จาก Blogของผม
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้http://interestedscienceforthai.blogspot.com/
มีการถกเถียงมาอย่างยาวนานเกี่ยวกับไดโนเสาร์ ว่าจริงๆแล้วมันเป็นสัตว์เลือดอุ่นหรือสัตว์เลือดเย็นกันแน่ ตอนนี้มีงานวิจัยที่ชี้ชัดว่า อาจไม่ใช่ทั้งสองอย่าง
ก่อนอื่นต้องมาทำความเข้าใจความหมายของคำว่าสัตว์เลือดอุ่นและสัตวเลือดเย็นกันก่อน สัตว์เลือดอุ่นเป็นสัตว์ที่มีความต้องการเชื้อเพลิง(อาหาร)สูงและใช้พลังงาน (metabolic) สูงเพื่อขับดันให้ร่างกายสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและรักษาอุณหภูมิในร่างการให้สูงและคงที่อยู่ตลอดเวลา ตัวอย่างของสัตว์ประเภทนี้ได้แก่ สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมและนก และเรียกกระบวนการใช้พลังงานแบบนี้ว่า "endothermy"
ส่วนสัตว์เลือดเย็น มีการใช้พลังงานที่ต่ำกว่ามาก เช่นสัตว์เลือดคลาน และเรียกกระบวนการใช้พลังงานแบบนี้ว่า "ectothermy"
John Grady นักวิจัยและผู้เขียนรายงานชิ้นนี้ ได้อธิบายความแตกต่างระหว่างสัตว์เลือดอุ่นและสัตว์เลือดเย็นไว้อย่างน่าฟังว่า
"ถ้าคุณต้องอยู่ให้ได้ทั้งวัน คุณอาจต้องกินแซนวิชห้าชิ้น แต่สัตวเลือดคลานกินแค่สองชิ้นก็อยู่ได้ทั้งสัปดาห์"

รูปที่ 1 : เปรียบเทียบการใช้พลังงาน และอุณภูมิของสัตว์เลือดเย็นและสัตว์เลือดอุ่น
นักวิจัยได้เก็บตัวอย่างการใช้พลังงานของสัตว์ 381 สายพันธ์ ที่รวมถึงไดโนเสาร์ 21 สายพันธ์
เนื่องจากไดโนเสาร์สูญพันธ์ไปแล้ว คณะวิจัยเลยใช้ วงปี (growth ring) ของกระดูก มาเป็นดัชนีชี้วัดการใช้พลังงาน โดยทำการเทียบขนาดกระดูกไดโนเสาร์ในแต่ละช่วงอายุ จากนั้นนำการเจริญเติบโตของกระดูกมาประเมินการใช้พลังงาน John Grady ได้พูดถึงความสัมพันธ์ระหว่าง การใช้พลังงานและอัตราการเจริญเติบโตว่า
"ถ้ามีการใช้พลังงานเพิ่มขึ้นสองเท่า สัตว์จะโตเร็วขึ้นเกือบสองเท่าเช่นกัน"
ผลสรุปที่ได้พบว่าไดโนเสาร์ มีการใช้พลังงานอยู่ระหว่าง สัตวเลี้ยงลูกด้วยนมและสัตวเลื้อยคลาน และเนื่องจากไม่สามารถจำแนกได้ว่าไดโนเสาร์อยู่กลุ่มใด คณะวิจัยจึงได้บัญญติกลุ่มขึ้นมาใหม่ เพื่อใช้เรียกสัตว์ที่ไม่ใช่ทั้งสัตว์เลือดอุ่นและเลือดเย็นว่า "mesothermy"

รูปที่ 2 : ผลงานวิจัยพบว่าไดโนเสาร์อยู่ตรงกลางระหว่างสัตว์เลือดอุ่นและสัตว์เลือดเย็น
ไม่ใช่แค่ไดโนเสาร์เท่านั้นที่จำแนกไม่ได้ว่าเลือดอุ่นหรือเลือดเย็น ยังมีสัตว์หลายชนิดที่จำแนกไม่ได้เช่นกัน อาทิ ทูน่า ฉลามบางชนิด และ เต่ามะเฟือง (Leatherback Turtle)
อ้างอิง :
http://www.bbc.com/news/science-environment-27794723
ไดโนเสาร์ไม่ได้เป็นทั้งสัตว์เลือดอุ่นและสัตว์เลือดเย็น
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
มีการถกเถียงมาอย่างยาวนานเกี่ยวกับไดโนเสาร์ ว่าจริงๆแล้วมันเป็นสัตว์เลือดอุ่นหรือสัตว์เลือดเย็นกันแน่ ตอนนี้มีงานวิจัยที่ชี้ชัดว่า อาจไม่ใช่ทั้งสองอย่าง
ก่อนอื่นต้องมาทำความเข้าใจความหมายของคำว่าสัตว์เลือดอุ่นและสัตวเลือดเย็นกันก่อน สัตว์เลือดอุ่นเป็นสัตว์ที่มีความต้องการเชื้อเพลิง(อาหาร)สูงและใช้พลังงาน (metabolic) สูงเพื่อขับดันให้ร่างกายสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและรักษาอุณหภูมิในร่างการให้สูงและคงที่อยู่ตลอดเวลา ตัวอย่างของสัตว์ประเภทนี้ได้แก่ สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมและนก และเรียกกระบวนการใช้พลังงานแบบนี้ว่า "endothermy"
ส่วนสัตว์เลือดเย็น มีการใช้พลังงานที่ต่ำกว่ามาก เช่นสัตว์เลือดคลาน และเรียกกระบวนการใช้พลังงานแบบนี้ว่า "ectothermy"
John Grady นักวิจัยและผู้เขียนรายงานชิ้นนี้ ได้อธิบายความแตกต่างระหว่างสัตว์เลือดอุ่นและสัตว์เลือดเย็นไว้อย่างน่าฟังว่า
"ถ้าคุณต้องอยู่ให้ได้ทั้งวัน คุณอาจต้องกินแซนวิชห้าชิ้น แต่สัตวเลือดคลานกินแค่สองชิ้นก็อยู่ได้ทั้งสัปดาห์"
รูปที่ 1 : เปรียบเทียบการใช้พลังงาน และอุณภูมิของสัตว์เลือดเย็นและสัตว์เลือดอุ่น
นักวิจัยได้เก็บตัวอย่างการใช้พลังงานของสัตว์ 381 สายพันธ์ ที่รวมถึงไดโนเสาร์ 21 สายพันธ์
เนื่องจากไดโนเสาร์สูญพันธ์ไปแล้ว คณะวิจัยเลยใช้ วงปี (growth ring) ของกระดูก มาเป็นดัชนีชี้วัดการใช้พลังงาน โดยทำการเทียบขนาดกระดูกไดโนเสาร์ในแต่ละช่วงอายุ จากนั้นนำการเจริญเติบโตของกระดูกมาประเมินการใช้พลังงาน John Grady ได้พูดถึงความสัมพันธ์ระหว่าง การใช้พลังงานและอัตราการเจริญเติบโตว่า
"ถ้ามีการใช้พลังงานเพิ่มขึ้นสองเท่า สัตว์จะโตเร็วขึ้นเกือบสองเท่าเช่นกัน"
ผลสรุปที่ได้พบว่าไดโนเสาร์ มีการใช้พลังงานอยู่ระหว่าง สัตวเลี้ยงลูกด้วยนมและสัตวเลื้อยคลาน และเนื่องจากไม่สามารถจำแนกได้ว่าไดโนเสาร์อยู่กลุ่มใด คณะวิจัยจึงได้บัญญติกลุ่มขึ้นมาใหม่ เพื่อใช้เรียกสัตว์ที่ไม่ใช่ทั้งสัตว์เลือดอุ่นและเลือดเย็นว่า "mesothermy"
รูปที่ 2 : ผลงานวิจัยพบว่าไดโนเสาร์อยู่ตรงกลางระหว่างสัตว์เลือดอุ่นและสัตว์เลือดเย็น
ไม่ใช่แค่ไดโนเสาร์เท่านั้นที่จำแนกไม่ได้ว่าเลือดอุ่นหรือเลือดเย็น ยังมีสัตว์หลายชนิดที่จำแนกไม่ได้เช่นกัน อาทิ ทูน่า ฉลามบางชนิด และ เต่ามะเฟือง (Leatherback Turtle)
อ้างอิง : http://www.bbc.com/news/science-environment-27794723