งคู่ แต่มันยังไม่จบเพราะสองฝ่ายต่างบอกว่าตนไม่ผิด และอีกฝ่ายผิด
เราบอกว่าเราจะเคลมเพื่อเป็นหลักฐาน ประกันและตำรวจบอกว่า มันเคลมไม่ได้ เพราะตรงนี้ไม่มีใครสามารถชี้ได้ว่าใครผิด/ถูก
ต้องเรียกตำรวจด้านจราจรมา จึงจะสามารถชี้ได้ (เสียเวลาอีกอ่ะดิ)
สถานการณ์ ณ จุดนั้น ทุกคนรู้ว่าเราถูก และลุงงี่เง่า แต่...
คุณตำรวจมาพูดกับเราว่า ผมไม่ได้บังคับอะไรคุณนะ แต่ว่าคุณขอโทษมั๊ย เรื่องจะได้จบ
แค่ขอโทษ แต่ไม่ได้หมายถึงยอมรับว่าถอยไปชน
เราก็ตอบว่า แค่คำว่าขอโทษ พูดได้นะคะ แต่สายตา ท่าทาง และจิตใจ ไม่ได้คิดตามนั้นนะคะ
แล้วกลางหมู่คุณตำรวจ ประกันภัยสองฝั่ง เราก็พูดว่า ขอโทษนะคะ (แค่คำพูด แต่หน้าตาไม่ใช่)
แล้วลุงก็ขอได้ชนะ พูดอีกว่า เนี่ยถอยมาชนผม ก็ต้องขอโทษ บลาๆๆๆ
เราก็สวนกลับว่า ขอโทษ แต่ไม่ได้หมายความว่า ถอยไปชนนะคะ ลุงเป็นคนมาชนหนู
ลุง: บลาๆๆๆๆๆๆๆ
เรา: เงียบ
ลุง: บลาๆๆๆๆๆๆๆ (มันก็เหมือนแมงหวี่น่ะค่ะ ผู้คนแถวนั้นเลิกสนใจไปแล้ว)
สุดท้ายก็ได้กลับบ้านเสียที เสียเวลาไปสองชั่วโมงกว่า นัดไปกินข้าวกับเพื่อนก็ไม่ได้ไป นั่งกินมาม่าอยู่ข้างสน.รอประกัน
ถ้าลุงล้ำมามากกว่านี้อีกนิดเดียวนะคะ ลุงจะรู้ค่ะ ว่าหนูจะเรียกใครมาบ้าง
จะมีเรื่องแจ้งความเท็จ การเคลม การทำให้ดูพ่ายแพ้ การสั่งสอนคนแก่ และ...อีกเยอะค่ะ
แชร์ประสบการณ์ โดนชนท้ายโดยลุงตรรกะผิดเพี้ยน จนต้องขึ้นสน.ค่ะ
(https://www.google.co.th/maps/@13.692538,100.378671,3a,75y,83.51h,85t/data=!3m4!1e1!3m2!1s8dQShNG4koURrreARcRwhA!2e0!6m1!1e1)
เราจอดรถติดอยู่ก่อนถึงสี่แยกที่ตัดกับถนนเพชรเกษม69 อยู่ๆ ก็มีเสียงตึง! และรถก็กระเด้งไปข้างหน้านิดนึง
เราก็คิด เอาแล้วงัยล่ะ เปิดประตูลงไปเพื่อเตรียมเจรจากับรถกระบะที่มาชนหลัง
เรา: ทำไมชนล่ะคะ
ลุง: คุณถอยหลังมาชนรถผมทำไม?
เรา: ... (เงิบ) ... เปล่านะคะ ลุงนั่นแหละ มาชนรถหนู
ลุง: คุณนั่นแหละ ผมไม่ได้ทำ จะมาพูดอย่างงี้ได้ยังงัย ... เรียกตำรวจเลยดีกว่า
เรา: ค่ะ อยู่ตรงไหนคะ เรียกเลย
สถานการณ์บนถนนแห่งนี้คือ ถนนมีฝั่งละสองเลนส์ โดยเลนส์ชิดฟุตบาท (ฟุตปาธ ตามราชบัณฑิต) ทั้งสองฝั่งมีรถจอดอยู่
แปลว่าเหลือให้วิ่งกันอยู่ฝั่งละเลนส์ ขณะเกิดเหตุการณ์แปลว่า รถจอดติดอยู่ข้างหลัง ไปไหนไม่ได้ รอเราตกลงกัน
ผ่านไป 1 นาที
เรา: เอายังงัยคะ ลุง จะอยู่ตรงนี้เหรอ รถข้างหลังติดยาวแล้วนะ
ลุง: อยู่ตรงนี้แหละ ในเมื่อไม่ยอมรับว่าถอยมาชนก็อยู่ตรงนี้แหละ
เรา: รถข้างหลังติดยาวเนี่ย ถ้าเค้าด่า ก็ไม่ใช่หนูนะคะ
ผ่านไปอีก 1 นาที ไม่มีวี่แววว่าจะพบตำรวจแถวนั้น
เรา: ยังงัยคะลุง จะรออยู่อย่างงี้เหรอ รถติดยาวไปถึงนู่นแล้วนะ ขยับเข้าข้างทางมั๊ย
ลุงคิดอยู่แป๊บนึงแล้วก็ยินยอม ต่างคนต่างเอารถจอดเข้าข้างทาง
ลุงซึ่งดับเครื่องลงจากรถมายืนข้างฟุตบาทก่อนเรา ก็โทรศัพท์หาประกันทันที
ส่งเสียงดัง ประมาณว่า เกิดอุบัติเหตุ รถยนต์คันหน้าถอยมาชนรถผม ผมเป็นทหาร (บลาๆๆๆ ...? เป็นทหารเกี่ยวไรอ่ะ) รีบมาด่วนเลยนะ
ลุงคุยนานมาก เราซึ่งยืนรอ จึงมองท้ายรถเรา และหน้ารถลุง มองแล้วมองอีกจนแน่ใจ
ยืนรอลุงคุยเสร็จ เราจึงพูดว่า ลุงคะ ลุงดูหน้ารถของลุง หนูดูท้ายรถของหนู
ถ้าทั้งสองฝ่ายเห็นว่าไม่เป็นอะไร เรามีทางเลือกอยู่สามทาง
1. ต่างคนต่างไป
2. เรียกประกัน
3. เรียกตำรวจด้วย
ลุงยืนกรานว่า ถ้าเราไม่ยอมรับว่าเราเป็นคนถอยไปชน งั้นก็เรียกทั้งประกันทั้งตำรวจเลย
เราเลยบอกว่า จริงๆ แล้วเราเป็นผู้เสียหายด้วยซ้ำ เราไม่ติดใจเอาอะไร มีทางเลือกที่ง่าย
ลุงอาจจะมีเวลามาก แต่หนูไม่ใช่ ทำไมหนูต้องมาเสียเวลาตรงนี้ด้วย แต่ถ้าลุงจะเลือกทางยากก็เอาเลยค่ะ
สองฝ่ายจึงรอๆๆๆๆๆ ผ่านไปครึ่งชั่วโมง มิสเตอร์ทิพยประกันภัยก็มา
ลุงก็โหวกเหวกด้วยรายละเอียดทางลุงดังนี้
"ด้านหน้าเราเป็นที่ว่าง ไม่ได้มีรถติดอยู่ข้างหน้า อยู่ๆ เราก็ถอยไป จะชนเค้า เค้าบีบแตรเสียงดัง แล้วก็ตึง!
เค้าไม่ได้เป็นคนขับมาชนเรา ถ้าเค้าชนเรา มันก็ต้องไปกระแทกคันหน้าแล้วสิ" << (จำเป็นเหรอ?)
เราก็บอกรายละเอียดทางเราดังนี้
"เราจอดรถติดตามคันหน้าอยู่ มีแค่ที่ว่างระหว่างคัน เรามีสติดีครบถ้วน ไม่ได้ถือมือถือ นั่งอยู่เฉยๆ
ไม่มีความจำเป็นต้องเข้าเกียร์ถอยและมือก็ไม่ได้พลาดไปโดน
(รถเราเป็นโตโยต้า ต้องเข้าเกียร์ถอยโดยการโยกเกียร์ไปทางขวาและขึ้น)
รถลุงมาชนด้านหลังเราดังตึง ส่วนที่ลุงพูดว่าลุงกดแตรดังก็ไม่มีค่ะ"
มิสเตอร์ทิพยประกันภัย บอกว่า ถ้าอย่างนี้ผมเคลียร์ให้ไม่ได้ ไปสน.กันเถอะครับ
ซ้าย = ลุง, ขวา = มิสเตอร์ทิพยประกันภัย, ขวาล่าง = รถลูกชายลุง
เราถอยหลังเข้าซอยเพื่อกลับรถ โดยมีมิสเตอร์ทิพยประกันภัยโบกให้
ส่วนลุง สตาร์ทรถตรงข้างทางแล้วก็กลับรถตรงนั้นเลย ซึ่งก็แน่นอนว่าเลี้ยวไม่พ้น ต้องถอยอีกรอบหนึ่ง
แต่ในระหว่างนั้น รถแท็กซี่คันหนึ่งก็จะไป แต่ลุงก็จะถอย แท็กซี่บีบแตรเสียงดัง ปิ๊นนนนนนน! แล้วก็ตึง
แท็กซี่บุบ มิสเตอร์ทิพยประกันวิ่งไปเคลียร์ เราเปิดกระจก หัวเราะเสียงดัง บอกมิสเตอร์ทิพยประกันภัยว่า "งานงอกละค่ะ"
ปรากฎว่ามิสเตอร์ฯ เคลียร์ได้พี่แท็กซี่ไม่เอาอะไร แล้วก็ไป ส่วนในใจเราก็รู้สึกเสียใจนิดหน่อยที่ไม่มีเพื่อนร่วมคดี
ณ สน. หนองแขม
ลุงโหวกเหวกเหมือนข้างบน vs. เราก็แย้งเหมือนข้างบน
รถลุงและเราเป็นเกียร์ออโต้ทั้งคู่ ความผิดจากทางเราดูไม่น่าเป็นไปได้เลย
ถึง ณ จุดนี้ เราเรียกประกันฝ่ายเราให้มาเคลียร์ (มิสเตอร์กรุงเทพประกันภัย)
ลุงบอกว่าผมเป็นทหาร มีเกียรติของทหาร ผมอยู่มาจนป่านนี้อายุ 71 แล้ว .....
ลุงก็พูดเพ้อเจ้อยาวๆ ไป ผู้หมวดบอกว่า ดูตามหลักแล้วเหตุการณ์ไม่น่าจะเป็นการถอย
ลุงเถียงกับผู้หมวด และบลาๆๆ ไปจนถึงว่าผู้หมวดดูถูกลุง ดูถูกทหาร คุณผู้หมวดก็ใจเย็น และคุณตำรวจอีกคนก็มาคุยแทน
ลุงบอกว่าเดี๋ยวจะเรียกลูกให้มาดูด้วย เป็นตำรวจยศพันโท
แล้วลุงก็โทรศัพท์เปิดสปีกเกอร์โฟนคุยโชว์ และให้ลูกคุยกับตำรวจในสน.
หลังวางโทรศัพท์ คุณตำรวจก็เรียกลุงไปคุยในห้อง เนิ่นนานยาวยืด
พอลุงออกมาแล้ว คุณตำรวจก็เรียกเราเข้าไปคุยต่อ
มิสเตอร์กรุงเทพประกันภัยมาแล้ว ทุกคนจึงเข้าไปคุยด้วยกันยกเว้นลุง
เราพูดกับประกันทั้งสองฝ่ายและคุณตำรวจว่า ณ ตอนนี้ ผ่านมาสองชั่วโมงแล้ว
เราต้องการเคลม แม้ว่าจะเป็นรอยขีดข่วนเล็กน้อยก็ตาม
1.เพื่อให้ได้ข้อสรุปว่ารถเราถูกชน เราเป็นฝ่ายเสียหายและต้องมานั่งเสียเวลางี่เง่า ทั้งที่อุตส่าห์เสนอไปแล้วว่าต่างคนต่างไป
2.เผื่อเบี้ยประกันฝ่ายลุงปีหน้าอาจจะเพิ่มเล็กน้อย
คุณตำรวจบอกว่า ผมเข้าใจคุณนะ แต่ดูเหมือนทางนู้นต้องการเป็นฝ่ายถูกและไม่ยอมเข้าใจอะไร
ลุงพูดเหมือนกับว่าถ้าเรายอมขอโทษ เรื่องก็จะจบ ไม่เอาอะไร
เราเลยบอกว่า จะให้เราพูดอย่างงั้นได้อย่างไร ในเมื่อเขามาชนเรา
ถ้าเรายอมรับผิดแล้วลุงเกิด ร้องโอ๊ย บอกว่าเจ็บขาขึ้นมา เราไม่แย่เหรอ
เรื่องมาถึงจุดนี้แล้ว เราต้องการให้มีการบันทึกการเคลม มิสเตอร์กรุงเทพประกันภัยบอกว่า จากที่ดูรถ ผมเห็นแล้วว่าเกิดการชนขึ้นจริง
แต่ถ้าเราลองใช้ทิชชู่เช็ดดู จริงๆ แล้วอาจจะไม่ได้มีริ้วรอยใดๆ ก็ได้ เราก็บอกว่า โอเคลองดู ปรากฎก็เป็นดังที่เขาพูด
รถไม่เป็นอะไรทั้งคู่ แต่มันยังไม่จบเพราะสองฝ่ายต่างบอกว่าตนไม่ผิด และอีกฝ่ายผิด
เราบอกว่าเราจะเคลมเพื่อเป็นหลักฐาน ประกันและตำรวจบอกว่า มันเคลมไม่ได้ เพราะตรงนี้ไม่มีใครสามารถชี้ได้ว่าใครผิด/ถูก
ต้องเรียกตำรวจด้านจราจรมา จึงจะสามารถชี้ได้ (เสียเวลาอีกอ่ะดิ)
สถานการณ์ ณ จุดนั้น ทุกคนรู้ว่าเราถูก และลุงงี่เง่า แต่...
คุณตำรวจมาพูดกับเราว่า ผมไม่ได้บังคับอะไรคุณนะ แต่ว่าคุณขอโทษมั๊ย เรื่องจะได้จบ
แค่ขอโทษ แต่ไม่ได้หมายถึงยอมรับว่าถอยไปชน
เราก็ตอบว่า แค่คำว่าขอโทษ พูดได้นะคะ แต่สายตา ท่าทาง และจิตใจ ไม่ได้คิดตามนั้นนะคะ
แล้วกลางหมู่คุณตำรวจ ประกันภัยสองฝั่ง เราก็พูดว่า ขอโทษนะคะ (แค่คำพูด แต่หน้าตาไม่ใช่)
แล้วลุงก็ขอได้ชนะ พูดอีกว่า เนี่ยถอยมาชนผม ก็ต้องขอโทษ บลาๆๆๆ
เราก็สวนกลับว่า ขอโทษ แต่ไม่ได้หมายความว่า ถอยไปชนนะคะ ลุงเป็นคนมาชนหนู
ลุง: บลาๆๆๆๆๆๆๆ
เรา: เงียบ
ลุง: บลาๆๆๆๆๆๆๆ (มันก็เหมือนแมงหวี่น่ะค่ะ ผู้คนแถวนั้นเลิกสนใจไปแล้ว)
สุดท้ายก็ได้กลับบ้านเสียที เสียเวลาไปสองชั่วโมงกว่า นัดไปกินข้าวกับเพื่อนก็ไม่ได้ไป นั่งกินมาม่าอยู่ข้างสน.รอประกัน
ถ้าลุงล้ำมามากกว่านี้อีกนิดเดียวนะคะ ลุงจะรู้ค่ะ ว่าหนูจะเรียกใครมาบ้าง
จะมีเรื่องแจ้งความเท็จ การเคลม การทำให้ดูพ่ายแพ้ การสั่งสอนคนแก่ และ...อีกเยอะค่ะ