มีคนพูดว่า คนที่โกรธ คือคนที่ปัดเอาสิ่งดี ๆ ออกจากตัวเอง หากเป็นเช่นนั้นแล้ว ในทางตรงกันข้าม คนที่ไม่โกรธ แต่รักและเห็นใจคนอื่น ก็ย่อมดึงดูดสิ่งที่ดีเข้าหาตัวเองได้ด้วยเช่นกัน
การไม่โกรธ แต่ส่งกระแสของความรักออกไปให้กับคนรอบข้าง เป็นสิ่งที่ทำให้คนรอบข้างรู้สึกได้ เช่น บางครั้ง เราอยู่กับคนคนนี้แล้วรู้สึกไม่ดีเลย แต่กับบางคน เมื่อได้อยู่ใกล้ กับรู้สึกอบอุ่น กระแสนี้เอง ที่ส่งผลและผลักดันให้ผู้ที่เป็นเจ้าของ และผู้ที่รับกระแสนี้ มีแต่พบความสุข ความเจริญ เพราะกระแสนี้เป็นกระแสของความรักที่บริสุทธิ์ ที่ยิ่งใหญ่ ที่มีความหมาย และเมื่อใดที่เรามีกระแสของพลังในจิตชนิดนี้ มันจะเป็นพลังที่ทรงคุณค่าและผลักดันเราไปสู่ความสำเร็จได้ทุกอย่าง เพราะนั่นคือพลังของความรัก หรือที่เรียกว่า "เมตตา"
เมตตา มีรากศัพท์เดียวกันกับคำว่า "มิตร" ที่แปลว่า เพื่อน เป็นการแสดงความเป็นเพื่อนออกจากจิตใจ ที่เห็นว่าตัวเราเอง ไม่อยากได้รับความทุกข์อะไรเลย คนอื่น ๆ ก็เป็นแบบนั้น และเมื่อรักตัวเองได้ ก็ส่งความรู้สึกแบบเดียวกันนั้นเอง กระจายไปสู่คนรอบข้าง โดยเริ่มแรก อาจจะเป็นเพื่อน เป็นพ่อ เป็นแม่ และขยายออกไปเรื่อย ๆ จนในที่สุดแล้ว จิตใจจะไม่มีขอบเขตของความไม่รักใครอยู่เลย เรียกได้ว่า แผ่เมตตาถึงระดับอัปปนา เป็นความรักที่ไม่มีเงื่อนไข ไม่เลือกบุคคล ไม่จดจำความผิด ไม่มีข้อแม้ และไม่มีความหม่นหมองมลทิน
พลังแห่งจิตที่มีเมตตานี้เอง เป็นพลังแห่งความรักที่ยิ่งใหญ่ พ่อแม่ เมื่อมีความรักแล้ว ย่อมเสียสละเพื่อลูกได้โดยไม่คำนึงถึงความเหนื่อยยาก เพื่อนรัก คนรัก เมื่อได้เกิดมีความรัก ความห่วงใย ใส่ใจกันแล้ว ย่อมกระทำแต่ในสิ่งที่ทำให้ต่างฝ่ายต่างเจริญ ผลักดันให้กันและกันพ้นจากความทุกข์ความทรมานต่าง ๆ และแน่นอนว่ากระแสที่ยิ่งใหญ่อย่างนี้ เราสามารถจับพลังเหล่านั้น รวมเป็นหนึ่งในจิต และส่งแผ่ออกไป ให้บุคคลใดบุคคลหนึ่งได้ หรือจะแผ่ให้กับหลายบุคคลก็ได้ ผู้ที่ได้รับสัมผัสพลังนี้ จะมีอาการต่างกันไป บ้างก็จะใจเย็นลง บ้างจะหายโกรธ บ้างจะร้องไห้น้ำตาไหล ซึ่งเหตุการณ์นี้บางครั้งเกิดกับศาสนิกชนศาสนาอื่นด้วยเช่นกัน เช่นในศาสนาที่กล่าวว่าพระเจ้าทรงสอนเรื่องความรัก เมื่อทำพิธีทางศาสนาบางประการ เมื่อมีการรวมกลุ่ม สมาชิกในกลุ่มจะรับ "พลัง" ได้บางอย่างจนน้ำตาไหล และรู้สึกได้ถึงความรัก สภาวะนั้นเองเกิดจากการที่จิตของหลาย ๆ คนส่งกระแสความรักต่อกันขึ้นมา ทำให้สมาชิกในกลุ่มด้วยกัน มีใจที่อ่อนโยนลง บ้างลงไปทรุดกับพื้น น้ำตาไหล และกล่าวว่า นี่ล่ะ คือความรักของผู้สร้างศาสนานั้น ๆ ซึ่งความจริงแล้วเกิดจากกระแสของจิตมนุษย์เราในด้านดีนี่เอง
การที่บุคคลใดบุคคลหนึ่ง สามารถรวมจิตให้มีความรัก ส่งแผ่ออกไปต่อสิ่งมีชีวิต คนหรือสัตว์รอบข้างได้แล้วอย่างเป็นสมาธิ บุคคลนั้นจะพบกับความอิ่มเอิบใจ และเหมือนกับมีชีวิตในโลกนี้เป็นเหมือนเทพยดา นางฟ้า เพราะว่าคนคนนั้นจะมีแต่ความสุข ความสบายใจ คลื่นแห่งความสุขสบายใจนี้ทำให้ใครที่ได้อยู่ใกล้ก็มีความสุข ความสบายตามไปด้วย และที่สำคัญใบหน้าของคนคนนั้นจะดูสดใส สดชื่น ไม่เศร้าหมอง เพราะพลังของความรักนั้นสวยงามอยู่แล้ว ใครที่มีพลังของความรักความเมตตาอยู่ในตัวเอง คนนั้นยิ่งกว่ามีเทวดาคุ้มครอง เพราะความรักเป็นเครื่องประดับบารมี
ความเป็นจริงแล้ว ผู้ที่มีจิตเมตตาเพื่อนร่วมโลกนั้น จะเป็นยิ่งกว่าเทวดานางฟ้า เพราะพระพุทธองค์ตรัสว่า บุคคลนั้นย่อมอยู่ด้วยวิหารของพรหม โดยพรหมวิหารนั้นจะเริ่มตั้งแต่ลำดับของเมตตาเป็นต้นไป สู่กรุณา มุฑิตา และอุเบกขา ซึ่งโดยลักษณะนั้น สามารถอุปมาได้ดังนี้
เวลาที่เราเห็นคนที่เรารัก เราก็อยากให้เขามีความสุข หรือแม่ ที่หวังให้ลูกมีความสุข อยากให้ลูกกินอยู่หลับสบายนี้คือเมตตา หวังจะให้เขามีความสุข
เมื่อเห็นคนที่เรารักมีความทุกข์ เราก็คิดสงสารและหวังจะให้เขาหมดสิ้นเรื่องทุกข์นั้นๆ หรือผู้เป็นแม่ หวังให้ลูกอย่าได้มีความทุกข์เรื่องใดๆ เห็นลูกไม่สบายกายไม่สบายใจแล้วเกิดความสงสารลูกนี้เป็นกรุณา
เมื่อเห็นคนที่เรารักมีความสุขมีความเจริญ ได้รับสิ่งดีๆ อย่างใดอย่างหนึ่ง เราก็รู้สึกพลอยดีใจตามไปด้วยกับความสุขความเจริญของเขา หรือพ่อแม่ที่เห็นลูกรับปริญญา เห็นลูกได้งานทำ หรือมีความเจริญอย่างใดอย่างหนึ่งแล้วรู้สึกปลาบปลื้มกับความสุขของลูก นี้คือมุฑิตา ความพลอยยินดี
เมื่อลูกทำการงานได้แล้ว มีครอบครัว พ่อแม่ก็หมดกังวลห่วงใย ไม่ทำอะไร วางเฉย เพราะใจรู้ว่าบุคคลนั้นพ้นจากวิสัยของความพยายาม กล่าวคือ เรารู้แล้วว่าเราไม่สามารถสร้างสุขหรือสร้างทุกข์ให้ใครได้ คนเราจะได้สุขหรือเป็นทุกข์นั่นก็เพราะตัวของเขาเอง ไม่ต้องคิดดีให้เขาได้ดี ไม่ต้องคิดร้ายให้เขาได้ร้าย เขาจะดีจะร้าย จะสุขจะทุกข์ก็เพราะกรรมของเขาเอง แล้วปล่อยจิตจากการชอบการชัง นี้เป็นอุเบกขา
นี้เรียกว่าพรหมวิหารมี 4 ข้อ
พรหมวิหารทั้ง 4 นี้นั้น ไม่ใช่เป็นเพียงอาการคิดต่อผู้ใดผู้หนึ่งเท่านั้น แต่สามารถนำมาใช้เพื่อเสริมกำลังทางจิตให้เข้มแข็งขึ้น และรับอานิสงส์ที่มากขึ้น โดยนำมาแผ่ออก การแผ่นี้ เป็นการโน้มจิตให้คิดถึงสัตว์หรือบุคคล ใครสักคน แล้วแผ่ หรือกระจายความรู้สึก ความคิดออกไป เช่น
คนนั่งข้างๆ เรา เราแผ่ไปว่า "ขอให้เขาอย่าได้เจอเรื่องไม่ดีเลย" แล้วเพ่งจิตเข้าไปถึงใจเขา ในการเพ่งจิต หากจิตมีกำลังมากพอ ก็จะสามารถทำให้ผู้ถูกแผ่ได้รับรู้ได้
~ กรณีตัวอย่างในสมัยพุทธกาล ~
ครั้งหนึ่งเหล่าญาติของราชวงศ์มัลละ ได้ตั้งกติกาในเวลาที่พระพุทธเจ้าจะทรงเสด็จมาว่า หากพระญาติเหล่าใด ไม่จัดการต้อนรับเสด็จพระพุทธเจ้า จะต้องถูกปรับ กษัตริย์พระองค์หนึ่ง นามว่า โรชะมัลละกษัตริย์ ก็ได้ทำการต้อนรับเสด็จพระพุทธเจ้าเป็นอย่างดี แต่เมื่อพระอานนท์ถามแล้ว กษัตริย์นั้นตอบว่า ที่จัดเตรียมการต้อนรับพระพุทธองค์ไม่ใช่เพราะอะไรหรอก แต่เป็นเพราะไม่อยากโดนปรับเงิน
พระอานนท์ท่านทราบอย่างนั้นท่านจึงคิดว่า ควรจะให้กษัตริย์นี้เกิดความเลื่อมใสพระศาสดา จึงได้นำกษัตริย์นั้นไปพบพระศาสดา พระพุทธเจ้าทรงใช้พลังจิตแผ่ออกไปทำให้เขาเกิดความรักได้ในทันที โดยมีเรื่องราวจากข้อความในพระไตรปิฎก ดังนี้
พระอานนท์ทูลพระพุทธเจ้าว่า
"ขอประทานพระวโรกาส ขอพระองค์ทรงกรุณาโปรดบันดาลให้โรชะมัลลกษัตริย์เลื่อมใสในพระธรรมวินัยนี้ด้วยเถิด พระพุทธเจ้าข้า.
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
"ดูกรอานนท์ การที่จะบันดาลให้โรชะมัลลกษัตริย์เลื่อมใสในพระธรรมวินัยนี้นั้น ตถาคตทำได้ไม่ยากเลย"
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงแผ่เมตตาจิตไปยังโรชะมัลลกษัตริย์ แล้วทรงลุกจากที่ประทับเสด็จเข้าพระวิหาร
ครั้นโรชะมัลลกษัตริย์ อันพระเมตตาจิตของพระผู้มีพระภาคถูกต้องแล้วได้เที่ยวค้นหาตามวิหาร ตามบริเวณทั่วทุกแห่ง ดุจโคแม่ลูกอ่อน แล้วตรัสถามภิกษุทั้งหลายว่าท่านเจ้าข้า เวลานี้ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ประทับอยู่ที่ไหนเพราะข้าพเจ้าใคร่จะเฝ้าพระองค์.
หรือแม้แต่ครั้งหนึ่ง พระเทวฑัตได้ช้างนาฬาคีรี เพื่อให้มุ่งเข้าทำร้ายพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าทรงแผ่เมตตาจิตไปยังช้างนั้น ช้างนั้นกลับได้สติ เกิดความรักใคร่ และซบศีรษะลง ณ พระพุทธบาท แล้วพ่นทรายใส่กระหม่อมตัวเองเป็นการขอขมาพระพุทธเจ้า เหล่านี้ เป็นตัวอย่างของอานุภาพเมตตา
ตัวอย่างที่เราสามารถรับรู้ได้ในชีวิตประจำวันของเรา เช่น ในบางครั้ง เราคุยกับผู้ใหญ่ ที่ท่านเอ็นดูเรา เราจะรู้สึกอิ่มใจ เย็นใจ เพราะรับกระแสที่อบอุ่นจากท่านได้ เป็นต้น นี้เป็นตัวอย่างพื้นฐานของการที่บุคคลรับกระแสนี้ได้
การอธิษฐาน หรือแผ่พลังออกไปเพื่อปกป้องรักษาใครคนนึง พลังนั้น สามารถบำบัดทุกข์ภัยของบุคคลนั้นได้จริง และตัวผู้แผ่ ก็ได้รับเกราะป้องกันอย่างดี จากพลังบริสุทธิ์ที่เรียกว่าความรักนั
พระพุทธองค์ตรัสว่า เมตตาธรรม ค้ำจุนโลก
และความรักนี่เอง ที่จะรักษาโลก
วิธีปัดเป่าสิ่งเลวร้าย ดึงสิ่งดี ๆ เข้าหาตัว ด้วยการใช้พลังใจด้านบวก
การไม่โกรธ แต่ส่งกระแสของความรักออกไปให้กับคนรอบข้าง เป็นสิ่งที่ทำให้คนรอบข้างรู้สึกได้ เช่น บางครั้ง เราอยู่กับคนคนนี้แล้วรู้สึกไม่ดีเลย แต่กับบางคน เมื่อได้อยู่ใกล้ กับรู้สึกอบอุ่น กระแสนี้เอง ที่ส่งผลและผลักดันให้ผู้ที่เป็นเจ้าของ และผู้ที่รับกระแสนี้ มีแต่พบความสุข ความเจริญ เพราะกระแสนี้เป็นกระแสของความรักที่บริสุทธิ์ ที่ยิ่งใหญ่ ที่มีความหมาย และเมื่อใดที่เรามีกระแสของพลังในจิตชนิดนี้ มันจะเป็นพลังที่ทรงคุณค่าและผลักดันเราไปสู่ความสำเร็จได้ทุกอย่าง เพราะนั่นคือพลังของความรัก หรือที่เรียกว่า "เมตตา"
เมตตา มีรากศัพท์เดียวกันกับคำว่า "มิตร" ที่แปลว่า เพื่อน เป็นการแสดงความเป็นเพื่อนออกจากจิตใจ ที่เห็นว่าตัวเราเอง ไม่อยากได้รับความทุกข์อะไรเลย คนอื่น ๆ ก็เป็นแบบนั้น และเมื่อรักตัวเองได้ ก็ส่งความรู้สึกแบบเดียวกันนั้นเอง กระจายไปสู่คนรอบข้าง โดยเริ่มแรก อาจจะเป็นเพื่อน เป็นพ่อ เป็นแม่ และขยายออกไปเรื่อย ๆ จนในที่สุดแล้ว จิตใจจะไม่มีขอบเขตของความไม่รักใครอยู่เลย เรียกได้ว่า แผ่เมตตาถึงระดับอัปปนา เป็นความรักที่ไม่มีเงื่อนไข ไม่เลือกบุคคล ไม่จดจำความผิด ไม่มีข้อแม้ และไม่มีความหม่นหมองมลทิน
พลังแห่งจิตที่มีเมตตานี้เอง เป็นพลังแห่งความรักที่ยิ่งใหญ่ พ่อแม่ เมื่อมีความรักแล้ว ย่อมเสียสละเพื่อลูกได้โดยไม่คำนึงถึงความเหนื่อยยาก เพื่อนรัก คนรัก เมื่อได้เกิดมีความรัก ความห่วงใย ใส่ใจกันแล้ว ย่อมกระทำแต่ในสิ่งที่ทำให้ต่างฝ่ายต่างเจริญ ผลักดันให้กันและกันพ้นจากความทุกข์ความทรมานต่าง ๆ และแน่นอนว่ากระแสที่ยิ่งใหญ่อย่างนี้ เราสามารถจับพลังเหล่านั้น รวมเป็นหนึ่งในจิต และส่งแผ่ออกไป ให้บุคคลใดบุคคลหนึ่งได้ หรือจะแผ่ให้กับหลายบุคคลก็ได้ ผู้ที่ได้รับสัมผัสพลังนี้ จะมีอาการต่างกันไป บ้างก็จะใจเย็นลง บ้างจะหายโกรธ บ้างจะร้องไห้น้ำตาไหล ซึ่งเหตุการณ์นี้บางครั้งเกิดกับศาสนิกชนศาสนาอื่นด้วยเช่นกัน เช่นในศาสนาที่กล่าวว่าพระเจ้าทรงสอนเรื่องความรัก เมื่อทำพิธีทางศาสนาบางประการ เมื่อมีการรวมกลุ่ม สมาชิกในกลุ่มจะรับ "พลัง" ได้บางอย่างจนน้ำตาไหล และรู้สึกได้ถึงความรัก สภาวะนั้นเองเกิดจากการที่จิตของหลาย ๆ คนส่งกระแสความรักต่อกันขึ้นมา ทำให้สมาชิกในกลุ่มด้วยกัน มีใจที่อ่อนโยนลง บ้างลงไปทรุดกับพื้น น้ำตาไหล และกล่าวว่า นี่ล่ะ คือความรักของผู้สร้างศาสนานั้น ๆ ซึ่งความจริงแล้วเกิดจากกระแสของจิตมนุษย์เราในด้านดีนี่เอง
การที่บุคคลใดบุคคลหนึ่ง สามารถรวมจิตให้มีความรัก ส่งแผ่ออกไปต่อสิ่งมีชีวิต คนหรือสัตว์รอบข้างได้แล้วอย่างเป็นสมาธิ บุคคลนั้นจะพบกับความอิ่มเอิบใจ และเหมือนกับมีชีวิตในโลกนี้เป็นเหมือนเทพยดา นางฟ้า เพราะว่าคนคนนั้นจะมีแต่ความสุข ความสบายใจ คลื่นแห่งความสุขสบายใจนี้ทำให้ใครที่ได้อยู่ใกล้ก็มีความสุข ความสบายตามไปด้วย และที่สำคัญใบหน้าของคนคนนั้นจะดูสดใส สดชื่น ไม่เศร้าหมอง เพราะพลังของความรักนั้นสวยงามอยู่แล้ว ใครที่มีพลังของความรักความเมตตาอยู่ในตัวเอง คนนั้นยิ่งกว่ามีเทวดาคุ้มครอง เพราะความรักเป็นเครื่องประดับบารมี
ความเป็นจริงแล้ว ผู้ที่มีจิตเมตตาเพื่อนร่วมโลกนั้น จะเป็นยิ่งกว่าเทวดานางฟ้า เพราะพระพุทธองค์ตรัสว่า บุคคลนั้นย่อมอยู่ด้วยวิหารของพรหม โดยพรหมวิหารนั้นจะเริ่มตั้งแต่ลำดับของเมตตาเป็นต้นไป สู่กรุณา มุฑิตา และอุเบกขา ซึ่งโดยลักษณะนั้น สามารถอุปมาได้ดังนี้
เวลาที่เราเห็นคนที่เรารัก เราก็อยากให้เขามีความสุข หรือแม่ ที่หวังให้ลูกมีความสุข อยากให้ลูกกินอยู่หลับสบายนี้คือเมตตา หวังจะให้เขามีความสุข
เมื่อเห็นคนที่เรารักมีความทุกข์ เราก็คิดสงสารและหวังจะให้เขาหมดสิ้นเรื่องทุกข์นั้นๆ หรือผู้เป็นแม่ หวังให้ลูกอย่าได้มีความทุกข์เรื่องใดๆ เห็นลูกไม่สบายกายไม่สบายใจแล้วเกิดความสงสารลูกนี้เป็นกรุณา
เมื่อเห็นคนที่เรารักมีความสุขมีความเจริญ ได้รับสิ่งดีๆ อย่างใดอย่างหนึ่ง เราก็รู้สึกพลอยดีใจตามไปด้วยกับความสุขความเจริญของเขา หรือพ่อแม่ที่เห็นลูกรับปริญญา เห็นลูกได้งานทำ หรือมีความเจริญอย่างใดอย่างหนึ่งแล้วรู้สึกปลาบปลื้มกับความสุขของลูก นี้คือมุฑิตา ความพลอยยินดี
เมื่อลูกทำการงานได้แล้ว มีครอบครัว พ่อแม่ก็หมดกังวลห่วงใย ไม่ทำอะไร วางเฉย เพราะใจรู้ว่าบุคคลนั้นพ้นจากวิสัยของความพยายาม กล่าวคือ เรารู้แล้วว่าเราไม่สามารถสร้างสุขหรือสร้างทุกข์ให้ใครได้ คนเราจะได้สุขหรือเป็นทุกข์นั่นก็เพราะตัวของเขาเอง ไม่ต้องคิดดีให้เขาได้ดี ไม่ต้องคิดร้ายให้เขาได้ร้าย เขาจะดีจะร้าย จะสุขจะทุกข์ก็เพราะกรรมของเขาเอง แล้วปล่อยจิตจากการชอบการชัง นี้เป็นอุเบกขา
นี้เรียกว่าพรหมวิหารมี 4 ข้อ
พรหมวิหารทั้ง 4 นี้นั้น ไม่ใช่เป็นเพียงอาการคิดต่อผู้ใดผู้หนึ่งเท่านั้น แต่สามารถนำมาใช้เพื่อเสริมกำลังทางจิตให้เข้มแข็งขึ้น และรับอานิสงส์ที่มากขึ้น โดยนำมาแผ่ออก การแผ่นี้ เป็นการโน้มจิตให้คิดถึงสัตว์หรือบุคคล ใครสักคน แล้วแผ่ หรือกระจายความรู้สึก ความคิดออกไป เช่น
คนนั่งข้างๆ เรา เราแผ่ไปว่า "ขอให้เขาอย่าได้เจอเรื่องไม่ดีเลย" แล้วเพ่งจิตเข้าไปถึงใจเขา ในการเพ่งจิต หากจิตมีกำลังมากพอ ก็จะสามารถทำให้ผู้ถูกแผ่ได้รับรู้ได้
~ กรณีตัวอย่างในสมัยพุทธกาล ~
ครั้งหนึ่งเหล่าญาติของราชวงศ์มัลละ ได้ตั้งกติกาในเวลาที่พระพุทธเจ้าจะทรงเสด็จมาว่า หากพระญาติเหล่าใด ไม่จัดการต้อนรับเสด็จพระพุทธเจ้า จะต้องถูกปรับ กษัตริย์พระองค์หนึ่ง นามว่า โรชะมัลละกษัตริย์ ก็ได้ทำการต้อนรับเสด็จพระพุทธเจ้าเป็นอย่างดี แต่เมื่อพระอานนท์ถามแล้ว กษัตริย์นั้นตอบว่า ที่จัดเตรียมการต้อนรับพระพุทธองค์ไม่ใช่เพราะอะไรหรอก แต่เป็นเพราะไม่อยากโดนปรับเงิน
พระอานนท์ท่านทราบอย่างนั้นท่านจึงคิดว่า ควรจะให้กษัตริย์นี้เกิดความเลื่อมใสพระศาสดา จึงได้นำกษัตริย์นั้นไปพบพระศาสดา พระพุทธเจ้าทรงใช้พลังจิตแผ่ออกไปทำให้เขาเกิดความรักได้ในทันที โดยมีเรื่องราวจากข้อความในพระไตรปิฎก ดังนี้
พระอานนท์ทูลพระพุทธเจ้าว่า
"ขอประทานพระวโรกาส ขอพระองค์ทรงกรุณาโปรดบันดาลให้โรชะมัลลกษัตริย์เลื่อมใสในพระธรรมวินัยนี้ด้วยเถิด พระพุทธเจ้าข้า.
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
"ดูกรอานนท์ การที่จะบันดาลให้โรชะมัลลกษัตริย์เลื่อมใสในพระธรรมวินัยนี้นั้น ตถาคตทำได้ไม่ยากเลย"
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงแผ่เมตตาจิตไปยังโรชะมัลลกษัตริย์ แล้วทรงลุกจากที่ประทับเสด็จเข้าพระวิหาร
ครั้นโรชะมัลลกษัตริย์ อันพระเมตตาจิตของพระผู้มีพระภาคถูกต้องแล้วได้เที่ยวค้นหาตามวิหาร ตามบริเวณทั่วทุกแห่ง ดุจโคแม่ลูกอ่อน แล้วตรัสถามภิกษุทั้งหลายว่าท่านเจ้าข้า เวลานี้ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ประทับอยู่ที่ไหนเพราะข้าพเจ้าใคร่จะเฝ้าพระองค์.
หรือแม้แต่ครั้งหนึ่ง พระเทวฑัตได้ช้างนาฬาคีรี เพื่อให้มุ่งเข้าทำร้ายพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าทรงแผ่เมตตาจิตไปยังช้างนั้น ช้างนั้นกลับได้สติ เกิดความรักใคร่ และซบศีรษะลง ณ พระพุทธบาท แล้วพ่นทรายใส่กระหม่อมตัวเองเป็นการขอขมาพระพุทธเจ้า เหล่านี้ เป็นตัวอย่างของอานุภาพเมตตา
ตัวอย่างที่เราสามารถรับรู้ได้ในชีวิตประจำวันของเรา เช่น ในบางครั้ง เราคุยกับผู้ใหญ่ ที่ท่านเอ็นดูเรา เราจะรู้สึกอิ่มใจ เย็นใจ เพราะรับกระแสที่อบอุ่นจากท่านได้ เป็นต้น นี้เป็นตัวอย่างพื้นฐานของการที่บุคคลรับกระแสนี้ได้
การอธิษฐาน หรือแผ่พลังออกไปเพื่อปกป้องรักษาใครคนนึง พลังนั้น สามารถบำบัดทุกข์ภัยของบุคคลนั้นได้จริง และตัวผู้แผ่ ก็ได้รับเกราะป้องกันอย่างดี จากพลังบริสุทธิ์ที่เรียกว่าความรักนั
พระพุทธองค์ตรัสว่า เมตตาธรรม ค้ำจุนโลก
และความรักนี่เอง ที่จะรักษาโลก