เรื่องนี้เป็นเรื่องจริง ที่เจอกับตัวเองเมื่อประมาณเกือบ 2 ปีที่แล้วครับ
จริงๆอยากจะขึ้นหัวกระทู้เป็น "เมื่อพึ่งตำรวจไม่ได้ ก็ต้องพึ่งตัวเอง" กลัวจะแรงไปเลยขอซอฟๆลงหน่อย
บ้านแฟนผมอยู่ในเขตชุมชนที่ไม่ค่อยจะดีนักในจังหวัดนึงในภาคอีสาน แต่ก็ยังถือว่าเป็นเขตในตัวเมือง
บ้านของแฟนเป็นบ้านชั้นเดียว ประตูหน้ามีรั้วและกำแพง แต่ส่วนด้านข้างและหลังบ้านจะทำเป็นรั้วลวดหนามแทน แพราะบริเวณโดยรอบติดกับที่ของคนอื่นและเป็นที่ค่อนข้างรกมีแต่ต้นไม้
ส่วนหลังบ้านก่อนหน้าจะเกิดเรื่องก็เคยมีคนอยู่ แต่ซักพักหลังจากบ้านนี้ย้ายออกไปก็กลายเป็นบ้านร้าง ส่วนข้างบ้านเป็นคนรู้จักกันดีแต่ก็ไม่ค่อยจะมีคนอยู่บ้านช่วงกลางวันเหมือนกัน
เกริ่นก่อนว่าที่บ้านของแฟนผม คุณป้าของแฟนอาชีพรับราชการ ส่วนแฟนเรียนมหาลัยอีกจังหวัดนึง ส่วนใหญ่คุณป้าจึงอยู่บ้านคนเดียว
แต่หลังจากแฟนเรียนจบแล้วก็ทำงานตั้งแต่เช้าจรดเย็น ทำให้บ้านค่อนข้างเข้าออกเป็นเวลา และไม่มีคนอยู่บ้านเลยในช่วงเช้าทำให้เป็นจุดที่โจรอาจจะเลือกบ้านหลังนี้
เหตุการณ์แรก เกิดช่วงที่แฟนผมยังเรียนอยู่อีกจังหวัดนึง ส่วนคุณป้าก็ออกไปทำงานในช่วงเช้า
พอตกเย็นคุณป้ากลับมาบ้านก็พบสิ่งผิดปกติ คือ ประตูหลังบ้านแง้มอยู่ ซึ่งคุณป้าก็เข้าใจว่าตัวเองอาจจะรีบจนลืมปิดประตูเสียเอง
ในช่วงเวลาหลายเดือนระหว่างนี้ก็เริ่มมีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นอีกเรื่อยๆ เช่น มุ้งลวดเปิดค้างไว้ ประตูหลังบ้านบานเดิมแง้มอีกแล้ว
และเริ่มสังเกตุว่ามีของเล็กๆน้อยๆหายไป ตั้งแต่น้ำหอม นาฬิกา ยันพระเครื่อง ซึ่งก็เป็นชิ้นเล็กๆน้อยๆ
แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้เริ่มรู้ตัวแล้วว่าบ้านโดนขโมยเล่นงานแล้ว !!!
จึงได้ไปแจ้งความและขอติดกล่องแดงไว้หน้าบ้านเพื่อให้ตำรวจคอยมาสอดส่องดูแลบ้านบ่อยๆ เพื่อนความอุ่นใจ
หลังจากนั้นได้ทำการต่อเติมรั้วรอบบ้านเพิ่ม สูงเกิน 3 เมตร พร้อมกับติดตะปูไว้โดยรอบด้านบนของรั้ว
ซึ่งช่วงระหว่างที่ทำรั้วก็ไม่มีเหตุการณ์อะไรผิดปกติ เพราะช่างเข้ามาทำงานเช้ากลับเย็นทุกวันไม่มีช่วงเวลาให้มันเข้ามาขโมยของได้
แต่!!! ... ก็ยังมีช่องโหว่ คือรั้วช่วงนึงที่เปิดไว้ระหว่างบ้านที่ติดกัน สาเหตุเพราะตัวคุณป้าเจ้าของบ้านอยากเอาไว้เดินไปหาคนข้างบ้านได้ ซึ่งบ้านข้างๆรั้วหลังบ้านก็ดันเป็นรั้วธรรมดาไม่ได้ป้องกันอะไร
หลังจากทำรั้วเสร็จก็ไม่มีเหตุการณ์ขโมยเข้ามาอีกหลายนับเวลาได้หลายเดือน
จนผ่านไปเกือบปี แฟนผมเรียนจบกลับมาอยู่บ้านหลังนี้และเริ่มทำงาน ก็เวลางานของคนทั่วไปคือทำงานเช้าเลิกเย็น
เหตุการณ์เริ่มรุนแรงขึ้น เพราะคราวนี้โจรมันพังหลังคาเข้ามา พังฝ้าทะลุ
ประตูห้องที่ล็อคไว้มันเปิดเข้าไม่ได้ มันก็ปีนฝ้าเพดานข้ามกำแพงเพื่อจะเข้าไปขโมยของในห้อง
แต่ก็ยังเป็นของชิ้นเล็กๆที่หยิบจับใส่กระเป๋าได้ เพราะประตูบ้านค่อนข้างแน่นหนาถ้าจะพังจริงๆก็ต้องเอาชะแลงงัดเข้าอย่างเดียว
เวลาออกมันเลยต้องปีนกลับรูเดิมที่เข้ามาไม่งั้นของชิ้นใหญ่ๆคงหายแน่นอน
ซึ่งคุณป้าและแฟนผมจิตตกมากช่วงนั้นเพราะเป็นแค่ผู้หญิงอยู่บ้านกัน2คน แจ้งความตำรวจมาเก็บรอยนิ้วมือก็แล้วอะไรหลายๆอย่างก็ยังหาตัวไม่เจอ
ผ่านไปเป็นอาทิตย์เป็นเดือนก็ยังไม่มีอะไรคืบหน้า ไปหาไปถามบ่อยๆก็ทำท่าเนือยๆบอกเดี๋ยวตามให้
สรุปคือ ไม่มีคนตามคดี เป็นแค่คดีเล็กๆ ไม่มีใครสนใจ แต่กับผู้ประสบเหตุมันไม่ได้เล็กน้อยเลย
จุดไคลแมกซ์อยู่ตรงที่ว่า ...ของที่หายหนึ่งในนั้นคือ "โทรศัพท์มือถือของคุณป้า" ที่เผอิญวันนั้นดันลืมไว้ที่บ้านพอดี
หลังจากที่รู้ว่ามือถือหาย ผมก็ลองโทรเข้าไป แต่ปิดเครื่องครับ!! ตอนนั้นคิดว่า มันคงถอดซิมทิ้งแล้วเอาไปขายแล้ว
พอซักพักผ่านไป2-3วัน มี SMS แจ้งเข้ามาว่าสามารถติดต่อได้แล้ว
ผมเลยรีบโทรเข้าไปทางนั้นไม่พูดอะไรมีแต่เสียงหัวเราะกลับมา เป็นเสียงแบบพวกวัยรุ่นผู้ชาย
แฟนก็ไปแจ้งตำรวจอีกรอบ แต่ก็....เงียบครับ
หลังจากนั้นเราก็พยายามหาทางด้วยตัวเองว่าจะจับมันได้ยังไง จึงเติมเงินใส่ให้มันเพิ่มเพื่อให้มันเปิดเบอร์ใช้โทรต่อไปไม่เอาซิมไปทิ้ง
...ช่วงเดือนเมษายนทางผมกับแฟนก็เลยเข้าไปที่ศูนย์ AIS ที่ห้างใหญ่แห่งนึงในจังหวัดเพื่อขอข้อมูลการใช้โทรศัพท์ของเบอร์คุณป้า
เมื่อแจ้งพนักงานไป เขาเลยเรียกผู้จัดการออกมาคุยกับเรา ซึ่งเราก็เล่าให้ผู้จัดการศูนย์ฟังทุกเรื่องที่เจอ และบอกว่าหมายเลขยังเปิดการใช้งานอยู่
ทางผู้จัดการจึงขอใบสำเนาบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐาน แล้วจึงนำข้อมูลการโทรเข้าโทรออกมาให้เราครับ
(ขอบคุณผู้จัดการศูนย์AISท่านนี้มากๆครับ ที่ทำให้เราจับตัวคนร้ายได้สำเร็จ)
...พอได้ใบบันทึกการโทรเข้าออกมาตอนนี้ก็เป็นหน้าที่ของผมเองที่จะควานหาตัวคนร้าย โดยใช้ GOOGLE ครับ
ขอยกความดีให้กับ GOOGLE จริงๆ ผมนำเบอร์โทรศัพท์หลังจากที่โทรศัพท์หายไปตามบันทึกมาลอง หาบนเน็ต และ.....แจ็คพอตแตก!!!
มีการโทรออกในช่วงวันสงกรานต์ เป็นเบอร์ๆนึงของเด็กมัธยมโรงเรียนหนึ่งในจังหวัด
ซึ่งมีชื่อ-นามสกุลจริงทั้งหมดเพราะข้อมูลบนเน็ตเป็นเล่มรายงานที่ใช้ส่งอาจารย์ในโรงเรียน
ผมได้ทำการปลอมตัวเป็นอาจารย์โทรไปหาเด็กคนนั้นสอบถามว่าหนูใช่เด็กโรงเรียน... ชื่อ.... นามสกุล.... ข้อมูลตรงทุกอย่างครับ
วันต่อมาก็ได้เอาข้อมูลที่หาได้ทั้งหมดเอาไปส่งให้ตำรวจเจ้าของคดี ไม่ถึง2วัน ตำรวจโทรมาบอกว่าจับคนร้ายได้แล้วววว..... (เย้)
เลยพากันไปดูตัวคนร้าย ซึ่งคนร้ายก็เป็นคนแถวบ้าน สารภาพออกมาทั้งหมดว่าเป็นคนที่งัดเข้ามาขโมยของในบ้านเอง 3 ครั้ง
เพื่อหาเงินไปซื้อยาเสพติด และใช้เที่ยวเตร่
(ปัจจุบัน ออกจากคุกมาแล้วครับ ติดน้อยไปมั๊ยยย ไม่ถึงปี เริ่มออกมาวนเวียนอีกแล้ว ตอนนี้ไม่กล้ามาทำอะไรอีกแล้ว เพราะคงโดนเพ่งเล็งเป็นพิเศษ คนแถวนั้นรู้กันหมด)
ตำรวจสรุปคดีให้ฟังว่า...หลังจากที่เราได้เอาเบอร์โทรของเด็กนักเรียนไปให้ทางตำรวจ ตำรวจก็ได้โทรไปหาและสอบถาม
ได้ความว่า ...มีผู้ชายใช้เบอร์ที่ถูกขโมยไปโทรมาหา ซึ่งทั้งสองก็รู้จักกันอยู่แล้ว ตำรวจจึงได้ตามไปหาผู้ชายคนดังกล่าว
แล้วชายคนนี้จึงได้ซัดทอดไปหาผู้ร้ายที่เป็นคนขโมยโทรศัพท์ตัวจริง
หลังจากเสร็จสิ้นตำรวจเจ้าของคดีถามกลับมาว่าไปเอาข้อมูลมาจากไหน? ได้ยังไง?
เราก็ได้แต่หัวเราะหึหึหึ ไม่รู้จะตอบกลับไปยังไงดี เพราะทั้งหมดที่ทำลงไปจริงๆแล้ว มันไม่ใช่เรื่องยากมากมายอะไรเลย
ขนาดเราเป็นแค่คนธรรมดาๆ ยังสามารถสืบไปจนถึงตัวคนร้ายได้
ซึ่งผมว่า ถ้าเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจติดตามคนร้าย คงทำได้รวดเร็วกว่าคนธรรมดาอย่างผมแน่ๆ จริงมั้ยครับ?
สุดท้ายนี้
ผมขอฝากเรื่องนี้ไว้เป็นอุทธาหรณ์ให้แก่ทุกคน ให้ตรวจตราดูแลบ้าน และหาทางป้องกันไม่ให้บุคคลไม่พึงประสงค์เหล่านี้เข้ามาในบ้านได้ง่ายๆ
หรืออาจจะลงทุนติดกล้องวงจรปิดไว้ตามจุดต่างๆของบ้าน เพื่อเป็นหลักฐานมัดตัวคนร้าย ไม่ต้องเสียเวลาในการหาคนร้าย และจิตตกแบบพวกเราเป็นเดือนๆครับ
เมื่อแฟนผมเจอขโมยขึ้นบ้าน(และต้องทำการตามหาตัวคนร้ายเอง)
จริงๆอยากจะขึ้นหัวกระทู้เป็น "เมื่อพึ่งตำรวจไม่ได้ ก็ต้องพึ่งตัวเอง" กลัวจะแรงไปเลยขอซอฟๆลงหน่อย
บ้านแฟนผมอยู่ในเขตชุมชนที่ไม่ค่อยจะดีนักในจังหวัดนึงในภาคอีสาน แต่ก็ยังถือว่าเป็นเขตในตัวเมือง
บ้านของแฟนเป็นบ้านชั้นเดียว ประตูหน้ามีรั้วและกำแพง แต่ส่วนด้านข้างและหลังบ้านจะทำเป็นรั้วลวดหนามแทน แพราะบริเวณโดยรอบติดกับที่ของคนอื่นและเป็นที่ค่อนข้างรกมีแต่ต้นไม้
ส่วนหลังบ้านก่อนหน้าจะเกิดเรื่องก็เคยมีคนอยู่ แต่ซักพักหลังจากบ้านนี้ย้ายออกไปก็กลายเป็นบ้านร้าง ส่วนข้างบ้านเป็นคนรู้จักกันดีแต่ก็ไม่ค่อยจะมีคนอยู่บ้านช่วงกลางวันเหมือนกัน
เกริ่นก่อนว่าที่บ้านของแฟนผม คุณป้าของแฟนอาชีพรับราชการ ส่วนแฟนเรียนมหาลัยอีกจังหวัดนึง ส่วนใหญ่คุณป้าจึงอยู่บ้านคนเดียว
แต่หลังจากแฟนเรียนจบแล้วก็ทำงานตั้งแต่เช้าจรดเย็น ทำให้บ้านค่อนข้างเข้าออกเป็นเวลา และไม่มีคนอยู่บ้านเลยในช่วงเช้าทำให้เป็นจุดที่โจรอาจจะเลือกบ้านหลังนี้
เหตุการณ์แรก เกิดช่วงที่แฟนผมยังเรียนอยู่อีกจังหวัดนึง ส่วนคุณป้าก็ออกไปทำงานในช่วงเช้า
พอตกเย็นคุณป้ากลับมาบ้านก็พบสิ่งผิดปกติ คือ ประตูหลังบ้านแง้มอยู่ ซึ่งคุณป้าก็เข้าใจว่าตัวเองอาจจะรีบจนลืมปิดประตูเสียเอง
ในช่วงเวลาหลายเดือนระหว่างนี้ก็เริ่มมีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นอีกเรื่อยๆ เช่น มุ้งลวดเปิดค้างไว้ ประตูหลังบ้านบานเดิมแง้มอีกแล้ว
และเริ่มสังเกตุว่ามีของเล็กๆน้อยๆหายไป ตั้งแต่น้ำหอม นาฬิกา ยันพระเครื่อง ซึ่งก็เป็นชิ้นเล็กๆน้อยๆ
แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้เริ่มรู้ตัวแล้วว่าบ้านโดนขโมยเล่นงานแล้ว !!!
จึงได้ไปแจ้งความและขอติดกล่องแดงไว้หน้าบ้านเพื่อให้ตำรวจคอยมาสอดส่องดูแลบ้านบ่อยๆ เพื่อนความอุ่นใจ
หลังจากนั้นได้ทำการต่อเติมรั้วรอบบ้านเพิ่ม สูงเกิน 3 เมตร พร้อมกับติดตะปูไว้โดยรอบด้านบนของรั้ว
ซึ่งช่วงระหว่างที่ทำรั้วก็ไม่มีเหตุการณ์อะไรผิดปกติ เพราะช่างเข้ามาทำงานเช้ากลับเย็นทุกวันไม่มีช่วงเวลาให้มันเข้ามาขโมยของได้
แต่!!! ... ก็ยังมีช่องโหว่ คือรั้วช่วงนึงที่เปิดไว้ระหว่างบ้านที่ติดกัน สาเหตุเพราะตัวคุณป้าเจ้าของบ้านอยากเอาไว้เดินไปหาคนข้างบ้านได้ ซึ่งบ้านข้างๆรั้วหลังบ้านก็ดันเป็นรั้วธรรมดาไม่ได้ป้องกันอะไร
หลังจากทำรั้วเสร็จก็ไม่มีเหตุการณ์ขโมยเข้ามาอีกหลายนับเวลาได้หลายเดือน
จนผ่านไปเกือบปี แฟนผมเรียนจบกลับมาอยู่บ้านหลังนี้และเริ่มทำงาน ก็เวลางานของคนทั่วไปคือทำงานเช้าเลิกเย็น
เหตุการณ์เริ่มรุนแรงขึ้น เพราะคราวนี้โจรมันพังหลังคาเข้ามา พังฝ้าทะลุ
ประตูห้องที่ล็อคไว้มันเปิดเข้าไม่ได้ มันก็ปีนฝ้าเพดานข้ามกำแพงเพื่อจะเข้าไปขโมยของในห้อง
แต่ก็ยังเป็นของชิ้นเล็กๆที่หยิบจับใส่กระเป๋าได้ เพราะประตูบ้านค่อนข้างแน่นหนาถ้าจะพังจริงๆก็ต้องเอาชะแลงงัดเข้าอย่างเดียว
เวลาออกมันเลยต้องปีนกลับรูเดิมที่เข้ามาไม่งั้นของชิ้นใหญ่ๆคงหายแน่นอน
ซึ่งคุณป้าและแฟนผมจิตตกมากช่วงนั้นเพราะเป็นแค่ผู้หญิงอยู่บ้านกัน2คน แจ้งความตำรวจมาเก็บรอยนิ้วมือก็แล้วอะไรหลายๆอย่างก็ยังหาตัวไม่เจอ
ผ่านไปเป็นอาทิตย์เป็นเดือนก็ยังไม่มีอะไรคืบหน้า ไปหาไปถามบ่อยๆก็ทำท่าเนือยๆบอกเดี๋ยวตามให้
สรุปคือ ไม่มีคนตามคดี เป็นแค่คดีเล็กๆ ไม่มีใครสนใจ แต่กับผู้ประสบเหตุมันไม่ได้เล็กน้อยเลย
จุดไคลแมกซ์อยู่ตรงที่ว่า ...ของที่หายหนึ่งในนั้นคือ "โทรศัพท์มือถือของคุณป้า" ที่เผอิญวันนั้นดันลืมไว้ที่บ้านพอดี
หลังจากที่รู้ว่ามือถือหาย ผมก็ลองโทรเข้าไป แต่ปิดเครื่องครับ!! ตอนนั้นคิดว่า มันคงถอดซิมทิ้งแล้วเอาไปขายแล้ว
พอซักพักผ่านไป2-3วัน มี SMS แจ้งเข้ามาว่าสามารถติดต่อได้แล้ว
ผมเลยรีบโทรเข้าไปทางนั้นไม่พูดอะไรมีแต่เสียงหัวเราะกลับมา เป็นเสียงแบบพวกวัยรุ่นผู้ชาย
แฟนก็ไปแจ้งตำรวจอีกรอบ แต่ก็....เงียบครับ
หลังจากนั้นเราก็พยายามหาทางด้วยตัวเองว่าจะจับมันได้ยังไง จึงเติมเงินใส่ให้มันเพิ่มเพื่อให้มันเปิดเบอร์ใช้โทรต่อไปไม่เอาซิมไปทิ้ง
...ช่วงเดือนเมษายนทางผมกับแฟนก็เลยเข้าไปที่ศูนย์ AIS ที่ห้างใหญ่แห่งนึงในจังหวัดเพื่อขอข้อมูลการใช้โทรศัพท์ของเบอร์คุณป้า
เมื่อแจ้งพนักงานไป เขาเลยเรียกผู้จัดการออกมาคุยกับเรา ซึ่งเราก็เล่าให้ผู้จัดการศูนย์ฟังทุกเรื่องที่เจอ และบอกว่าหมายเลขยังเปิดการใช้งานอยู่
ทางผู้จัดการจึงขอใบสำเนาบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐาน แล้วจึงนำข้อมูลการโทรเข้าโทรออกมาให้เราครับ
(ขอบคุณผู้จัดการศูนย์AISท่านนี้มากๆครับ ที่ทำให้เราจับตัวคนร้ายได้สำเร็จ)
...พอได้ใบบันทึกการโทรเข้าออกมาตอนนี้ก็เป็นหน้าที่ของผมเองที่จะควานหาตัวคนร้าย โดยใช้ GOOGLE ครับ
ขอยกความดีให้กับ GOOGLE จริงๆ ผมนำเบอร์โทรศัพท์หลังจากที่โทรศัพท์หายไปตามบันทึกมาลอง หาบนเน็ต และ.....แจ็คพอตแตก!!!
มีการโทรออกในช่วงวันสงกรานต์ เป็นเบอร์ๆนึงของเด็กมัธยมโรงเรียนหนึ่งในจังหวัด
ซึ่งมีชื่อ-นามสกุลจริงทั้งหมดเพราะข้อมูลบนเน็ตเป็นเล่มรายงานที่ใช้ส่งอาจารย์ในโรงเรียน
ผมได้ทำการปลอมตัวเป็นอาจารย์โทรไปหาเด็กคนนั้นสอบถามว่าหนูใช่เด็กโรงเรียน... ชื่อ.... นามสกุล.... ข้อมูลตรงทุกอย่างครับ
วันต่อมาก็ได้เอาข้อมูลที่หาได้ทั้งหมดเอาไปส่งให้ตำรวจเจ้าของคดี ไม่ถึง2วัน ตำรวจโทรมาบอกว่าจับคนร้ายได้แล้วววว..... (เย้)
เลยพากันไปดูตัวคนร้าย ซึ่งคนร้ายก็เป็นคนแถวบ้าน สารภาพออกมาทั้งหมดว่าเป็นคนที่งัดเข้ามาขโมยของในบ้านเอง 3 ครั้ง
เพื่อหาเงินไปซื้อยาเสพติด และใช้เที่ยวเตร่ (ปัจจุบัน ออกจากคุกมาแล้วครับ ติดน้อยไปมั๊ยยย ไม่ถึงปี เริ่มออกมาวนเวียนอีกแล้ว ตอนนี้ไม่กล้ามาทำอะไรอีกแล้ว เพราะคงโดนเพ่งเล็งเป็นพิเศษ คนแถวนั้นรู้กันหมด)
ตำรวจสรุปคดีให้ฟังว่า...หลังจากที่เราได้เอาเบอร์โทรของเด็กนักเรียนไปให้ทางตำรวจ ตำรวจก็ได้โทรไปหาและสอบถาม
ได้ความว่า ...มีผู้ชายใช้เบอร์ที่ถูกขโมยไปโทรมาหา ซึ่งทั้งสองก็รู้จักกันอยู่แล้ว ตำรวจจึงได้ตามไปหาผู้ชายคนดังกล่าว
แล้วชายคนนี้จึงได้ซัดทอดไปหาผู้ร้ายที่เป็นคนขโมยโทรศัพท์ตัวจริง
หลังจากเสร็จสิ้นตำรวจเจ้าของคดีถามกลับมาว่าไปเอาข้อมูลมาจากไหน? ได้ยังไง?
เราก็ได้แต่หัวเราะหึหึหึ ไม่รู้จะตอบกลับไปยังไงดี เพราะทั้งหมดที่ทำลงไปจริงๆแล้ว มันไม่ใช่เรื่องยากมากมายอะไรเลย
ขนาดเราเป็นแค่คนธรรมดาๆ ยังสามารถสืบไปจนถึงตัวคนร้ายได้
ซึ่งผมว่า ถ้าเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจติดตามคนร้าย คงทำได้รวดเร็วกว่าคนธรรมดาอย่างผมแน่ๆ จริงมั้ยครับ?
สุดท้ายนี้
ผมขอฝากเรื่องนี้ไว้เป็นอุทธาหรณ์ให้แก่ทุกคน ให้ตรวจตราดูแลบ้าน และหาทางป้องกันไม่ให้บุคคลไม่พึงประสงค์เหล่านี้เข้ามาในบ้านได้ง่ายๆ
หรืออาจจะลงทุนติดกล้องวงจรปิดไว้ตามจุดต่างๆของบ้าน เพื่อเป็นหลักฐานมัดตัวคนร้าย ไม่ต้องเสียเวลาในการหาคนร้าย และจิตตกแบบพวกเราเป็นเดือนๆครับ