คำว่า ดัดจริต ตามความหมายตามพจนานุกรม ราชบัณฑิตยสถานให้ความหมายไว้ดังนี้
ดัดจริต : ก. แสร้งทํากิริยาหรือวาจาให้เกินควร.
ทุกวันนี้สังคมไทยบางส่วนกำลังดัดจริต แสร้งทำตัวเป็น “
คนดี” แสร้งเกลียดชังพฤติกรรมที่ผิดกฎหมาย ที่ตัวเองเชื่อตามอคติว่าผู้อื่นได้กระทำ ซึ่งหลักใหญ่ใจความของความแตกแยกของบ้านเมืองทุกวันนี้ ก็มาจากข้อกล่าวหา เรื่องการคอร์รัปชันของนักการเมือง
คอร์รัปชัน(เขียนตามพจนุกรม ไม่มีไม้เอกที่คำว่า ชัน) ก.ตามความหมายในพจนานุกรมไทยก็มีความหมายกว้างขวางมาก คือหมายถึงการฉ้อราษฎร์บังหลวง ตลอดจนการรีดไถโดยการที่เจ้าพนักงานเรียกและรับสินบนจากราษฎร ก็จัดเป็นการฉ้อราษฎร์ คือเป็นการเรียกเอาเงินหรืออามิสสินจ้างอย่างอื่น จากราษฎรเพื่อปฏิบัติหรือไม่ปฏิบัติตามหน้าที่ อันเป็นการอำนวยประโยชน์แก่ผู้ให้สินบน สำหรับการบังหลวง คือการที่เจ้าพนักงานกระทำการทุจริตต่อหน้าที่อันทำให้ เกิดความเสียหายแก่ผลประโยชน์ของแผ่นดิน ทั้งนี้ จะเป็นไปโดยสมคบกับราษฎรเบียดยังผลประโยชน์นั้นหรือไม่ก็ตาม
ซึ่งสรุปให้เข้าใจง่ายๆก็คือ คนไทยตีกันเองเพราะนักการเมืองขี้โกง นั้นเอง
ที่นี้มาดูความหมายของคำว่า โกง บ้าง
โกง : ก. ใช้อุบายหรือเล่ห์เหลี่ยมหลอกลวง เช่น โกงเงิน แสดงอาการดื้อไม่ยอมทําตาม เช่น เด็กโกง ม้าโกง. ว. โค้ง ไม่ตรง เช่น หลังโกง.
กฎระเบียบเป็นสิ่งที่ใช้ควบคุมสังคม อย่าง กฎหมาย ก็มีอยู่ แต่สังคมไทยเป็นสังคม "
มือถือสาก ปากถือศีล" เพราะทุกคนต่างก็เคยโกงกันทั้งนั้น แต่ไม่มีใครยอมรับ
บริษัทห้างร้าน ก็โกงด้วยการหลบเลี่ยงภาษี ขายของลักษณะ none vat พนักงานบัญชีก็รู้ เพราะเป็นคนตบแต่งตัวเลขก่อนส่งสรรภากร พนักงานขายก็รู้ แต่ทำไงได้ อยากได้คอมมิชชั่น ก็ต้องขาย
หาบเร่แพงลอยก็โกงด้วยการแย่งชิงพื้นที่ทางเท้า
คนใช้รถใช้ถนน ก็โกงโดยการฝ่าฝืนกฎจราจร
หมอก็โกง โดยการเอาเวลางานไปทำงานในคลินิกของตนเอง
คนใช้อินเตอร์เน็ตก็โกง เพราะทั้งๆที่รู้ว่าผิดกฎหมาย ก็ยังทำ ทั้งโหลดบิท โหลดหนังโป๊ เสพสื่อลามกอนาจาร
คนในศาสนาก็โกง เบียดบังเอาเงินบริจาคเข้ากระเป๋าตัวเองก็มีให้เห็นอยู่กลาดเกลื่อน
เรียกว่าชี้นิ้วไปที่ภาคส่วนไหนก็มีการ “
โกง” กันทั้งนั้น คนในวงการต่างๆ ก็รู้ดี ว่าวิธีการโกงของวงการตัวเองทำอย่างไรบ้าง แม้อาจจะไม่ได้โกงด้วยตัวเอง แต่ยังไงก็ต้องรับรู้บ้างแหละ ว่าคนในสังคมรอบข้างตัวเองใครโกง
ยกตัวอย่าง ครูผู้น้อยคนหนึ่งในโรงเรียนรัฐบาลห่างไกลในพื้นที่ชนบท รับรู้ว่า ครูใหญ่เบียดบังงบราชการมาใช้ส่วนตัว แต่ไม่ร้องเรียน หรือแจ้งให้ทางกระทรวงทราบเพราะกลัวโดนครูใหญ่ใช้อำนาจที่เหนือกว่าเล่นงาน แบบนี้ ถือว่ามีส่วนรู้เห็นในการทุจริตคอรัปชันไหม
อีกสักตัวอย่าง พ่อแม่รู้ว่าลูกชายวัย 18 ชอบขับรถซิ่ง ออกไปตะเวณขับรถสร้างความรำคาญให้กับชาวบ้านเวลาค่ำคืน แต่งมอเตอร์ไซต์อย่างผิดกฎหมาย แต่ก็ไม่ห้ามปราม แบบนี้ ถือว่ามีส่วนในการกระทำความผิด หรือ โกงกฎหมายร่วมกับลูกชายไหม หรือเพื่อนบ้านข้างเคียงที่รู้อยู่แล้ว ว่าลูกชายของบ้านนี้ เป็นพวกกวนเมือง แต่ก็ไม่แจ้งเจ้าหน้าที่ ถือว่า เพื่อนบ้านร่วมกันปกปิดผู้กระทำความผิดหรือเปล่า
ก็คงไม่มีใครยอมรับ ว่าตัวเองได้กระทำผิด หากอยู่ในเหตุการณ์ที่ผมยกตัวอย่างขึ้นมา นั้นเป็นเพราะทุกคนในสังคมนี้ ต่างก็เคยโกงหรือรับรู้ถึงการโกงของผู้อื่นมาแล้วทั้งนั้น
ใครเคยเที่ยวผับถึงตี 3 บ้าง
ใครเคยกลับรถในที่ห้ามกลับบ้าง
ใครเคยโหลด Bit บ้าง
ใครเคยข้ามถนนโดยไม่ใช้ทางม้าลาย สะพานลอยบ้าง
ใครเคยซื้อของหาบเร่แพงลอยที่ตั้งบนฟุตบาทบ้าง
อื่นๆ ฯลฯ
แม้จะเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่กฎหมายกำหนดไว้ว่าห้าม แต่คนในสังคมยังฝ่าฝืนกระทำ ก็ล้วนแต่เป็นการโกง ทั้งสิ้น
ที่กล่าวมาทั้งหมด มิใช่จะบอกให้ยอมรับการ “
โกง” ในสังคมของเรา แต่จะบอกว่าถ้าปากเราบอกเกลียดการโกง งั้นเราก็ต้องเลิกสนับสนุน ส่งเสริม หรือปกปิดพฤติกรรมการโกงของตัวเองหรือคนใกล้ตัวด้วย การโกงจะทำได้ยากขึ้น หากมีการตรวจสอบที่มากขึ้น อันนี้ทุกคนน่าจะรู้ ซึ่งถ้าหากยังทำไม่ได้ ก็ไม่ควรดัดจริตเสแสร้งทำตัวเป็นคนดีเลย
การเมืองในตอนนี้ก็เหมือนกัน หากแค่การก้าวขึ้นสู่อำนาจ ก็เริ่มจากวิธีที่ผิดแล้ว แถมยังตรวจสอบไม่ได้อีก จะให้เชื่อได้อย่างไร ว่าไม่มีการโกงหมกเม็ดภายใน สิ่งที่ขาดไปของสังคมนี้ ไม่ใช่คนดี เพราะใครๆต่างก็ดัดจริตอ้างตัวเป็นคนดีทั้งสิ้น
แต่สิ่งที่ขาดไป คือการตรวจสอบอย่างเสมอภาคและยุติธรรม
ปัญหาความแตกแยกของสังคม มันเกิดขึ้นเพราะประชาชนจะไม่ตรวจสอบนักการเมืองที่ตัวเองเชียร์หรือชื่นชอบ แต่จะไปตรวจสอบฝ่ายตรงข้ามโดยใช้อคติเป็นที่ตั้ง ผลก็คือ ไม่ว่าชี้มือไปที่ฝั่งไหน ก็จะได้ยินเสียง ว่า นักการเมืองเลว มาจากอีกฝั่งเสมอ เวลาโต้เถียงกันก็ใช้อารมณ์และความดัดจริต อ้างฝากฝ่ายตัวเองเป็นคนดีทุกครั้งไป
ดังนั้น วันนี้ ผมจะไม่ดัดจริตทำตัวเป็นคนดี แต่จะขอเสนอแนะวิธีการสร้างความปรองดองให้กับผู้มีอำนาจในขณะนี้ แม้ว่าความรู้สึกของผมจะไม่ชอบท่าน เพราะว่าพวกท่านก้าวขึ้นสู่อำนาจโดยวิธีการไม่ถูกต้อง วิธีที่ว่า คือการ ตรวจสอบที่บริสุทธิ์ยุติธรรมสำหรับทุกฝ่าย ไม่ว่าจะคนที่อยู่อยู่ฝ่ายตรงข้ามท่าน หรือพวกเดียวกับท่าน แม้แต่คณะของท่านเอง ก็ต้องมีวิธีการตรวจสอบที่โปร่งใสยอมรับได้
วิธีเหล่านี้ ได้ผลดีกว่าการแจกตั๋วหนังฟรีซึ่งไม่รู้ว่าจะนำไปสู่ความปรองดองได้อย่างไรนะครับ พณ.ท่าน
สังคมดัดจริต สังคมคอรัปชัน สังคมขี้โกง
ดัดจริต : ก. แสร้งทํากิริยาหรือวาจาให้เกินควร.
ทุกวันนี้สังคมไทยบางส่วนกำลังดัดจริต แสร้งทำตัวเป็น “คนดี” แสร้งเกลียดชังพฤติกรรมที่ผิดกฎหมาย ที่ตัวเองเชื่อตามอคติว่าผู้อื่นได้กระทำ ซึ่งหลักใหญ่ใจความของความแตกแยกของบ้านเมืองทุกวันนี้ ก็มาจากข้อกล่าวหา เรื่องการคอร์รัปชันของนักการเมือง
คอร์รัปชัน(เขียนตามพจนุกรม ไม่มีไม้เอกที่คำว่า ชัน) ก.ตามความหมายในพจนานุกรมไทยก็มีความหมายกว้างขวางมาก คือหมายถึงการฉ้อราษฎร์บังหลวง ตลอดจนการรีดไถโดยการที่เจ้าพนักงานเรียกและรับสินบนจากราษฎร ก็จัดเป็นการฉ้อราษฎร์ คือเป็นการเรียกเอาเงินหรืออามิสสินจ้างอย่างอื่น จากราษฎรเพื่อปฏิบัติหรือไม่ปฏิบัติตามหน้าที่ อันเป็นการอำนวยประโยชน์แก่ผู้ให้สินบน สำหรับการบังหลวง คือการที่เจ้าพนักงานกระทำการทุจริตต่อหน้าที่อันทำให้ เกิดความเสียหายแก่ผลประโยชน์ของแผ่นดิน ทั้งนี้ จะเป็นไปโดยสมคบกับราษฎรเบียดยังผลประโยชน์นั้นหรือไม่ก็ตาม
ซึ่งสรุปให้เข้าใจง่ายๆก็คือ คนไทยตีกันเองเพราะนักการเมืองขี้โกง นั้นเอง
ที่นี้มาดูความหมายของคำว่า โกง บ้าง
โกง : ก. ใช้อุบายหรือเล่ห์เหลี่ยมหลอกลวง เช่น โกงเงิน แสดงอาการดื้อไม่ยอมทําตาม เช่น เด็กโกง ม้าโกง. ว. โค้ง ไม่ตรง เช่น หลังโกง.
กฎระเบียบเป็นสิ่งที่ใช้ควบคุมสังคม อย่าง กฎหมาย ก็มีอยู่ แต่สังคมไทยเป็นสังคม "มือถือสาก ปากถือศีล" เพราะทุกคนต่างก็เคยโกงกันทั้งนั้น แต่ไม่มีใครยอมรับ
บริษัทห้างร้าน ก็โกงด้วยการหลบเลี่ยงภาษี ขายของลักษณะ none vat พนักงานบัญชีก็รู้ เพราะเป็นคนตบแต่งตัวเลขก่อนส่งสรรภากร พนักงานขายก็รู้ แต่ทำไงได้ อยากได้คอมมิชชั่น ก็ต้องขาย
หาบเร่แพงลอยก็โกงด้วยการแย่งชิงพื้นที่ทางเท้า
คนใช้รถใช้ถนน ก็โกงโดยการฝ่าฝืนกฎจราจร
หมอก็โกง โดยการเอาเวลางานไปทำงานในคลินิกของตนเอง
คนใช้อินเตอร์เน็ตก็โกง เพราะทั้งๆที่รู้ว่าผิดกฎหมาย ก็ยังทำ ทั้งโหลดบิท โหลดหนังโป๊ เสพสื่อลามกอนาจาร
คนในศาสนาก็โกง เบียดบังเอาเงินบริจาคเข้ากระเป๋าตัวเองก็มีให้เห็นอยู่กลาดเกลื่อน
เรียกว่าชี้นิ้วไปที่ภาคส่วนไหนก็มีการ “โกง” กันทั้งนั้น คนในวงการต่างๆ ก็รู้ดี ว่าวิธีการโกงของวงการตัวเองทำอย่างไรบ้าง แม้อาจจะไม่ได้โกงด้วยตัวเอง แต่ยังไงก็ต้องรับรู้บ้างแหละ ว่าคนในสังคมรอบข้างตัวเองใครโกง
ยกตัวอย่าง ครูผู้น้อยคนหนึ่งในโรงเรียนรัฐบาลห่างไกลในพื้นที่ชนบท รับรู้ว่า ครูใหญ่เบียดบังงบราชการมาใช้ส่วนตัว แต่ไม่ร้องเรียน หรือแจ้งให้ทางกระทรวงทราบเพราะกลัวโดนครูใหญ่ใช้อำนาจที่เหนือกว่าเล่นงาน แบบนี้ ถือว่ามีส่วนรู้เห็นในการทุจริตคอรัปชันไหม
อีกสักตัวอย่าง พ่อแม่รู้ว่าลูกชายวัย 18 ชอบขับรถซิ่ง ออกไปตะเวณขับรถสร้างความรำคาญให้กับชาวบ้านเวลาค่ำคืน แต่งมอเตอร์ไซต์อย่างผิดกฎหมาย แต่ก็ไม่ห้ามปราม แบบนี้ ถือว่ามีส่วนในการกระทำความผิด หรือ โกงกฎหมายร่วมกับลูกชายไหม หรือเพื่อนบ้านข้างเคียงที่รู้อยู่แล้ว ว่าลูกชายของบ้านนี้ เป็นพวกกวนเมือง แต่ก็ไม่แจ้งเจ้าหน้าที่ ถือว่า เพื่อนบ้านร่วมกันปกปิดผู้กระทำความผิดหรือเปล่า
ก็คงไม่มีใครยอมรับ ว่าตัวเองได้กระทำผิด หากอยู่ในเหตุการณ์ที่ผมยกตัวอย่างขึ้นมา นั้นเป็นเพราะทุกคนในสังคมนี้ ต่างก็เคยโกงหรือรับรู้ถึงการโกงของผู้อื่นมาแล้วทั้งนั้น
ใครเคยเที่ยวผับถึงตี 3 บ้าง
ใครเคยกลับรถในที่ห้ามกลับบ้าง
ใครเคยโหลด Bit บ้าง
ใครเคยข้ามถนนโดยไม่ใช้ทางม้าลาย สะพานลอยบ้าง
ใครเคยซื้อของหาบเร่แพงลอยที่ตั้งบนฟุตบาทบ้าง
อื่นๆ ฯลฯ
แม้จะเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่กฎหมายกำหนดไว้ว่าห้าม แต่คนในสังคมยังฝ่าฝืนกระทำ ก็ล้วนแต่เป็นการโกง ทั้งสิ้น
ที่กล่าวมาทั้งหมด มิใช่จะบอกให้ยอมรับการ “โกง” ในสังคมของเรา แต่จะบอกว่าถ้าปากเราบอกเกลียดการโกง งั้นเราก็ต้องเลิกสนับสนุน ส่งเสริม หรือปกปิดพฤติกรรมการโกงของตัวเองหรือคนใกล้ตัวด้วย การโกงจะทำได้ยากขึ้น หากมีการตรวจสอบที่มากขึ้น อันนี้ทุกคนน่าจะรู้ ซึ่งถ้าหากยังทำไม่ได้ ก็ไม่ควรดัดจริตเสแสร้งทำตัวเป็นคนดีเลย
การเมืองในตอนนี้ก็เหมือนกัน หากแค่การก้าวขึ้นสู่อำนาจ ก็เริ่มจากวิธีที่ผิดแล้ว แถมยังตรวจสอบไม่ได้อีก จะให้เชื่อได้อย่างไร ว่าไม่มีการโกงหมกเม็ดภายใน สิ่งที่ขาดไปของสังคมนี้ ไม่ใช่คนดี เพราะใครๆต่างก็ดัดจริตอ้างตัวเป็นคนดีทั้งสิ้น แต่สิ่งที่ขาดไป คือการตรวจสอบอย่างเสมอภาคและยุติธรรม
ปัญหาความแตกแยกของสังคม มันเกิดขึ้นเพราะประชาชนจะไม่ตรวจสอบนักการเมืองที่ตัวเองเชียร์หรือชื่นชอบ แต่จะไปตรวจสอบฝ่ายตรงข้ามโดยใช้อคติเป็นที่ตั้ง ผลก็คือ ไม่ว่าชี้มือไปที่ฝั่งไหน ก็จะได้ยินเสียง ว่า นักการเมืองเลว มาจากอีกฝั่งเสมอ เวลาโต้เถียงกันก็ใช้อารมณ์และความดัดจริต อ้างฝากฝ่ายตัวเองเป็นคนดีทุกครั้งไป
ดังนั้น วันนี้ ผมจะไม่ดัดจริตทำตัวเป็นคนดี แต่จะขอเสนอแนะวิธีการสร้างความปรองดองให้กับผู้มีอำนาจในขณะนี้ แม้ว่าความรู้สึกของผมจะไม่ชอบท่าน เพราะว่าพวกท่านก้าวขึ้นสู่อำนาจโดยวิธีการไม่ถูกต้อง วิธีที่ว่า คือการ ตรวจสอบที่บริสุทธิ์ยุติธรรมสำหรับทุกฝ่าย ไม่ว่าจะคนที่อยู่อยู่ฝ่ายตรงข้ามท่าน หรือพวกเดียวกับท่าน แม้แต่คณะของท่านเอง ก็ต้องมีวิธีการตรวจสอบที่โปร่งใสยอมรับได้
วิธีเหล่านี้ ได้ผลดีกว่าการแจกตั๋วหนังฟรีซึ่งไม่รู้ว่าจะนำไปสู่ความปรองดองได้อย่างไรนะครับ พณ.ท่าน