สวัสดีครับ กระทู้นี้ผมจะมา Review SD card ที่ส่งสัญญาณ Wireless ได้ของ Toshiba: FlashAir 16 GB Class 10 ก่อนอื่นขอเล่าพัฒนาการการถ่ายโอนข้อมูลของผมก่อนนะครับ
ช่วงแรก ก่อนที่ผมมี Smart phone จะถ่ายรูปผ่านกล้อง DSLR ที่บันทึกใน SD Card ธรรมดา ๆ แล้วเอา SD Card มาเสียบเข้ากับ Card reader ส่งข้อมูลเข้า Notebook และ Edit ก่อนจะ upload ขึ้น facebook หรือส่งต่อให้เพื่อน
ต่อมาเมื่อมี Smart phone (Samsung Note3) ตอนนั้นไม่ค่อยพกกล้องไปไหนมาไหนเท่าไหร่ เพราะภาพที่ได้จาก Note 3 ถือว่า ok ถ่ายเสร็จ แต่งภาพ Upload ขึ้น facebook, instagram ได้เลย รวดเร็วดี แต่บางงานบางสถานการณ์ก็มีพกกล้อง DSLR ไปถ่ายด้วย แต่กว่าจะนำรูปนั้นมาแต่งและ Upload ก็วันรุ่งขึ้นแล้ว หรือเผลอ ๆ ขี้เกียจเลยไม่ได้เอาลงซะเลย
หลังจากนั้นได้หาสายเชื่อมต่อ OTG ซึ่งสามารถทำให้ Note3 ต่อเข้ากับ Card Reader ได้ ทำให้สามารถดึงรูปจาก SD Card เข้า Note3 แต่งรูปและ upload หรือ Share ต่อให้เพื่อน ๆ ได้ครับ จริง ๆ ช่วงนั้นรู้ว่ามี SD Card ที่ส่งสัญญาณ Wireless ได้ ทำให้สามารถใช้ Smart phone ดึงรูปจากกล้องได้เลยโดยไม่ต้องใช้สายต่อใด ๆ แต่ว่าติดที่ราคายังสูงอยู่เลยยังไม่ได้ซื้อมาใช้ครับ จนมาเมื่อสัปดาห์ก่อนไปเจอ Wireless SD Card ของ Toshiba ราคาไม่แพงมากแล้ว เลยซื้อมาใช้เลยครับ เกริ่มซะยาว เข้าเรื่องกันเลยละกันนะครับ
หน้าตาของเจ้า FlashAir
ภายในกล่องจะประกอบด้วย ตัว SD Card และ Manual วิธีการใช้งาน
หน้าตา FlashAir ชัด ๆ ครับ
มาดูขั้นตอนการ Setting เพื่อใช้งานครับ อ้างอิงจาก Manual เลย
1. ใส่ FlashAir เข้ากับกล้อง
2. เปิดกล้อง ฟังก์ชันการทำงาน Wireless ของ FlashAir จะเริ่มทำงานทันที
3. ภายใน 5 นาทีหลังจากเปิดกล้อง ให้ทำการเชื่อมต่อ FlashAir ด้วยมือถือ, แท็บเล็ต หรือ Notebook หากเกินกว่า 5 นาทีไม่มีการเชื่อมต่อ ตัว Wireless ของ FlashAir จะปิดตัวเองลง (เราสามารถแก้ไขให้ระยะเวลา Standby นานกว่า 5 นาทีได้ภายหลังครับ) ถ้า Wireless ปิดตัวลง ให้ปิด เปิดกล้อง ตัว Wireless ก็จะกลับมาใช้ได้ครับ
4. เปิดใช้ Wi-Fi ในมือถือ หรืออุปกรณ์ที่ต้องการใช้ดึงข้อมูล และหา wireless LAN ชื่อ flashair_xxxxxxxxxxxx (ในที่นี้ผมใช้ Samsung Note3 ในการเชื่อมต่อครับ)
5. เมื่อเชื่อมต่อได้ ให้ใส่รหัสผ่านแรกเข้าตามที่ระบุใน Manual ครับ
6. เปิด Browser ขึ้นมา และใส่ URL
http://flashair/
7. คลิกปุ่ม Start
8. หน้าจอขึ้นมาให้ตั้งชื่อ SSID และ Password ใหม่ จากนั้นกดปุ่ม OK wireless จะตัดการเชื่อมต่อ
9. ให้เราเชื่อมต่อ WiFi ที่เราตั้งชื่อใหม่ ด้วย Passsword ใหม่อีกครั้ง ถือเป็นการเสร็จการเชื่อมต่อครับ
การดึงรูปออกจาก FlashAir
เมื่อถ่ายรูปลง FlashAir เรียบร้อยแล้ว ให้เข้า Browser ด้วย URL
http://flashair/ หน้าจอจะแสดง Folder ที่อยู่ในการ์ด
เข้าไปใน Folder ที่เก็บรูป และเลือกรูปที่ต้องการดึง
รอจนรูปโหลดเต็มหน้าจอ
แล้วกดค้างที่รูปครับ จากนั้นเลือก Save image
เท่านี้เราก็ได้รูปมาอยู่ในมือถือพร้อมที่จะ share ได้เลยครับ
มาดูการ Setting อื่น ๆ ที่น่าสนใจกันครับ
กดรูปเฟืองมุมขวาบน เพื่อเข้าสู่หน้าจอ Setting
เลือก Wireless LAN startup mode settings
หน้าจอจะแสดงให้เลือก 2 options

Automatic startup mode - ฟังก์ชัน Wireless จะเริ่มอัตโนมัติเมื่อเปิดอุปกรณ์ที่ใส่ FlashAir และจะ standby ตามเวลาที่เรากำหนด ( 1, 3, 5, 10 หรือ 30 นาที) คำว่า standby คือถ้าไม่มีการเชื่อมต่อกับตัว FlashAir ในเวลาที่เราเลือก ตัว FlashAir จะตัดฟังก์ชัน Wireless ออกไป แต่เราก็ยังสามารถบันทึกรูปลงไปในการ์ดได้ปกติครับ เราต้องปิดเปิดเครื่องเพื่อเปิดใช้งาน Wireless อีกครั้ง

Manual startup mode - เลือก option นี้ เราจะสามารถควบคุมการปิดเปิดฟังก์ชัน Wireless ได้เองจากตัวกล้อง หลักการทำงานคือ หน้าจอจะให้เราเลือกรูปที่เราต้องการใช้ควบคุมการปิดเปิด ซึ่งเราจะเลือกรูปอะไรก็ได้ แต่ในที่นี้ตัว FlashAir จะมีรูปตั้งต้นให้อยู่แล้วดังรูป เราจะควบคุมการปิดเปิดโดยถ้าเรากำหนดให้รูปนั้นถูก Protect* ไว้ (มีรูปกุญแจขึ้นมา) ฟังก์ชัน Wireless จะปิด
ถ้าเรากำหนดให้รูปนั้นไม่ถูก Protect (ไม่มีรูปกุญแจขึ้นมา) ฟังก์ชั้น Wireless จะเปิดใช้งาน
option นี้จะเหมาะกับคนที่ไม่ต้องการเปิด Wireless ของการ์ดทิ้งไว้ เพื่อประหยัดพลังงานของแบตเตอรี่กล้อง และจะเปิดใช้เมื่อต้องการถ่ายโอนข้อมูลเท่านั้น**
*Protect image เป็นฟังก์ชันที่น่าจะมีในกล้องทุกตัวครับ เป็นฟังก์ชันที่ทำเพื่อป้องกันไม่ให้รูปที่ถูก Protect ถูกลบโดยไม่ได้ตั้งใจครับ
**option นี้จะตรวจจับการเปลี่ยนสถานะของการ Protect ถึงแม้ถ้ากล้องเปิดมา แล้วรูปที่เราตั้งไว้จะไม่ถูก Protect เราจำเป็นต้องแก้ไขให้รูปเป็น Protect และกลับเป็นไม่ถูก Protect อีกทีครับเพื่อที่จะใช้งาน Wireless ได้ครับ
หลังจากเราเลือก option ที่เราต้องการแล้วให้กด OK ระบบจะแจ้งเดือนให้เราปิดเปิดอุปกรณ์ที่ใส่ FlashAir ไว้เพื่อเป็นการเริ่มใช้ option ที่เราตั้งค่า
ประเด็นต่าง ๆ ที่อยากแชร์เพิ่มเติมครับ
1. สามารถดึง Raw file ได้หรือไม่ - สามารถดึงลงมาได้ครับ แต่ด้วยขนาดไฟล์ที่ใหญ่ประมาณ 25 MB เลยใช้เวลานานหน่อย ตอนนี้ผมใช้วิธีถ่าย Raw + jpeg ขนาดเล็กสุด แล้วดึง jpeg มาใช้ครับ ส่วน Raw เก็บไว้เผื่อใช้ภายหลังครับ
2. ความเร็วในการถ่ายโอนข้อมูล - เนื่องจากตอนโอนข้อมูลผมใช้ jpeg ซึ่งไฟล์ขนาด 1.5 - 4.5 MB ความเร็วในการถ่ายโอนเร็วดีครับ กด download แปปเดียวก็ได้รูปมาอยู่ในมือถือแล้วครับ แต่ถ้าถ่ายโอนเป็น Raw ที่ขนาด 25MB เวลาถ่ายโอนก็จะช้ากว่า จากที่ผมลองดู ผ่าน Android ประมาณ 10 วินาที ถ้าผ่าน notebook ประมาณ 20 วินาที เข้าใจว่าขึ้นอยู่กับตัวรับสัญญาณของอุปกรณ์ที่ดึงด้วยครับ
3. กินไฟเพิ่มจากเดิมหรือไม่ - ตอนนี้เท่าที่ใช้มาผมตั้งให้ FlashAir Standby 30 นาที และตัวกล้อง auto off 8 นาที ยังไม่รู้สึกว่ามันสูบแบตนะครับ แต่ขอไปลองออกทริปทั้งวัน แล้วจะมา update ให้ฟังครับ กล้องที่ผมใช้เป็น Canon 60D ครับ
โดยรวมพอใจกับ FlashAir ของ Toshiba ครับ ถึงแม้จะขัดใจตอนแรก ๆ ที่ตัวเองจะถ่าย Raw เป็นหลัก แต่หลัง ๆ ถ่าย Raw+Jpeg แล้วใช้ Jpeg มาใช้งาน ถ้ารูปไหนแก้ไข Jpeg ไม่ได้จริงๆ ก็ค่อยใช้ Raw ครับ
ขอจบการ Review แต่เพียงเท่านี้ครับ
ขอบคุณครับ
[CR] Review: FlashAir Wireless SD Card จาก Toshiba
ช่วงแรก ก่อนที่ผมมี Smart phone จะถ่ายรูปผ่านกล้อง DSLR ที่บันทึกใน SD Card ธรรมดา ๆ แล้วเอา SD Card มาเสียบเข้ากับ Card reader ส่งข้อมูลเข้า Notebook และ Edit ก่อนจะ upload ขึ้น facebook หรือส่งต่อให้เพื่อน
ต่อมาเมื่อมี Smart phone (Samsung Note3) ตอนนั้นไม่ค่อยพกกล้องไปไหนมาไหนเท่าไหร่ เพราะภาพที่ได้จาก Note 3 ถือว่า ok ถ่ายเสร็จ แต่งภาพ Upload ขึ้น facebook, instagram ได้เลย รวดเร็วดี แต่บางงานบางสถานการณ์ก็มีพกกล้อง DSLR ไปถ่ายด้วย แต่กว่าจะนำรูปนั้นมาแต่งและ Upload ก็วันรุ่งขึ้นแล้ว หรือเผลอ ๆ ขี้เกียจเลยไม่ได้เอาลงซะเลย
หลังจากนั้นได้หาสายเชื่อมต่อ OTG ซึ่งสามารถทำให้ Note3 ต่อเข้ากับ Card Reader ได้ ทำให้สามารถดึงรูปจาก SD Card เข้า Note3 แต่งรูปและ upload หรือ Share ต่อให้เพื่อน ๆ ได้ครับ จริง ๆ ช่วงนั้นรู้ว่ามี SD Card ที่ส่งสัญญาณ Wireless ได้ ทำให้สามารถใช้ Smart phone ดึงรูปจากกล้องได้เลยโดยไม่ต้องใช้สายต่อใด ๆ แต่ว่าติดที่ราคายังสูงอยู่เลยยังไม่ได้ซื้อมาใช้ครับ จนมาเมื่อสัปดาห์ก่อนไปเจอ Wireless SD Card ของ Toshiba ราคาไม่แพงมากแล้ว เลยซื้อมาใช้เลยครับ เกริ่มซะยาว เข้าเรื่องกันเลยละกันนะครับ
หน้าตาของเจ้า FlashAir
ภายในกล่องจะประกอบด้วย ตัว SD Card และ Manual วิธีการใช้งาน
หน้าตา FlashAir ชัด ๆ ครับ
มาดูขั้นตอนการ Setting เพื่อใช้งานครับ อ้างอิงจาก Manual เลย
1. ใส่ FlashAir เข้ากับกล้อง
2. เปิดกล้อง ฟังก์ชันการทำงาน Wireless ของ FlashAir จะเริ่มทำงานทันที
3. ภายใน 5 นาทีหลังจากเปิดกล้อง ให้ทำการเชื่อมต่อ FlashAir ด้วยมือถือ, แท็บเล็ต หรือ Notebook หากเกินกว่า 5 นาทีไม่มีการเชื่อมต่อ ตัว Wireless ของ FlashAir จะปิดตัวเองลง (เราสามารถแก้ไขให้ระยะเวลา Standby นานกว่า 5 นาทีได้ภายหลังครับ) ถ้า Wireless ปิดตัวลง ให้ปิด เปิดกล้อง ตัว Wireless ก็จะกลับมาใช้ได้ครับ
4. เปิดใช้ Wi-Fi ในมือถือ หรืออุปกรณ์ที่ต้องการใช้ดึงข้อมูล และหา wireless LAN ชื่อ flashair_xxxxxxxxxxxx (ในที่นี้ผมใช้ Samsung Note3 ในการเชื่อมต่อครับ)
5. เมื่อเชื่อมต่อได้ ให้ใส่รหัสผ่านแรกเข้าตามที่ระบุใน Manual ครับ
6. เปิด Browser ขึ้นมา และใส่ URL http://flashair/
7. คลิกปุ่ม Start
8. หน้าจอขึ้นมาให้ตั้งชื่อ SSID และ Password ใหม่ จากนั้นกดปุ่ม OK wireless จะตัดการเชื่อมต่อ
9. ให้เราเชื่อมต่อ WiFi ที่เราตั้งชื่อใหม่ ด้วย Passsword ใหม่อีกครั้ง ถือเป็นการเสร็จการเชื่อมต่อครับ
การดึงรูปออกจาก FlashAir
เมื่อถ่ายรูปลง FlashAir เรียบร้อยแล้ว ให้เข้า Browser ด้วย URL http://flashair/ หน้าจอจะแสดง Folder ที่อยู่ในการ์ด
เข้าไปใน Folder ที่เก็บรูป และเลือกรูปที่ต้องการดึง
รอจนรูปโหลดเต็มหน้าจอ
แล้วกดค้างที่รูปครับ จากนั้นเลือก Save image
เท่านี้เราก็ได้รูปมาอยู่ในมือถือพร้อมที่จะ share ได้เลยครับ
มาดูการ Setting อื่น ๆ ที่น่าสนใจกันครับ
กดรูปเฟืองมุมขวาบน เพื่อเข้าสู่หน้าจอ Setting
เลือก Wireless LAN startup mode settings
หน้าจอจะแสดงให้เลือก 2 options
Automatic startup mode - ฟังก์ชัน Wireless จะเริ่มอัตโนมัติเมื่อเปิดอุปกรณ์ที่ใส่ FlashAir และจะ standby ตามเวลาที่เรากำหนด ( 1, 3, 5, 10 หรือ 30 นาที) คำว่า standby คือถ้าไม่มีการเชื่อมต่อกับตัว FlashAir ในเวลาที่เราเลือก ตัว FlashAir จะตัดฟังก์ชัน Wireless ออกไป แต่เราก็ยังสามารถบันทึกรูปลงไปในการ์ดได้ปกติครับ เราต้องปิดเปิดเครื่องเพื่อเปิดใช้งาน Wireless อีกครั้ง
Manual startup mode - เลือก option นี้ เราจะสามารถควบคุมการปิดเปิดฟังก์ชัน Wireless ได้เองจากตัวกล้อง หลักการทำงานคือ หน้าจอจะให้เราเลือกรูปที่เราต้องการใช้ควบคุมการปิดเปิด ซึ่งเราจะเลือกรูปอะไรก็ได้ แต่ในที่นี้ตัว FlashAir จะมีรูปตั้งต้นให้อยู่แล้วดังรูป เราจะควบคุมการปิดเปิดโดยถ้าเรากำหนดให้รูปนั้นถูก Protect* ไว้ (มีรูปกุญแจขึ้นมา) ฟังก์ชัน Wireless จะปิด
ถ้าเรากำหนดให้รูปนั้นไม่ถูก Protect (ไม่มีรูปกุญแจขึ้นมา) ฟังก์ชั้น Wireless จะเปิดใช้งาน
option นี้จะเหมาะกับคนที่ไม่ต้องการเปิด Wireless ของการ์ดทิ้งไว้ เพื่อประหยัดพลังงานของแบตเตอรี่กล้อง และจะเปิดใช้เมื่อต้องการถ่ายโอนข้อมูลเท่านั้น**
*Protect image เป็นฟังก์ชันที่น่าจะมีในกล้องทุกตัวครับ เป็นฟังก์ชันที่ทำเพื่อป้องกันไม่ให้รูปที่ถูก Protect ถูกลบโดยไม่ได้ตั้งใจครับ
**option นี้จะตรวจจับการเปลี่ยนสถานะของการ Protect ถึงแม้ถ้ากล้องเปิดมา แล้วรูปที่เราตั้งไว้จะไม่ถูก Protect เราจำเป็นต้องแก้ไขให้รูปเป็น Protect และกลับเป็นไม่ถูก Protect อีกทีครับเพื่อที่จะใช้งาน Wireless ได้ครับ
หลังจากเราเลือก option ที่เราต้องการแล้วให้กด OK ระบบจะแจ้งเดือนให้เราปิดเปิดอุปกรณ์ที่ใส่ FlashAir ไว้เพื่อเป็นการเริ่มใช้ option ที่เราตั้งค่า
ประเด็นต่าง ๆ ที่อยากแชร์เพิ่มเติมครับ
1. สามารถดึง Raw file ได้หรือไม่ - สามารถดึงลงมาได้ครับ แต่ด้วยขนาดไฟล์ที่ใหญ่ประมาณ 25 MB เลยใช้เวลานานหน่อย ตอนนี้ผมใช้วิธีถ่าย Raw + jpeg ขนาดเล็กสุด แล้วดึง jpeg มาใช้ครับ ส่วน Raw เก็บไว้เผื่อใช้ภายหลังครับ
2. ความเร็วในการถ่ายโอนข้อมูล - เนื่องจากตอนโอนข้อมูลผมใช้ jpeg ซึ่งไฟล์ขนาด 1.5 - 4.5 MB ความเร็วในการถ่ายโอนเร็วดีครับ กด download แปปเดียวก็ได้รูปมาอยู่ในมือถือแล้วครับ แต่ถ้าถ่ายโอนเป็น Raw ที่ขนาด 25MB เวลาถ่ายโอนก็จะช้ากว่า จากที่ผมลองดู ผ่าน Android ประมาณ 10 วินาที ถ้าผ่าน notebook ประมาณ 20 วินาที เข้าใจว่าขึ้นอยู่กับตัวรับสัญญาณของอุปกรณ์ที่ดึงด้วยครับ
3. กินไฟเพิ่มจากเดิมหรือไม่ - ตอนนี้เท่าที่ใช้มาผมตั้งให้ FlashAir Standby 30 นาที และตัวกล้อง auto off 8 นาที ยังไม่รู้สึกว่ามันสูบแบตนะครับ แต่ขอไปลองออกทริปทั้งวัน แล้วจะมา update ให้ฟังครับ กล้องที่ผมใช้เป็น Canon 60D ครับ
โดยรวมพอใจกับ FlashAir ของ Toshiba ครับ ถึงแม้จะขัดใจตอนแรก ๆ ที่ตัวเองจะถ่าย Raw เป็นหลัก แต่หลัง ๆ ถ่าย Raw+Jpeg แล้วใช้ Jpeg มาใช้งาน ถ้ารูปไหนแก้ไข Jpeg ไม่ได้จริงๆ ก็ค่อยใช้ Raw ครับ
ขอจบการ Review แต่เพียงเท่านี้ครับ
ขอบคุณครับ