ปกิณกะชีวิต; เส้นทางลูกสาวของแม่สู่แม่ของลูกสาว

ย้อนไปเมื่อปี1999ข้าพเจ้าอายุ20กลางๆกับภาระลูกเล็กๆสองคน กับสภาพเศรษฐกิจที่ง่อนแง่นเต็มประดาทำให้ต้อง
คิดอ่านหาทางขยับขยาย งานที่ทำอยู่กับบริษัทขื่อดังแต่ตำแหน่งพนักงานธรรมดาคนหนึ่งรายได้หักรายจ่ายแล้วแทบไม่มีเก็บ
ถ้าลูกต้องเข้าสู่วัยเรียนหล่ะ พ่อแม่ที่เริ่มแก่ตัวลงทุกวัน เคยถามตัวเองมัวแต่ทำงานงกๆจะได้มีโอกาสตอบแทนพระคุณท่าน
ที่ไม่ใช่แค่เลี้ยงตัวเองแต่ยังต้องช่วยเลี้ยงหลานบ้างไหมหนอ

ความคิดความหวังประเดประดังเข้ามาจนว้าวุ่นและกลายเป็นคนหมกหมุ่นในสายตาของคนรอบข้างไปเสียแล้ว
วันๆคิดแต่จะทำอย่างไรให้ชีวิตทุกชีวิตดีขึ้น และดีขึ้นในเร็ววันที่สุด หลายครั้งต่อหลายหนมีคนถามทำไมไม่หาผู้ชายสักคนมาแบ่งเบาภาระ
ด้ยินแล้วก็ได้แต่ก้มหน้าคิดในใจคนเดียว ยากดีมีจนขอยืนหยัดต่อสู้ด้วยสองมือสองเท้า ไม่เคยคิดหวังพึ่งใคร
เคยโดนถามตรงๆข้าพเจ้าคนฟังอดหน้าชาไม่ได้...ทำงานกับฝรั่ง รูปร่างหน้าตาก็เป็นที่นิยม
ทำไมไม่หาสามีฝรั่งมาช่วยเลี้ยงลูก เลี้ยงพ่อแม่สักคน... ถ้าชาตินี้มันจะจนตายเพราะไม่มีคนมาช่วยเลี้ยงลูกเลี้ยงพ่อแม่
ก็ขอตายมันแบบจนๆนี่หล่ะ

พื้นฐานครอบครัวที่หัวโบราณมาก ยังจำได้ไม่ลืมตอนที่ไปลาแม่บอกว่าจะไปทำงานเป็นเมืองพัทยา แม่ร้องไห้ตีโพยตีพาย
ต่อไปนี้ชาวบ้านร้านตลาดคงได้นินทาหัวบ้านท้ายบ้านได้ว่า คนบ้านนี้ไม่มีปัญญาเลี้ยงลูกเลี้ยงหลานแม่มันต้องไปทำงาน ณ
สถานที่นั้น ต้องนั่งอธิบายกันเป็นวันๆกว่าแม่จะยอม

ช่วงทำงานนี้เทียวขึ้นๆล่องๆกลับบ้านไปหาลูกทุกครั้งที่มีโอกาส กลับไปแทบจะทุกเดือน ได้ไปเห็นหน้าแค่ไม่กี่ชั่วโมงก็เอา
เดินทางกลางคืน เช้าถึงบ้านได้อุ้มได้กอดกล่อมลูกให้หลับแล้วก็ต้องรีบเตรียมตัวเดินทางกลับ อาศัยนอนพักบนรถโดยสาร
ทำอยู่อย่างนั้นเป็นปีๆถ้าแม่คนใดไม่เคยต้องห่างลูกคงไม่เข้าใจถึงความทรมานนี้ ข้าพเจ้าจำใจทิ้งลูกที่เพิ่งแบเบาะเพื่อไปทำงาน
ต่างถิ่นแต่หาเวลากลับมาหาลูกทุกเดือน ได้มาเห็นหน้าแค่4-5ชั่วโมงก็ยังดี เที่ยวขึ้นๆล่องๆอยู่อย่างนั้นจนเป็นที่รู้จักคุ้นเคยกับ
พนักงานบริษัทรถประจำทางทำงานเก็บเงินทุกสตางค์อดออมใว้ให้ลูก ตัวเองซ่อมซ่อมอซออย่างไรก็อย่างนั้นไม่เคยเปลี่ยน
เก็บออมค่าค่าเครื่องประดับไปเป็นค่าเทอมของลูกและส่งให้ลูกเรียนโรงเรียนที่ดีที่สุดเท่าที่จะหาได้ในพื้นที่นั้นๆ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่