http://www.peopleunitynews.com/web02/2014/hi-light-%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B8%B9%E0%B8%81%E0%B8%9D%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A1%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%93%E0%B9%8C-%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%8A/
สำนักข่าวออนไลน์ พีเพิล ยูนิตี้ - คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ยังเดินหน้า “คืนความสุข” อย่างต่อเนื่อง โดยที่เป็นทอล์กออฟเดอะทาวน์ที่สุด คือ การคืนบอลโลกสู่จอฟรีทีวี 64 นัด และการฉายหนัง “นเรศวร” ให้ชมฟรี
ในส่วนของการคืนบอลโลกสู่จอฟรีทีวีนั้นเป็นการใช้กีฬาบำบัดความเครียดที่สะสมมานาน เพื่อให้คนลืมความเครียดจากการชุมนุมที่ยืดเยื้อมานาน อย่างน้อยๆก็ 1 เดือนในช่วงบอลโลก
แต่การฉายหนังนเรศวร ภาค 5 ตอน “ยุทธหัตถี” มีจุดมุ่งหมายที่ต่างกันพอสมควร เพราะดูเผินๆแม้จะเป็นการให้ความบันเทิง แต่แท้จริงแล้วคือ การปลูกฝังอุดมการณ์ “รักชาติ” นั่นเอง
น่าสังเกตว่า การดำเนินการครั้งนี้สอดคล้องกับคำแถลงของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้า คสช. ในรายการ “คืนความสุขให้คนในชาติ” เมื่อวันที่ 6 มิถุนายน ตอนหนึ่งว่า
“เรื่องวัฒนธรรมความเป็นคนไทย ความภูมิใจในความเป็นชาติ รักสถาบัน เหล่านี้คงต้องช่วยกันพูดช่วยกันแนะนำและบรรจุเข้าไปในการเรียนการสอนของกระทรวงศึกษาธิการด้วย การพัฒนาครู ระบบการศึกษา หลักสูตรต่างๆ ประวัติศาสตร์ สิทธิหน้าที่ เบญจศีล เบญจธรรม กลับเข้ามาใหม่ในระบบการศึกษา สร้างวินัยความเข้มแข็งแห่งชาติ”
ทั้งนี้ หลังคำปรารภของหัวหน้า คสช.ได้ไม่นาน ทางผู้บริหารกระทรวงศึกษาธิการก็ออกมา “รับลูก” แนวนโยบายดังกล่าวทันที
ดร.กมล รอดคล้าย รองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) ระบุว่า สพฐ. (สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน) มีกรอบการดำเนินงานใน 3 เรื่องคือ 1.การแยกวิชาประวัติศาสตร์ และหน้าที่พลเมืองเป็นวิชาเฉพาะต่างหาก เหมือนกับวิชาภาษาไทย คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ โดยในส่วนวิชาประวัติศาสตร์ที่เดิมอยู่ในกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษาก็จะแยกออกมาเป็น “วิชาประวัติศาสตร์”
ขณะที่ “หน้าที่พลเมือง” ซึ่งแทรกอยู่กับวิชาสังคมศึกษาก็จะแยกออกมาเป็นวิชาหน้าที่พลเมืองอีก 1 วิชา โดยทั้ง 2 วิชาจะมีชั่วโมงเรียนวิชาละ 1 คาบต่อ 1 สัปดาห์
2.การปรับปรุงเนื้อหา และทบทวนจุดเน้นให้ชัดเจน โดยหลังจากนี้จะมีการเน้นการเรียนการสอนในเรื่องของ “ประวัติศาสตร์ความเป็นชาติไทย” ให้มากขึ้น
“นอกจากนั้นโรงเรียนนานาชาติที่เดิมไม่เคยมีการเรียนการสอนวิชาประวัติศาสตร์ กำหนดให้ต้องจัดการเรียนการสอนวิชาประวัติศาสตร์ด้วย” รองเลขาธิการ กพฐ. กล่าว
จากแนวทางคร่าวๆของกระทรวงศึกษาธิการจะเห็นได้ว่า หลังจากนี้เด็กไทยจะได้เรียนประวัติศาสตร์มากขึ้นกว่าที่ผ่านมาที่ประวัติศาสตร์ไทยถูกแทรกอยู่ในวิชาในกลุ่มสังคมศึกษามานาน ส่งผลให้เด็กไทยจำนวนมากไม่รู้ว่า รากเหง้าความเป็นมาของตนเป็นเช่นไร แม้แต่ข้อมูลง่ายๆ เช่น ประวัติศาสตร์ราชธานีในแต่ละยุค หรือแม้แต่ในราชวงศ์จักรี ก็ไม่สามารถบอกได้ถูกต้อง เป็นต้น
เด็กไทยจำนวนไม่น้อยจึงเป็นเด็ก “ไร้ราก” รับแต่วัฒนธรรมต่างชาติ ไม่ภูมิใจและไม่รู้จักรากเหง้าของตัวเอง ที่ร้ายกว่านั้นคือ เด็กจำนวนหนึ่งยังถึงขนาด “ดูถูก” รากเหง้าตัวเองด้วยซ้ำ
ทว่า การปลูกฝังอุดมการณ์ความรักชาติคงไม่สัมฤทธิ์ผลเพียงการบรรจุลงในตำราเรียน และแยกเป็นวิชาเฉพาะออกมาเท่านั้น เพราะต้องยอมรับว่า เด็กยุคปัจจุบันต่างกับคนรุ่นก่อนมาก โดยเฉพาะการเติบโตขึ้นมาท่ามกลาง “เทคโนโลยี” ที่ทำให้เด็กส่วนใหญ่ “สมาธิสั้น” ไม่สามารถเพ่งความสนใจไปยังสิ่งใดๆได้เป็นเวลานานเหมือนคนยุคก่อนที่อยู่กับธรรมชาติเป็นหลัก ดังนั้น รูปแบบในการปลูกฝังความรักชาติของคนรุ่นใหม่จึงต้องประยุกต์ให้เข้ากับยุคสมัย ซึ่งการใช้หนังเรื่องนเรศวรก็ถือว่าเป็นวิธีการที่เข้ายุคสมัย และน่าชื่นชมประการหนึ่ง
แต่ถ้าจะให้ดีกว่านั้นควรสร้างรูปแบบการเรียนรู้ที่เข้าใจง่าย และเข้ายุคสมัย เช่น การสร้างแอพพลิเคชั่น, การสร้างเป็นละครซีรี่ส์-การ์ตูนแอนิเมชั่น, การสร้างหนังหรือหนังสือการ์ตูน ฯลฯ
เพราะช่องทางเหล่านี้เป็นช่องทางที่เด็กรุ่นใหม่เข้าถึงข้อมูลได้มากที่สุด และการเปิดรับวัฒนธรรมต่างชาติ ทั้งวัฒนธรรมฝรั่ง หรือเกาหลี-ญี่ปุ่น เด็กรุ่นใหม่ๆก็เริ่มมาจากตรงนี้ทั้งสิ้น
ไม่อย่างนั้นซีรี่ส์ย้อนยุคอย่างเช่น “แดจังกึม” ที่กล่าวถึงประวัติศาสตร์-วัฒนธรรมเกาหลีในยุคโบราณล้วนๆ คงไม่ครองใจคนไทยทั้งรุ่นใหม่ และกลางเก่ากลางใหม่ไปทั่วบ้านทั่วเมืองมาแล้ว
ทว่า การเรียนรู้นอกห้องเรียนที่หลากหลายคงเกิดขึ้นได้ยากใต้ร่มเงาราชการ แต่ถ้าใช้ “เอกชน” ที่มีฝีมือจริงๆเข้ามาลุยงานอย่างจริงจังน่าจะเป็นการใช้คนที่ถูกกับงานมากกว่า
Hi-Light // ปลูกฝังอุดมการณ์ “รักชาติ” ต้องเข้าใจธรรมชาติ “คนรุ่นใหม่”
โดย – เสมา พิทักษ์ราชัน
16 มิถุนายน 2557
10.22 น.
ปลูกฝังอุดมการณ์ “รักชาติ” ต้องเข้าใจธรรมชาติ “คนรุ่นใหม่”
สำนักข่าวออนไลน์ พีเพิล ยูนิตี้ - คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ยังเดินหน้า “คืนความสุข” อย่างต่อเนื่อง โดยที่เป็นทอล์กออฟเดอะทาวน์ที่สุด คือ การคืนบอลโลกสู่จอฟรีทีวี 64 นัด และการฉายหนัง “นเรศวร” ให้ชมฟรี
ในส่วนของการคืนบอลโลกสู่จอฟรีทีวีนั้นเป็นการใช้กีฬาบำบัดความเครียดที่สะสมมานาน เพื่อให้คนลืมความเครียดจากการชุมนุมที่ยืดเยื้อมานาน อย่างน้อยๆก็ 1 เดือนในช่วงบอลโลก
แต่การฉายหนังนเรศวร ภาค 5 ตอน “ยุทธหัตถี” มีจุดมุ่งหมายที่ต่างกันพอสมควร เพราะดูเผินๆแม้จะเป็นการให้ความบันเทิง แต่แท้จริงแล้วคือ การปลูกฝังอุดมการณ์ “รักชาติ” นั่นเอง
น่าสังเกตว่า การดำเนินการครั้งนี้สอดคล้องกับคำแถลงของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้า คสช. ในรายการ “คืนความสุขให้คนในชาติ” เมื่อวันที่ 6 มิถุนายน ตอนหนึ่งว่า
“เรื่องวัฒนธรรมความเป็นคนไทย ความภูมิใจในความเป็นชาติ รักสถาบัน เหล่านี้คงต้องช่วยกันพูดช่วยกันแนะนำและบรรจุเข้าไปในการเรียนการสอนของกระทรวงศึกษาธิการด้วย การพัฒนาครู ระบบการศึกษา หลักสูตรต่างๆ ประวัติศาสตร์ สิทธิหน้าที่ เบญจศีล เบญจธรรม กลับเข้ามาใหม่ในระบบการศึกษา สร้างวินัยความเข้มแข็งแห่งชาติ”
ทั้งนี้ หลังคำปรารภของหัวหน้า คสช.ได้ไม่นาน ทางผู้บริหารกระทรวงศึกษาธิการก็ออกมา “รับลูก” แนวนโยบายดังกล่าวทันที
ดร.กมล รอดคล้าย รองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) ระบุว่า สพฐ. (สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน) มีกรอบการดำเนินงานใน 3 เรื่องคือ 1.การแยกวิชาประวัติศาสตร์ และหน้าที่พลเมืองเป็นวิชาเฉพาะต่างหาก เหมือนกับวิชาภาษาไทย คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ โดยในส่วนวิชาประวัติศาสตร์ที่เดิมอยู่ในกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษาก็จะแยกออกมาเป็น “วิชาประวัติศาสตร์”
ขณะที่ “หน้าที่พลเมือง” ซึ่งแทรกอยู่กับวิชาสังคมศึกษาก็จะแยกออกมาเป็นวิชาหน้าที่พลเมืองอีก 1 วิชา โดยทั้ง 2 วิชาจะมีชั่วโมงเรียนวิชาละ 1 คาบต่อ 1 สัปดาห์
2.การปรับปรุงเนื้อหา และทบทวนจุดเน้นให้ชัดเจน โดยหลังจากนี้จะมีการเน้นการเรียนการสอนในเรื่องของ “ประวัติศาสตร์ความเป็นชาติไทย” ให้มากขึ้น
“นอกจากนั้นโรงเรียนนานาชาติที่เดิมไม่เคยมีการเรียนการสอนวิชาประวัติศาสตร์ กำหนดให้ต้องจัดการเรียนการสอนวิชาประวัติศาสตร์ด้วย” รองเลขาธิการ กพฐ. กล่าว
จากแนวทางคร่าวๆของกระทรวงศึกษาธิการจะเห็นได้ว่า หลังจากนี้เด็กไทยจะได้เรียนประวัติศาสตร์มากขึ้นกว่าที่ผ่านมาที่ประวัติศาสตร์ไทยถูกแทรกอยู่ในวิชาในกลุ่มสังคมศึกษามานาน ส่งผลให้เด็กไทยจำนวนมากไม่รู้ว่า รากเหง้าความเป็นมาของตนเป็นเช่นไร แม้แต่ข้อมูลง่ายๆ เช่น ประวัติศาสตร์ราชธานีในแต่ละยุค หรือแม้แต่ในราชวงศ์จักรี ก็ไม่สามารถบอกได้ถูกต้อง เป็นต้น
เด็กไทยจำนวนไม่น้อยจึงเป็นเด็ก “ไร้ราก” รับแต่วัฒนธรรมต่างชาติ ไม่ภูมิใจและไม่รู้จักรากเหง้าของตัวเอง ที่ร้ายกว่านั้นคือ เด็กจำนวนหนึ่งยังถึงขนาด “ดูถูก” รากเหง้าตัวเองด้วยซ้ำ
ทว่า การปลูกฝังอุดมการณ์ความรักชาติคงไม่สัมฤทธิ์ผลเพียงการบรรจุลงในตำราเรียน และแยกเป็นวิชาเฉพาะออกมาเท่านั้น เพราะต้องยอมรับว่า เด็กยุคปัจจุบันต่างกับคนรุ่นก่อนมาก โดยเฉพาะการเติบโตขึ้นมาท่ามกลาง “เทคโนโลยี” ที่ทำให้เด็กส่วนใหญ่ “สมาธิสั้น” ไม่สามารถเพ่งความสนใจไปยังสิ่งใดๆได้เป็นเวลานานเหมือนคนยุคก่อนที่อยู่กับธรรมชาติเป็นหลัก ดังนั้น รูปแบบในการปลูกฝังความรักชาติของคนรุ่นใหม่จึงต้องประยุกต์ให้เข้ากับยุคสมัย ซึ่งการใช้หนังเรื่องนเรศวรก็ถือว่าเป็นวิธีการที่เข้ายุคสมัย และน่าชื่นชมประการหนึ่ง
แต่ถ้าจะให้ดีกว่านั้นควรสร้างรูปแบบการเรียนรู้ที่เข้าใจง่าย และเข้ายุคสมัย เช่น การสร้างแอพพลิเคชั่น, การสร้างเป็นละครซีรี่ส์-การ์ตูนแอนิเมชั่น, การสร้างหนังหรือหนังสือการ์ตูน ฯลฯ
เพราะช่องทางเหล่านี้เป็นช่องทางที่เด็กรุ่นใหม่เข้าถึงข้อมูลได้มากที่สุด และการเปิดรับวัฒนธรรมต่างชาติ ทั้งวัฒนธรรมฝรั่ง หรือเกาหลี-ญี่ปุ่น เด็กรุ่นใหม่ๆก็เริ่มมาจากตรงนี้ทั้งสิ้น
ไม่อย่างนั้นซีรี่ส์ย้อนยุคอย่างเช่น “แดจังกึม” ที่กล่าวถึงประวัติศาสตร์-วัฒนธรรมเกาหลีในยุคโบราณล้วนๆ คงไม่ครองใจคนไทยทั้งรุ่นใหม่ และกลางเก่ากลางใหม่ไปทั่วบ้านทั่วเมืองมาแล้ว
ทว่า การเรียนรู้นอกห้องเรียนที่หลากหลายคงเกิดขึ้นได้ยากใต้ร่มเงาราชการ แต่ถ้าใช้ “เอกชน” ที่มีฝีมือจริงๆเข้ามาลุยงานอย่างจริงจังน่าจะเป็นการใช้คนที่ถูกกับงานมากกว่า
Hi-Light // ปลูกฝังอุดมการณ์ “รักชาติ” ต้องเข้าใจธรรมชาติ “คนรุ่นใหม่”
โดย – เสมา พิทักษ์ราชัน
16 มิถุนายน 2557
10.22 น.