กระแสสังคมที่เรียกร้องให้คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ปฏิรูปโครงสร้างพลังงานทั้งระบบที่ดังกระหึ่มขึ้น นับแต่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. รัฐประหารยึดอำนาจ ทำให้ยักษ์ใหญ่ ปตท. ออกอาการร้อนรนผิดปกติ คล้ายกับเกรงว่าความลับกำไรแสนล้านจากการทำธุรกิจบนความทุกข์ร้อนของประชาชนจะได้รับผลกระทบ เพราะหัวหน้าคสช.นั้นวางมาดเข้มเสียจนเดาใจไม่ถูกว่าจะมีรายการ “ประยุทธ์นิยม” กดราคาพลังงานคืนความสุขให้ประชาชน หรือจะยังอุ้มปตท.กันต่อไปหรือไม่
ยิ่งถ้าอ่านสัญญาณจาก คสช. ซึ่งเคยเปลี่ยนใจไม่ขึ้นค่าก๊าซแอลพีจีภาคครัวเรือนตามกำหนดการเดิมด้วยแล้ว ถือว่าไม่มีอะไรแน่นอนสำหรับปตท. เพราะที่ผ่านมาสู้อุตส่าห์ผลักดันให้รัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ไฟเขียวขึ้นค่าก๊าซแอลพีจีจนสำเร็จ มีกำหนดเวลาปรับเพิ่มขึ้นที่แน่นอนชัดเจน แต่สุดท้ายก็เจอคำสั่งคสช.ให้ชะลอเอาไว้ก่อนโดยไม่มีกำหนด
ปตท. ต้องไม่ลืมว่าเวลานี้ประเทศไทยอยู่ภายใต้อำนาจพิเศษ และหัวหน้าคณะคสช.ประกาศลั่นไม่รับผลประโยชน์จะทำทุกอย่างให้โปร่งใสและเป็นธรรม
อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาจากกลไกที่จะขับเคลื่อนการปฏิรูปพลังงาน คือ คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.)และคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ที่พล.อ.ประยุทธ์ ออกคำสั่งแต่งตั้ง ยังคงสะท้อนว่า นายทหารใหญ่ที่สวมบทบาทผู้นำประเทศในยามนี้ยังให้บทบาทกับข้าราชการประจำ ซึ่งมีปัญหาเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนเพราะนั่งเป็นบอร์ดปตท.และบริษัทลูกอยู่ด้วยเช่นเดิม และไม่มีที่ทางสำหรับตัวแทนภาคประชาชนพอที่จะเห็นว่าเป็นนิมิตหมายใหม่แต่อย่างใด
ทั้งนี้ ตามคำสั่งคสช.ที่ 54/2557 เรื่องแต่งตั้งคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ซึ่งพล.อ.ประยุทธ์ นั่งเป็นประธานนั้น มีคณะกรรมการ กพช. ที่เป็นบอร์ด ปตท. อยู่ด้วย คือ ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ (นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว), ปลัดกระทรวงพลังงาน (นายสุเทพ เหลี่ยมศิริเจริญ), เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคม (นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ) และผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายเสมอใจ ศุขสุเมฆ) เป็นต้น
ส่วนคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 55/2557 เรื่องแต่งตั้งคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) แต่งตั้งให้ พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง ผบ.ทอ. รองหัวหน้าคสช. หัวหน้าฝ่ายเศรษฐกิจ เป็นประธานกรรมการ ก็มีคณะกรรมการ กบง.ที่ไปนั่งเป็นบอร์ดบริษัทพีทีทีโกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) บริษัทในเครือปตท.อยู่ด้วยเช่นกัน คือ ปลัดกระทรวงพลังงาน, เลขาธิการสภาพัฒน์, ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง, ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน
สำหรับหน้าที่หลักๆ ของกพช. คือ เสนอแนะนโยบายและแผนการบริหารและพัฒนาพลังงานของประเทศต่อคสช. กำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการกำหนดราคาพลังงานให้สอดคล้องกับนโยบายและแผนการบริหารและพัฒนาพลังงานของประเทศ และประเมินผลการปฏิบัติตามนโยบายและแผนการบริหารและพัฒนาพลังงานตามที่คสช.มอบหมาย ส่วน กบง. นั้น นอกจากจะทำหน้าที่เสนอแนะนโยบายและแผนการบริหารและพัฒนาและมาตรการทางด้านพลังงาน จัดลำดับความสำคัญของแผนงานและโครงการแล้ว ยังมีหน้าที่กำหนดอัตราเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง และเสนอแนะนโยบายและมาตรการและกำกับการแปลี่ยนแปลงอัตราค่าไฟฟ้าตามสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติอีกด้วย
หากมองในแง่ตัวบุคคลที่นั่งอยู่ในกพช.และกบง. ที่มาจากหน่วยงานราชการนั้นแทบจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง มีเพียงหัวเท่านั้นที่เปลี่ยนจากนักการเมืองคือนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีกระทรวงพลังงาน มาเป็นหัวหน้า คสช.และรองหัวหน้าคสช. ส่วนการทำหน้าที่ก็ยังคงเหมือนเดิม ซึ่งเมื่อดูองค์ประกอบของคณะกรรมการทั้งสองชุดแล้ว ความหวังในการเปลี่ยนแปลงแนวนโยบายและการบริหารจัดการด้านพลังงานของประเทศคงไม่ง่ายนัก
ตัวแปรนำการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในนโยบายพลังงานหากจะมีขึ้นในคราวนี้ จึงขึ้นอยู่กับหัวหน้า คสช. ผู้มาใหม่ และกระแสสังคมที่หนุนให้คสช.ทำภารกิจปฏิรูปพลังงานให้สำเร็จเท่านั้น ซึ่งนี่ทำให้ยักษ์ใหญ่ ปตท.เป็นกังวลเพราะสองตัวแปรนี้อยู่นอกเหนือการควบคุม
ปรากฏการณ์จุดพลุประเด็นที่กลายเป็นทอล์กออฟเดอะทาวน์ร้อนแรงต่อเนื่องตลอด 2 - 3 สัปดาห์ที่ผ่านมา ทั้งการปรับลดราคาน้ำมันและราคาก๊าซแอลพีจี และการยุบกองทุนน้ำมัน เป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่อว่าจะสร้างแรงสั่นสะเทือนถึงระดับที่ว่าซีอีโอของปตท. ออกมาแถลงข่าวใหญ่โตจะแยกธุรกิจน้ำมันออกไป และทำให้ ปตท. มีสภาพเป็นโฮลดิ้ง คอมปะนี เต็มรูปแบบทำหน้าที่เข้าไปถือหุ้นบริษัทในเครือเท่านั้น
หากมองแค่ผิวเผินชาวเน็ตก็อาจสะใจที่ปตท.หลอนจนต้องดิ้นรนเพื่ออยู่รอด แต่ถ้ามองให้ลึกลงไปจะเห็นว่า นี่อาจเป็นการถอยอย่างมีชั้นเชิงและมีความซับซ้อนหลายชั้น อาจมองได้ว่าเป็นการถอยเพื่อรุกและเพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจสอบ เพราะบริษัทลูกมีความเป็นเอกชนเต็มตัวไม่อยู่ในฐานะรัฐวิสาหกิจที่จะต้องตอบคำถามใครๆ ให้มากความ ขณะที่ปตท.ก็ยังคงสภาพเป็นรัฐวิสาหกิจสร้างความได้เปรียบเหนือคู่แข่งขันอยู่เช่นเดิม เรื่องที่ชวนติดตามต่อก็คือปตท.และบริษัทลูกจะกลายเป็นเครือข่ายองค์กรซ่อนเงื่อนยิ่งกว่าเดิมหรือไม่ ?
แต่ก่อนอื่นมาติดตามดูกันว่าในประเด็นที่จุดกระแสขึ้นมาเรื่องการปรับโครงสร้างราคาน้ำมันและการยุบเลิกกองทุนน้ำมัน ซึ่งเป็นกองทุนที่ กบง. อนุมัติให้นำเม็ดเงินไปใช้ชดเชยส่วนต่างค่าก๊าซฯ ให้ปตท. เป็นหลักนั้น ทำไมถึงจี้ใจดำปตท.จนออกอาการร้อนรนเหมือนไส้เดือนถูกขี้เถ้า
เรื่องนี้มีการปลุกกระแสกันตั้งแต่สัปดาห์แรกที่คสช.ยึดอำนาจแล้วว่า จะมีการปรับลดราคาน้ำมันลงมาลิตรละ 10 บาท แต่สุดท้ายก็กลายเป็นแค่เรื่องร่ำลือกันในโซเซียลเน็ตเวิร์คเท่านั้น เพราะคสช.ออกมาปฏิเสธและขอศึกษาโครงสร้างราคาพลังงานทั้งระบบก่อน กระทั่งพล.อ.ประยุทธ์ ลงนามคำสั่งแต่งตั้ง คณะกรรมการกพช.และ กบง. ซึ่งจะทำหน้าที่กำหนดนโยบายพลังงาน และหลักเกณฑ์เงื่อนไขกำหนดราคาพลังงาน จึงเกิดแรงกระเพื่อมขึ้นอีกครั้ง
กลุ่มจับตาปฏิรูปพลังงานไทย (จปพ.) ที่นำโดยนางสาวรสนา โตสิตระกูล อดีตส.ว.กรุงเทพฯ โยนข้อเสนอแนวทางการปรับโครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิงและชำแหละกองทุนน้ำมันให้แชร์กันสนั่นโลกออนไลน์เป็นการส่งเสียงสะท้อนไปยังคสช. โดยระบุว่า ปัจจัยที่ทำให้ราคาน้ำมันแพง ที่ควรได้รับการพิจารณามีอยู่ 3 ประการ ได้แก่ เนื้อน้ำมัน, กองทุนน้ำมัน และค่าการตลาด
1) เนื้อน้ำมัน หรือที่เรียกว่าราคาหน้าโรงกลั่นก่อนบวกภาษี (ภาษีสรรพสามิต, ภาษีเทศบาล, ภาษี Vat) ปัจจุบันใช้ราคาสมมติว่านำเข้าจากสิงคโปร์ โดยบวกค่าใช้จ่ายที่ไม่ได้เกิดขึ้นจริงหรือค่าใช้จ่ายเทียม ได้แก่ ค่าขนส่งจากสิงคโปร์มาไทย, ค่าสูญเสียระหว่างทาง และค่าประกันภัย
ค่าใช้จ่ายเทียมนั้น รัฐบาลในอดีตเสนอให้โรงกลั่นเป็นแรงจูงใจให้มีคนมาตั้งโรงกลั่นในไทย เพื่อทดแทนการนำเข้าน้ำมันสำเร็จรูป แต่ปัจจุบัน โรงกลั่นน้ำมัน สามารถผลิตล้นเกินจนส่งออกน้ำมันสำเร็จรูปเป็นสินค้าอันดับหนึ่งในกลุ่มประเทศอาเซียน และส่งออกน้ำมันสำเร็จรูปเป็นสินค้าอันดับ 3 ใน 15 อันดับแรกของไทย จึงควรยกเลิกแรงจูงใจหรือค่าใช้จ่ายเทียมนั้นได้แล้ว
ราคาเนื้อน้ำมันที่เรียกว่าราคาหน้าโรงกลั่น ที่ขายให้คนไทยจึงควรใช้ราคาที่โรงกลั่นส่งออกไปขายประเทศต่างๆ แทนที่จะใช้ราคาสมมติว่า นำเข้าจากสิงคโปร์ ซึ่งจะทำให้ราคาน้ำมันถูกลงทันที อย่างน้อย 1-2 บาท
2) กองทุนน้ำมัน ในปัจจุบันที่เก็บจากคนใช้น้ำมันเบนซิน 95 ลิตรละ 10 บาท แก๊สโซฮอลล์ 95 ลิตรละ 3.30 บาท แก๊สโซฮอลล์ ลิตรละ 1.20 บาท และดีเซล ลิตรละ 0.25 บาท กองทุนน้ำมันเก็บเงินจากน้ำมัน 4 ชนิด และชดเชยให้น้ำมัน 2 ชนิด คือ E 20 ลิตรละ 1.05 บาท และ E85 ลิตรละ 11.60 บาท
ราคาหน้าโรงกลั่นของกลุ่มแก๊สโซฮอลล์ ที่มีเอทานอลผสมอยู่ 10% บ้าง 20% บ้าง 85% บ้างควรจะมีราคาถูกกว่าเบนซิน 100% เพราะเอทานอลเป็นน้ำมันที่มาจากพืชและกากน้ำตาล การที่มีราคาสูงกว่าเนื้อน้ำมันเบนซิน 95 จึงเป็นเรื่องผิดปกติ ควรที่จะมีการตรวจสอบราคาเอทานอลในประเทศไทยว่าสาเหตุใดจึงมีราคาแพงกว่าน้ำมันจากเชื้อเพลิงฟอสซิล ทั้งที่ราคาเอทานอลในปัจจุบัน ที่มีการสำรวจโดยมหาวิทยาลัยไอโอว่าในสหรัฐอเมริกา พบว่า ตั้งแต่ต้นปี 2557 ราคาของเอทานอลมีราคาต่ำลงเหลือเพียง 58% ของราคาน้ำมันขายปลีกเท่านั้น ถ้าราคาแก๊สโซฮอลล์ที่มีส่วนผสมของเอทานอลมีราคาที่เหมาะสมตามกลไกตลาด เนื้อน้ำมันในกลุ่มของแก๊สโซฮอลล์ก็จะมีราคาถูกลงโดยตัวเนื้อน้ำมันเอง
นอกจากนี้ กองทุนน้ำมันที่นำไปชดเชยให้กับก๊าซแอลพีจีนั้น สามารถปลดล็อคด้วยการยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีสมัยนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ที่ระบุว่า "หลักการจัดสรรปริมาณก๊าซแอลพีจีที่ผลิตได้ในประเทศให้กับปริมาณความต้องการใน "ภาคครัวเรือนและปิโตรเคมี" เป็นลำดับแรก ส่วนปริมาณการผลิตก๊าซแอลพีจีที่เหลือจากการจัดสรรข้างต้น จะถูกนำไปจัดสรรให้กับ "ภาคขนส่งแลอุตสาหกรรมอื่น" เป็นลำดับต่อไป หากปริมาณที่เหลือจากการจัดสรรในลำดับแรกไม่เพียงพอกับความต้องการใช้ในภาคขนส่งและอุตสาหกรรม ให้มีการนำเข้าก๊าซแอลพีจีจากต่างประเทศ และนำกองทุนน้ำมันไปชดเชยในส่วนที่ขาด"
จากมติครม.ดังกล่าว ทำให้ปิโตรเคมี มีอิสระจากการถูกควบคุมราคาโดยหน่วยงานรัฐ แต่ราคาซื้อขายเป็นการกำหนดกันเองระหว่างบริษัทปตท.แม่ กับปตท.ลูก โดยอ้างอิงราคา Net Back กับเม็ดพลาสติดตลาดโลก ซึ่งมีราคาถูกกว่าแอลพีจีราคาตลาดโลกถึง 40%
กระทรวงพลังงานอ้างว่า ไม่ได้เป็นผู้กำหนดหรือควบคุมราคาแอลพีจีที่ปิโตรเคมีใช้ เพราะว่าปิโตรเคมีใช้แอลพีจีเป็นวัตถุดิบ จึงไม่ได้อยู่ในอำนาจและความรับผิดชอบของกระทรวงพลังงาน กระทรวงพลังงานดูแลเฉพาะราคาของผู้ใช้แอลพีจีเป็นเชื้อเพลิง ได้แก่ ภาคครัวเรือน ภาคขนส่ง และภาคอุตสาหกรรมเท่านั้น
การมีมติครม. สมัยนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ และประกอบกับกิจการก๊าซตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำอยู่ในการควบคุมของปตท.ทั้งระบบ จึงเปิดโอกาสให้ปิโตรเคมีได้ใช้แอลพีจีจากโรงแยกก๊าซที่มีราคาถูกโดยอิสระ ทำให้ปริมาณก๊าซแอลพีจีสำหรับภาคส่วนอื่นไม่เพียงพอ ต้องนำเข้าจากต่างประเทศ และนำเงินจากกองทุนน้ำมันมาชดเชย ดังปรากฎว่า การใช้ก๊าซแอลพีจีของภาคปิโตรเคมี เพิ่มสูงกว่าภาคครัวเรือนในปี 2556 โดยปิโตรเคมีใช้ในปริมาณ 2,740 ล้านกิโลกรัม ภาคครัวเรือนใช้ 2,409 ล้านกิโลกรัม โรงแยกก๊าซผลิตได้ 3,865 ล้านกิโลกรัม
ถ้ายกเลิกมติครม.สมัยนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ และเปลี่ยนนโยบายมาจัดสรรก๊าซแอลพีจีจากโรงแยกก๊าซ ซึ่งเป็นเป็นทรัพยากรของประชาชนทุกคน ให้ภาคครัวเรือนใช้เป็นลำดับแรกก่อนในราคาต้นทุนบวกกำไรพอประมาณ เมื่อเหลือจึงจัดสรรให้ภาคส่วนอื่นในราคาที่กำหนดให้เหมาะสมและเป็นธรรมหากปริมาณความต้องการไม่เพียงพอ ให้อุตสาหกรรม และปิโตรเคมีนำเข้าก๊าซแอลพีจีเองโดยรับต้นทุนนำเข้าเอง กองทุนน้ำมันก็ไม่มีความจำเป็นอีกต่อไป และราคาน้ำมันก็จะลดลงเอง
3) ค่าการตลาด เป็นตัวโยกราคา เมื่อราคาของเนื้อน้ำมันลดลงโดยไปเพิ่มที่ค่าการตลาด จึงควรพิจารณาค่าการตลาดที่เหมาะสมในราคาประมาณลิตรละ 1.50 บาท
จุดยืนของกลุ่มจับตาปฏิรูปพลังงานไทย ชัดเจนว่า ไม่เห็นด้วยกับการลดภาษีเพื่อลดราคาน้ำมัน ซึ่งจะเป็นประชานิยมที่ทำให้เกิดความเสียหายในระยะยาว แต่เห็นควรเขย่าสูตรการกำหนดราคาน้ำมันอิงสิงคโปร์และยกเลิกกองทุนน้ำมัน
ปตท.หลอน คสช.เขย่าขวัญ รื้อโครงสร้างพลังงาน
ยิ่งถ้าอ่านสัญญาณจาก คสช. ซึ่งเคยเปลี่ยนใจไม่ขึ้นค่าก๊าซแอลพีจีภาคครัวเรือนตามกำหนดการเดิมด้วยแล้ว ถือว่าไม่มีอะไรแน่นอนสำหรับปตท. เพราะที่ผ่านมาสู้อุตส่าห์ผลักดันให้รัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ไฟเขียวขึ้นค่าก๊าซแอลพีจีจนสำเร็จ มีกำหนดเวลาปรับเพิ่มขึ้นที่แน่นอนชัดเจน แต่สุดท้ายก็เจอคำสั่งคสช.ให้ชะลอเอาไว้ก่อนโดยไม่มีกำหนด
ปตท. ต้องไม่ลืมว่าเวลานี้ประเทศไทยอยู่ภายใต้อำนาจพิเศษ และหัวหน้าคณะคสช.ประกาศลั่นไม่รับผลประโยชน์จะทำทุกอย่างให้โปร่งใสและเป็นธรรม
อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาจากกลไกที่จะขับเคลื่อนการปฏิรูปพลังงาน คือ คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.)และคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ที่พล.อ.ประยุทธ์ ออกคำสั่งแต่งตั้ง ยังคงสะท้อนว่า นายทหารใหญ่ที่สวมบทบาทผู้นำประเทศในยามนี้ยังให้บทบาทกับข้าราชการประจำ ซึ่งมีปัญหาเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนเพราะนั่งเป็นบอร์ดปตท.และบริษัทลูกอยู่ด้วยเช่นเดิม และไม่มีที่ทางสำหรับตัวแทนภาคประชาชนพอที่จะเห็นว่าเป็นนิมิตหมายใหม่แต่อย่างใด
ทั้งนี้ ตามคำสั่งคสช.ที่ 54/2557 เรื่องแต่งตั้งคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ซึ่งพล.อ.ประยุทธ์ นั่งเป็นประธานนั้น มีคณะกรรมการ กพช. ที่เป็นบอร์ด ปตท. อยู่ด้วย คือ ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ (นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว), ปลัดกระทรวงพลังงาน (นายสุเทพ เหลี่ยมศิริเจริญ), เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคม (นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ) และผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายเสมอใจ ศุขสุเมฆ) เป็นต้น
ส่วนคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 55/2557 เรื่องแต่งตั้งคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) แต่งตั้งให้ พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง ผบ.ทอ. รองหัวหน้าคสช. หัวหน้าฝ่ายเศรษฐกิจ เป็นประธานกรรมการ ก็มีคณะกรรมการ กบง.ที่ไปนั่งเป็นบอร์ดบริษัทพีทีทีโกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) บริษัทในเครือปตท.อยู่ด้วยเช่นกัน คือ ปลัดกระทรวงพลังงาน, เลขาธิการสภาพัฒน์, ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง, ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน
สำหรับหน้าที่หลักๆ ของกพช. คือ เสนอแนะนโยบายและแผนการบริหารและพัฒนาพลังงานของประเทศต่อคสช. กำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการกำหนดราคาพลังงานให้สอดคล้องกับนโยบายและแผนการบริหารและพัฒนาพลังงานของประเทศ และประเมินผลการปฏิบัติตามนโยบายและแผนการบริหารและพัฒนาพลังงานตามที่คสช.มอบหมาย ส่วน กบง. นั้น นอกจากจะทำหน้าที่เสนอแนะนโยบายและแผนการบริหารและพัฒนาและมาตรการทางด้านพลังงาน จัดลำดับความสำคัญของแผนงานและโครงการแล้ว ยังมีหน้าที่กำหนดอัตราเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง และเสนอแนะนโยบายและมาตรการและกำกับการแปลี่ยนแปลงอัตราค่าไฟฟ้าตามสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติอีกด้วย
หากมองในแง่ตัวบุคคลที่นั่งอยู่ในกพช.และกบง. ที่มาจากหน่วยงานราชการนั้นแทบจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง มีเพียงหัวเท่านั้นที่เปลี่ยนจากนักการเมืองคือนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีกระทรวงพลังงาน มาเป็นหัวหน้า คสช.และรองหัวหน้าคสช. ส่วนการทำหน้าที่ก็ยังคงเหมือนเดิม ซึ่งเมื่อดูองค์ประกอบของคณะกรรมการทั้งสองชุดแล้ว ความหวังในการเปลี่ยนแปลงแนวนโยบายและการบริหารจัดการด้านพลังงานของประเทศคงไม่ง่ายนัก
ตัวแปรนำการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในนโยบายพลังงานหากจะมีขึ้นในคราวนี้ จึงขึ้นอยู่กับหัวหน้า คสช. ผู้มาใหม่ และกระแสสังคมที่หนุนให้คสช.ทำภารกิจปฏิรูปพลังงานให้สำเร็จเท่านั้น ซึ่งนี่ทำให้ยักษ์ใหญ่ ปตท.เป็นกังวลเพราะสองตัวแปรนี้อยู่นอกเหนือการควบคุม
ปรากฏการณ์จุดพลุประเด็นที่กลายเป็นทอล์กออฟเดอะทาวน์ร้อนแรงต่อเนื่องตลอด 2 - 3 สัปดาห์ที่ผ่านมา ทั้งการปรับลดราคาน้ำมันและราคาก๊าซแอลพีจี และการยุบกองทุนน้ำมัน เป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่อว่าจะสร้างแรงสั่นสะเทือนถึงระดับที่ว่าซีอีโอของปตท. ออกมาแถลงข่าวใหญ่โตจะแยกธุรกิจน้ำมันออกไป และทำให้ ปตท. มีสภาพเป็นโฮลดิ้ง คอมปะนี เต็มรูปแบบทำหน้าที่เข้าไปถือหุ้นบริษัทในเครือเท่านั้น
หากมองแค่ผิวเผินชาวเน็ตก็อาจสะใจที่ปตท.หลอนจนต้องดิ้นรนเพื่ออยู่รอด แต่ถ้ามองให้ลึกลงไปจะเห็นว่า นี่อาจเป็นการถอยอย่างมีชั้นเชิงและมีความซับซ้อนหลายชั้น อาจมองได้ว่าเป็นการถอยเพื่อรุกและเพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจสอบ เพราะบริษัทลูกมีความเป็นเอกชนเต็มตัวไม่อยู่ในฐานะรัฐวิสาหกิจที่จะต้องตอบคำถามใครๆ ให้มากความ ขณะที่ปตท.ก็ยังคงสภาพเป็นรัฐวิสาหกิจสร้างความได้เปรียบเหนือคู่แข่งขันอยู่เช่นเดิม เรื่องที่ชวนติดตามต่อก็คือปตท.และบริษัทลูกจะกลายเป็นเครือข่ายองค์กรซ่อนเงื่อนยิ่งกว่าเดิมหรือไม่ ?
แต่ก่อนอื่นมาติดตามดูกันว่าในประเด็นที่จุดกระแสขึ้นมาเรื่องการปรับโครงสร้างราคาน้ำมันและการยุบเลิกกองทุนน้ำมัน ซึ่งเป็นกองทุนที่ กบง. อนุมัติให้นำเม็ดเงินไปใช้ชดเชยส่วนต่างค่าก๊าซฯ ให้ปตท. เป็นหลักนั้น ทำไมถึงจี้ใจดำปตท.จนออกอาการร้อนรนเหมือนไส้เดือนถูกขี้เถ้า
เรื่องนี้มีการปลุกกระแสกันตั้งแต่สัปดาห์แรกที่คสช.ยึดอำนาจแล้วว่า จะมีการปรับลดราคาน้ำมันลงมาลิตรละ 10 บาท แต่สุดท้ายก็กลายเป็นแค่เรื่องร่ำลือกันในโซเซียลเน็ตเวิร์คเท่านั้น เพราะคสช.ออกมาปฏิเสธและขอศึกษาโครงสร้างราคาพลังงานทั้งระบบก่อน กระทั่งพล.อ.ประยุทธ์ ลงนามคำสั่งแต่งตั้ง คณะกรรมการกพช.และ กบง. ซึ่งจะทำหน้าที่กำหนดนโยบายพลังงาน และหลักเกณฑ์เงื่อนไขกำหนดราคาพลังงาน จึงเกิดแรงกระเพื่อมขึ้นอีกครั้ง
กลุ่มจับตาปฏิรูปพลังงานไทย (จปพ.) ที่นำโดยนางสาวรสนา โตสิตระกูล อดีตส.ว.กรุงเทพฯ โยนข้อเสนอแนวทางการปรับโครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิงและชำแหละกองทุนน้ำมันให้แชร์กันสนั่นโลกออนไลน์เป็นการส่งเสียงสะท้อนไปยังคสช. โดยระบุว่า ปัจจัยที่ทำให้ราคาน้ำมันแพง ที่ควรได้รับการพิจารณามีอยู่ 3 ประการ ได้แก่ เนื้อน้ำมัน, กองทุนน้ำมัน และค่าการตลาด
1) เนื้อน้ำมัน หรือที่เรียกว่าราคาหน้าโรงกลั่นก่อนบวกภาษี (ภาษีสรรพสามิต, ภาษีเทศบาล, ภาษี Vat) ปัจจุบันใช้ราคาสมมติว่านำเข้าจากสิงคโปร์ โดยบวกค่าใช้จ่ายที่ไม่ได้เกิดขึ้นจริงหรือค่าใช้จ่ายเทียม ได้แก่ ค่าขนส่งจากสิงคโปร์มาไทย, ค่าสูญเสียระหว่างทาง และค่าประกันภัย
ค่าใช้จ่ายเทียมนั้น รัฐบาลในอดีตเสนอให้โรงกลั่นเป็นแรงจูงใจให้มีคนมาตั้งโรงกลั่นในไทย เพื่อทดแทนการนำเข้าน้ำมันสำเร็จรูป แต่ปัจจุบัน โรงกลั่นน้ำมัน สามารถผลิตล้นเกินจนส่งออกน้ำมันสำเร็จรูปเป็นสินค้าอันดับหนึ่งในกลุ่มประเทศอาเซียน และส่งออกน้ำมันสำเร็จรูปเป็นสินค้าอันดับ 3 ใน 15 อันดับแรกของไทย จึงควรยกเลิกแรงจูงใจหรือค่าใช้จ่ายเทียมนั้นได้แล้ว
ราคาเนื้อน้ำมันที่เรียกว่าราคาหน้าโรงกลั่น ที่ขายให้คนไทยจึงควรใช้ราคาที่โรงกลั่นส่งออกไปขายประเทศต่างๆ แทนที่จะใช้ราคาสมมติว่า นำเข้าจากสิงคโปร์ ซึ่งจะทำให้ราคาน้ำมันถูกลงทันที อย่างน้อย 1-2 บาท
2) กองทุนน้ำมัน ในปัจจุบันที่เก็บจากคนใช้น้ำมันเบนซิน 95 ลิตรละ 10 บาท แก๊สโซฮอลล์ 95 ลิตรละ 3.30 บาท แก๊สโซฮอลล์ ลิตรละ 1.20 บาท และดีเซล ลิตรละ 0.25 บาท กองทุนน้ำมันเก็บเงินจากน้ำมัน 4 ชนิด และชดเชยให้น้ำมัน 2 ชนิด คือ E 20 ลิตรละ 1.05 บาท และ E85 ลิตรละ 11.60 บาท
ราคาหน้าโรงกลั่นของกลุ่มแก๊สโซฮอลล์ ที่มีเอทานอลผสมอยู่ 10% บ้าง 20% บ้าง 85% บ้างควรจะมีราคาถูกกว่าเบนซิน 100% เพราะเอทานอลเป็นน้ำมันที่มาจากพืชและกากน้ำตาล การที่มีราคาสูงกว่าเนื้อน้ำมันเบนซิน 95 จึงเป็นเรื่องผิดปกติ ควรที่จะมีการตรวจสอบราคาเอทานอลในประเทศไทยว่าสาเหตุใดจึงมีราคาแพงกว่าน้ำมันจากเชื้อเพลิงฟอสซิล ทั้งที่ราคาเอทานอลในปัจจุบัน ที่มีการสำรวจโดยมหาวิทยาลัยไอโอว่าในสหรัฐอเมริกา พบว่า ตั้งแต่ต้นปี 2557 ราคาของเอทานอลมีราคาต่ำลงเหลือเพียง 58% ของราคาน้ำมันขายปลีกเท่านั้น ถ้าราคาแก๊สโซฮอลล์ที่มีส่วนผสมของเอทานอลมีราคาที่เหมาะสมตามกลไกตลาด เนื้อน้ำมันในกลุ่มของแก๊สโซฮอลล์ก็จะมีราคาถูกลงโดยตัวเนื้อน้ำมันเอง
นอกจากนี้ กองทุนน้ำมันที่นำไปชดเชยให้กับก๊าซแอลพีจีนั้น สามารถปลดล็อคด้วยการยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีสมัยนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ที่ระบุว่า "หลักการจัดสรรปริมาณก๊าซแอลพีจีที่ผลิตได้ในประเทศให้กับปริมาณความต้องการใน "ภาคครัวเรือนและปิโตรเคมี" เป็นลำดับแรก ส่วนปริมาณการผลิตก๊าซแอลพีจีที่เหลือจากการจัดสรรข้างต้น จะถูกนำไปจัดสรรให้กับ "ภาคขนส่งแลอุตสาหกรรมอื่น" เป็นลำดับต่อไป หากปริมาณที่เหลือจากการจัดสรรในลำดับแรกไม่เพียงพอกับความต้องการใช้ในภาคขนส่งและอุตสาหกรรม ให้มีการนำเข้าก๊าซแอลพีจีจากต่างประเทศ และนำกองทุนน้ำมันไปชดเชยในส่วนที่ขาด"
จากมติครม.ดังกล่าว ทำให้ปิโตรเคมี มีอิสระจากการถูกควบคุมราคาโดยหน่วยงานรัฐ แต่ราคาซื้อขายเป็นการกำหนดกันเองระหว่างบริษัทปตท.แม่ กับปตท.ลูก โดยอ้างอิงราคา Net Back กับเม็ดพลาสติดตลาดโลก ซึ่งมีราคาถูกกว่าแอลพีจีราคาตลาดโลกถึง 40%
กระทรวงพลังงานอ้างว่า ไม่ได้เป็นผู้กำหนดหรือควบคุมราคาแอลพีจีที่ปิโตรเคมีใช้ เพราะว่าปิโตรเคมีใช้แอลพีจีเป็นวัตถุดิบ จึงไม่ได้อยู่ในอำนาจและความรับผิดชอบของกระทรวงพลังงาน กระทรวงพลังงานดูแลเฉพาะราคาของผู้ใช้แอลพีจีเป็นเชื้อเพลิง ได้แก่ ภาคครัวเรือน ภาคขนส่ง และภาคอุตสาหกรรมเท่านั้น
การมีมติครม. สมัยนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ และประกอบกับกิจการก๊าซตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำอยู่ในการควบคุมของปตท.ทั้งระบบ จึงเปิดโอกาสให้ปิโตรเคมีได้ใช้แอลพีจีจากโรงแยกก๊าซที่มีราคาถูกโดยอิสระ ทำให้ปริมาณก๊าซแอลพีจีสำหรับภาคส่วนอื่นไม่เพียงพอ ต้องนำเข้าจากต่างประเทศ และนำเงินจากกองทุนน้ำมันมาชดเชย ดังปรากฎว่า การใช้ก๊าซแอลพีจีของภาคปิโตรเคมี เพิ่มสูงกว่าภาคครัวเรือนในปี 2556 โดยปิโตรเคมีใช้ในปริมาณ 2,740 ล้านกิโลกรัม ภาคครัวเรือนใช้ 2,409 ล้านกิโลกรัม โรงแยกก๊าซผลิตได้ 3,865 ล้านกิโลกรัม
ถ้ายกเลิกมติครม.สมัยนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ และเปลี่ยนนโยบายมาจัดสรรก๊าซแอลพีจีจากโรงแยกก๊าซ ซึ่งเป็นเป็นทรัพยากรของประชาชนทุกคน ให้ภาคครัวเรือนใช้เป็นลำดับแรกก่อนในราคาต้นทุนบวกกำไรพอประมาณ เมื่อเหลือจึงจัดสรรให้ภาคส่วนอื่นในราคาที่กำหนดให้เหมาะสมและเป็นธรรมหากปริมาณความต้องการไม่เพียงพอ ให้อุตสาหกรรม และปิโตรเคมีนำเข้าก๊าซแอลพีจีเองโดยรับต้นทุนนำเข้าเอง กองทุนน้ำมันก็ไม่มีความจำเป็นอีกต่อไป และราคาน้ำมันก็จะลดลงเอง
3) ค่าการตลาด เป็นตัวโยกราคา เมื่อราคาของเนื้อน้ำมันลดลงโดยไปเพิ่มที่ค่าการตลาด จึงควรพิจารณาค่าการตลาดที่เหมาะสมในราคาประมาณลิตรละ 1.50 บาท
จุดยืนของกลุ่มจับตาปฏิรูปพลังงานไทย ชัดเจนว่า ไม่เห็นด้วยกับการลดภาษีเพื่อลดราคาน้ำมัน ซึ่งจะเป็นประชานิยมที่ทำให้เกิดความเสียหายในระยะยาว แต่เห็นควรเขย่าสูตรการกำหนดราคาน้ำมันอิงสิงคโปร์และยกเลิกกองทุนน้ำมัน