ขออนุญาติเจ้าของเพจเอามาเผยแพร่ต่อแล้วนะคะ เจ้าของเพจเป็นนักข่าวของทีวีช่องหนึ่งค่ะ และเมื่อวานนี้เห็นว่าเค้าไปลงพื้นที่ดูคนกัมพูชา เดินทางกลับบ้านที่สถานีรถไฟ และไปคุยกับคนเขมร ก็เลยได้แง่มุมความยากลำบากของชีวิตชาวเขมรที่ต้องเจอกับความยากลำบากเมื่อมาใช้ชีวิตในประเทศไทย ทั้งถูกเอาเปรียบ ถูกดูถูกเหยียดหยาม ค่อนข้างหน้าสงสารมากค่ะ คือที่ดิฉันอยากเอามาเผยแพร่ก็เพราะว่าอยากให้เราเข้าใจถึงหวัอกของปรเทศเพื่อนบ้านด้วยว่าเขาต้องเจออะไรบ้าง เพราะอีกไม่นานเราก็จะเป็นประชาคมอาเซียนแล้ว เราก็ควรศึกษาและเข้าใจพวกเขาค่ะ แต่ว่าในความคิดของดิฉันนะคะ คนไทยด้วยกันเองยังดูถูกกันเลย เช่นคนกรุงเทพชอบดูถูกคนอีสานอะไรทำนองนี้ เรายังดูถูกกันเอง นับประสาอะไรกับประเทศเพื่อนบ้าน แต่นั่นล่ะค่ะ เราน่าจะเลิกความคิดแบบนี้ได้แล้วนะ เพราะมันบ่งบอกถึงนิสัยของคนในชาติเราอย่างมากเลย บทความนี้มีประโยชน์ค่ะ เลยอยากเอามาแชร์
"จากประสบการณ์ที่ผม ได้ลงไปทำสกู๊ปพิเศษเรื่องการอพยพกลับประเทศของแรงงานกัมพูชาเมื่อวานนี้ ผมอยากบอกว่า พวกเราอย่าดูถูกคนจากประเทศเพื่อนบ้านเราเลย ไม่ว่าจะลาว พม่า หรือกัมพูชา เพราะพวกเขาเหล่านั้นถือว่ามีความสำคัญอย่างมากต่อเศรษฐกิจของประเทศเรา อย่างที่หลานคนทราบคนไทยไม่ชอบทำงานหนัก ไม่สู้งาน ชอบทำงานสบายๆ ก็เลยต้องมีคนจากเพื่อนบ้านมาทำงานในลักษณะนี้แทน เพราะเขาสู้งานกว่า ไม่ค่อยเกี่ยงงาน มากเท่ากับคนไทยครับ อีกอย่างโอกาสในสังคมของพวกเขาค่อนข้างน้อยอยู่แล้ว ยิ่งเขามาเจอการดูถูกดูแคลน ถูกเอารัดเอาเปรียบจากคนไทยด้วย ยิ่งทำให้พวกเขารู้สึกไม่ดีต่อเรามากขึ้น เมื่อวานนี้ผมได้พูดคุยกับแรงงานชาวกัมพูชาคนหนึ่งที่เข้ามาทำงานในนิคมอุตสาหกรรมลาดกระบังว่า เขาเข้ามาทำงานที่นิคมฯ ลาดกระบังแล้วกว่า 3 ปี พูดภาษาไทย และเข้าใจภาษาไทยได้ในระดับดีทีเดียว โดยเขาบอกว่าการที่ต้องเดินทางมาทำงานต่างบ้านต่างเมือง ไม่ใช่สิ่งที่เขามีความสุขเลย เพราะต้องห่างพ่อ ห่างแม่ ห่างลูก ห่างเมีย และยังต้องมาเจอกับสภาพสังคมที่ไม่ค่อยจะเปิดใจรับคนชาติเขาสักเท่าไหร่ คนไทยมักมองพวกเขาด้วยความหวาดกลัว และไม่กล้าที่จะพูดคุยหรือคบหากับพวกเขา แถมบางคนยังมองเหมือนพวกเขาไม่ใช่คนอีกด้วย แต่อย่างไรก็ตามเขาก็ต้องอดทน เพราะการเข้ามาทำงานในประเทศไทย ได้เงินเดือนดีกว่าทำงานที่บ้านเกิด และวันนี้เขาก็กำลังจะเดินทางกลับประเทศกัมพูชา พร้อมกับเพื่อนๆ ชาวกัมพูชา ที่ทำงานที่โรงงานเดียวกันอีกกว่า 50 ชีวิต เพื่อกลับไปช่วยพ่อแม่ทำนา ในช่วงฤดูฝน ส่วนเพื่อนๆ ของเขาหลายคนก็เดินทางกลับด้วยเหตุผลเดียวกัน และก็บางคนก็ไปทำเรื่องขออนุญาติเข้ามาทำงานในประเทศไทยอย่างถูกต้องตามกฎหมายด้วย
ตอนที่ผมเข้าไปพูดคุยกับพวกเขา ตอนแรกพวกเขามองผมด้วยแววตาหวาดกลัว เพราะคงกลัวว่าผมจะไปทำอะไรพวกเขา เนื่องจากก่อนหน้านี้ พวกเขาก็เพิ่งโดนเจ้าหน้าที่รัฐของไทยบางหน่วยงานรีดไถเงินมาด้วย แต่พอได้พูดคุยมากขึ้น โดยที่ผมไม่ได้มีท่าทีรังเกียจพวกเขา เขาก็รู้สึกดีกับผม และยังบอกด้วยว่า มีคนไทยแค่ไม่กี่คนที่คุยกับพวกเขาดีๆ เพราะส่วนใหญ่ที่เจอ จะมีแต่คำพูดที่สร้างความเจ็บช้ำ ดูถูกพวกเขา ซึ่งก็เลยทำให้ผมได้ข้อมูลหลายๆ อย่างๆ ที่เป็นประโยนชน์เพื่อมาทำสกู๊ปข่าวอีกด้วย
ผมอยากจะบอกพวกเราชาวไทยหลายๆ คนว่า ความจริงแล้วพวกเขาไม่ได้รังเกลียจคนไทยนะ เหมือนที่คนไทยชอบทำท่ารังเกลียจพวกเขา เขารู้สึกดีกับพวกเรา และมองเราเป็นต้นแบบแห่งการพัฒนาเสมอ อีกอย่างแรงงานชาวกัมพูชาหลายคนที่มาทำงานในบ้านเรา ส่วนใหญ๋จะมาทำงานในแรงงานระดับล่าง ถึงล่างมากๆ แต่ถือเป็นส่วนสำคัญในการพัฒนาระบบเศรษฐกิจของประเทศไทย และทุกวันนี้เราเองก็ประสบกับปัญหาแรงงานพอสมควร ก็เลยต้องนำเข้าแรงงานจากประเทศเพื่อบ้านเข้ามาเสริม พอแรงงานเพื่อนบ้านเดินทางกลับประเทศ ก็จะเห็นได้ว่าภาคธุรกิจ หรือกิจการต่างๆ เป็นกังวลทันที เพราะไม่มีแรงงานมากพอที่จะทำงานต่อไป รวมทั้งโครงการต่างๆ ของทั้งภาครัฐไม่ว่าจะเป็น รถไฟฟ้า สนามบิน หรืออาคารสูงๆ ในเมืองใหญ่ๆ ต่างก็ใช้แรงงานจากเพื่อนบ้านทั้งนั้น และแน่นอนเมื่อไม่มีคนทำงาน โครงการต่างๆ ก็ต้องดำเนินการช้ากว่าแผนออกไปอีก มันกระทบไปทั้งระบบ รวมทั้งอีกแค่ปีกว่า ๆ เราก็จะเข้าสู่การเป็นประชาคมเดียวกันแล้ว แต่เรายังยึดว่าเราไม่เป็นหนึ่งในประชาคม คิดว่าเราต้องเป็นหนึ่งเดียว ทัศนะคติแบบนี้อันตรายครับ เพราะถ้าเมื่อถึงวันนั้น วันที่เรารวมกันเป็นหนึ่ง แต่มีแค่ไทยที่คิดว่าตัวเองไม่อยาก และไม่ใช่ส่วนหนึ่งของประชาคมนี้ เราเองแหละที่จะลำบาก แต่สำหรับผมแล้ว ผมมองพวกเขาคือคนเหมือนเรา มีสิทธิ ศักดิ์ศรี และเป็นเพื่อนกับเรา ไม่เคยรังเกลียดพวกเขาเลยครับ"
Credit :
https://www.facebook.com/watcharathit.katsri
ชีวิต และหัวใจของเขา แรงงานชาวกัมพูชา ที่อยากให้พวกเราเข้าใจ
ขออนุญาติเจ้าของเพจเอามาเผยแพร่ต่อแล้วนะคะ เจ้าของเพจเป็นนักข่าวของทีวีช่องหนึ่งค่ะ และเมื่อวานนี้เห็นว่าเค้าไปลงพื้นที่ดูคนกัมพูชา เดินทางกลับบ้านที่สถานีรถไฟ และไปคุยกับคนเขมร ก็เลยได้แง่มุมความยากลำบากของชีวิตชาวเขมรที่ต้องเจอกับความยากลำบากเมื่อมาใช้ชีวิตในประเทศไทย ทั้งถูกเอาเปรียบ ถูกดูถูกเหยียดหยาม ค่อนข้างหน้าสงสารมากค่ะ คือที่ดิฉันอยากเอามาเผยแพร่ก็เพราะว่าอยากให้เราเข้าใจถึงหวัอกของปรเทศเพื่อนบ้านด้วยว่าเขาต้องเจออะไรบ้าง เพราะอีกไม่นานเราก็จะเป็นประชาคมอาเซียนแล้ว เราก็ควรศึกษาและเข้าใจพวกเขาค่ะ แต่ว่าในความคิดของดิฉันนะคะ คนไทยด้วยกันเองยังดูถูกกันเลย เช่นคนกรุงเทพชอบดูถูกคนอีสานอะไรทำนองนี้ เรายังดูถูกกันเอง นับประสาอะไรกับประเทศเพื่อนบ้าน แต่นั่นล่ะค่ะ เราน่าจะเลิกความคิดแบบนี้ได้แล้วนะ เพราะมันบ่งบอกถึงนิสัยของคนในชาติเราอย่างมากเลย บทความนี้มีประโยชน์ค่ะ เลยอยากเอามาแชร์
"จากประสบการณ์ที่ผม ได้ลงไปทำสกู๊ปพิเศษเรื่องการอพยพกลับประเทศของแรงงานกัมพูชาเมื่อวานนี้ ผมอยากบอกว่า พวกเราอย่าดูถูกคนจากประเทศเพื่อนบ้านเราเลย ไม่ว่าจะลาว พม่า หรือกัมพูชา เพราะพวกเขาเหล่านั้นถือว่ามีความสำคัญอย่างมากต่อเศรษฐกิจของประเทศเรา อย่างที่หลานคนทราบคนไทยไม่ชอบทำงานหนัก ไม่สู้งาน ชอบทำงานสบายๆ ก็เลยต้องมีคนจากเพื่อนบ้านมาทำงานในลักษณะนี้แทน เพราะเขาสู้งานกว่า ไม่ค่อยเกี่ยงงาน มากเท่ากับคนไทยครับ อีกอย่างโอกาสในสังคมของพวกเขาค่อนข้างน้อยอยู่แล้ว ยิ่งเขามาเจอการดูถูกดูแคลน ถูกเอารัดเอาเปรียบจากคนไทยด้วย ยิ่งทำให้พวกเขารู้สึกไม่ดีต่อเรามากขึ้น เมื่อวานนี้ผมได้พูดคุยกับแรงงานชาวกัมพูชาคนหนึ่งที่เข้ามาทำงานในนิคมอุตสาหกรรมลาดกระบังว่า เขาเข้ามาทำงานที่นิคมฯ ลาดกระบังแล้วกว่า 3 ปี พูดภาษาไทย และเข้าใจภาษาไทยได้ในระดับดีทีเดียว โดยเขาบอกว่าการที่ต้องเดินทางมาทำงานต่างบ้านต่างเมือง ไม่ใช่สิ่งที่เขามีความสุขเลย เพราะต้องห่างพ่อ ห่างแม่ ห่างลูก ห่างเมีย และยังต้องมาเจอกับสภาพสังคมที่ไม่ค่อยจะเปิดใจรับคนชาติเขาสักเท่าไหร่ คนไทยมักมองพวกเขาด้วยความหวาดกลัว และไม่กล้าที่จะพูดคุยหรือคบหากับพวกเขา แถมบางคนยังมองเหมือนพวกเขาไม่ใช่คนอีกด้วย แต่อย่างไรก็ตามเขาก็ต้องอดทน เพราะการเข้ามาทำงานในประเทศไทย ได้เงินเดือนดีกว่าทำงานที่บ้านเกิด และวันนี้เขาก็กำลังจะเดินทางกลับประเทศกัมพูชา พร้อมกับเพื่อนๆ ชาวกัมพูชา ที่ทำงานที่โรงงานเดียวกันอีกกว่า 50 ชีวิต เพื่อกลับไปช่วยพ่อแม่ทำนา ในช่วงฤดูฝน ส่วนเพื่อนๆ ของเขาหลายคนก็เดินทางกลับด้วยเหตุผลเดียวกัน และก็บางคนก็ไปทำเรื่องขออนุญาติเข้ามาทำงานในประเทศไทยอย่างถูกต้องตามกฎหมายด้วย
ตอนที่ผมเข้าไปพูดคุยกับพวกเขา ตอนแรกพวกเขามองผมด้วยแววตาหวาดกลัว เพราะคงกลัวว่าผมจะไปทำอะไรพวกเขา เนื่องจากก่อนหน้านี้ พวกเขาก็เพิ่งโดนเจ้าหน้าที่รัฐของไทยบางหน่วยงานรีดไถเงินมาด้วย แต่พอได้พูดคุยมากขึ้น โดยที่ผมไม่ได้มีท่าทีรังเกียจพวกเขา เขาก็รู้สึกดีกับผม และยังบอกด้วยว่า มีคนไทยแค่ไม่กี่คนที่คุยกับพวกเขาดีๆ เพราะส่วนใหญ่ที่เจอ จะมีแต่คำพูดที่สร้างความเจ็บช้ำ ดูถูกพวกเขา ซึ่งก็เลยทำให้ผมได้ข้อมูลหลายๆ อย่างๆ ที่เป็นประโยนชน์เพื่อมาทำสกู๊ปข่าวอีกด้วย
ผมอยากจะบอกพวกเราชาวไทยหลายๆ คนว่า ความจริงแล้วพวกเขาไม่ได้รังเกลียจคนไทยนะ เหมือนที่คนไทยชอบทำท่ารังเกลียจพวกเขา เขารู้สึกดีกับพวกเรา และมองเราเป็นต้นแบบแห่งการพัฒนาเสมอ อีกอย่างแรงงานชาวกัมพูชาหลายคนที่มาทำงานในบ้านเรา ส่วนใหญ๋จะมาทำงานในแรงงานระดับล่าง ถึงล่างมากๆ แต่ถือเป็นส่วนสำคัญในการพัฒนาระบบเศรษฐกิจของประเทศไทย และทุกวันนี้เราเองก็ประสบกับปัญหาแรงงานพอสมควร ก็เลยต้องนำเข้าแรงงานจากประเทศเพื่อบ้านเข้ามาเสริม พอแรงงานเพื่อนบ้านเดินทางกลับประเทศ ก็จะเห็นได้ว่าภาคธุรกิจ หรือกิจการต่างๆ เป็นกังวลทันที เพราะไม่มีแรงงานมากพอที่จะทำงานต่อไป รวมทั้งโครงการต่างๆ ของทั้งภาครัฐไม่ว่าจะเป็น รถไฟฟ้า สนามบิน หรืออาคารสูงๆ ในเมืองใหญ่ๆ ต่างก็ใช้แรงงานจากเพื่อนบ้านทั้งนั้น และแน่นอนเมื่อไม่มีคนทำงาน โครงการต่างๆ ก็ต้องดำเนินการช้ากว่าแผนออกไปอีก มันกระทบไปทั้งระบบ รวมทั้งอีกแค่ปีกว่า ๆ เราก็จะเข้าสู่การเป็นประชาคมเดียวกันแล้ว แต่เรายังยึดว่าเราไม่เป็นหนึ่งในประชาคม คิดว่าเราต้องเป็นหนึ่งเดียว ทัศนะคติแบบนี้อันตรายครับ เพราะถ้าเมื่อถึงวันนั้น วันที่เรารวมกันเป็นหนึ่ง แต่มีแค่ไทยที่คิดว่าตัวเองไม่อยาก และไม่ใช่ส่วนหนึ่งของประชาคมนี้ เราเองแหละที่จะลำบาก แต่สำหรับผมแล้ว ผมมองพวกเขาคือคนเหมือนเรา มีสิทธิ ศักดิ์ศรี และเป็นเพื่อนกับเรา ไม่เคยรังเกลียดพวกเขาเลยครับ"
Credit : https://www.facebook.com/watcharathit.katsri