10
ตะเกียงกับกาลิเลโอ
“พวกเราอย่างกับเป็นโจรขโมยเลย”
อชิว่าขณะก้าวเท้าเข้ามาหาคาวานซึ่งกำลังตักน้ำจากถังไม้ขึ้นมาดื่มได้อย่างหน้าตาเฉยๆ ทั้งๆ ที่เจ้าของบ้านทุกคนล้วนแต่อยู่ในสภาพหลับใหลไม่ได้สติ เด็กสาวกวาดตามองไปรอบบ้านของธีมาที่ในยามนี้ดูเงียบเหงาวังเวงอย่างผิดปกติ ก่อนจะตัดสินใจนั่งลงบนชุดเก้าอี้ พร้อมกับที่ ขอโทษขอโพยเพื่อนของเธออยู่ในใจที่มาถือวิสาสะใช้เครื่องเรือนในบ้านหลังนี้โดยที่เจ้าของไม่ทันอนุญาต
“ไม่ได้จะเอาอะไรไปสักหน่อย”
คาวานพูดพร้อมกับเดินถือแก้วน้ำมานั่งตรงฝั่งตรงข้าม
“คุณทำยังไงให้ยายธีมาสลบไปอย่างนั้น อีกนานไหมกว่าจะฟื้น”
ไม่ทันที่ชายหนุ่มจะได้นั่งติดเก้าอี้ดี เด็กสาวก็เริ่มต้นยิงคำถามใส่อย่างไม่เกรงใจ มีหลายเรื่องมากมายที่อชิรู้สึกติดใจสงสัย ทั้งยังกระหายอยากได้คำตอบ มากเสียจนเธอรู้สึกได้ถึงหัวใจของตัวเองที่กำลังเต้นรัวอยู่ในขณะนี้
“ยาสลบแบบสเปรย์” เขาตอบพร้อมกับโยนของไปให้อชิเสียจะได้หมดเรื่อง “อย่าเผลอฉีดใส่ตัวเองล่ะ ของฉันแรงนะ ทีเดียวจอด”
เด็กสาวที่กำลังตั้งท่าจะสำรวจของเล่นใหม่อย่างสนอกสนใจ ถึงกับแทบจะโยนของในมือทิ้งราวกับต้องของร้อน แต่ถึงอย่างนั้นความสนอกสนใจก็ยังคงเดิมไม่ได้ลดหายไปไหน เพียงแต่รู้จักระมัดระวังมากขึ้น เพราะเห็นท่าว่าคาวานจะพูดจริงไม่ได้ขู่เล่น เธอเองก็ไม่นึกสนุกอยากจะสลบเหมือดหรอก
อชิตั้งหน้าตั้งตาพิจารนายาสลบแบบสเปรย์อย่างเพลิดเพลินจนกระทั่งนึกถึงความตั้งใจของตัวเองขึ้นมาได้ เธอละสายตาจากของในมือขึ้นมองคาวานอย่างขุ่นเคือง ก่อนจะรีบทำท่าส่งคืนให้
“เก็บไว้สิ ฉันให้”
เด็กสาวตาโต ทำท่าลังเล มือที่ทำท่าจะส่งของกลับคืนให้แก่เจ้าของเริ่มค้างอยู่นานเสียจนกล้ามเนื้อแขนเริ่มล้า สุดท้ายแล้วอชิก็เก็บสเปรย์เข้ากระเป๋ากางเกงของตนอย่างงุนงง ทว่าเบิกบาน
“แล้วธีมาจะเป็นอะไรมั้ยคะ คุณช่วยอธิบายเกี่ยวกับอาการหลงผิดให้ฟังหน่อยสิ”
คาวานถอดถอนใจ
“เดาว่าหนังสือในห้องสมุดคงไม่มีเขียนถึง?” ชายหนุ่มกลอกตาอย่างระอา ก่อนจะเปลี่ยนสายตาเฉียบคมมาที่อชิ “เป็นโรคที่แฝงอยู่ในระดับดีเอ็นเอ ติดตัวมากับมนุษย์โลกใหม่ทุกคนอย่างไม่มีข้อยกเว้น ทางรัฐบาล…ทางผู้คุมกฏของเธอพยายามเร่งแก้ไขปัญหานี้อยู่ จึงพยายามปิดเรื่องนี้ไว้ไม่ให้ประชากรแต่ละเขตตื่นตระหนก มิฉะนั้นจะยิ่งกระตุ้นอาการ ผู้ป่วยจะมีอาการหลงผิดจนถึงขั้นก่ออาชญากรรม….สุดท้ายพบจุดจบด้วยการถูกกำจัด”
เด็กสาวตะกละตะกรามซึมซับคำพูดของคาวานเข้าไปราวกับทรายที่ต้องการน้ำ พลันราวกับสมองของเธอได้ถูกเปิดออก เธอรู้สึกเพียงร่างกายที่แข็งชานั่งติดอยู่กับเก้าอี้ ความหวาดกลัวจู่โจมเข้ามาอย่างที่เธอไม่อาจปิดกั้น
“แล้วพี่ชายของธีมา…”
“ก็ยังไม่รู้สิ” คาวานส่ายหน้า
“แต่พวกเขาไม่ควรปิดบังเรื่องนี้!” อชิเผลอตัวขึ้นเสียงสูง ก่อนที่เธอจะมีท่าทีลังเล “…ไม่ใช่หรือคะ?”
แววตากลมโตจ้องมองที่บุรุษประหลาดผู้อยู่ตรงหน้าด้วยความรู้สึกอันยากจะอธิบาย ยิ่งในยามที่คาวานจ้องมองมาที่เธอด้วยสายตาอ่อนละมุนยิ่ง
“ถ้าเป็นไปได้ฉันก็อยากจะแก้ไขเรื่องพรรค์นี้ให้สำเร็จ”
“ยังไงคะ เปิดโปงเรื่องอาการหลงผิด หรือช่วยเอาโรคร้ายนี้ออกไปจากมนุษย์โลกใหม่”
อีกครั้งที่คาวานถอดถอนหายใจ
“เกรงว่ายากจะทำให้เป็นไปได้ทั้งสองทาง….”
เงียบกันกันไปครู่หนึ่ง ก่อนที่คาวานจะเริ่มต้นบทสนทนาขึ้นมาอีกครั้ง
“ธีมามีอุปนิสัยอย่างไรบ้าง เธอคาดเดาเอาไว้ยังไงว่าธีมาจะทำอะไรต่อไปกับเรื่องของพี่ชายเขา”
“นิสัยของธีมาน่ะหรือ…?” เด็กสาวเอียงคอคิด “เธอเป็นคนร่าเริงมาก แล้วก็อัธยาสัยดี ดูเหมือนมีความเป็นผู้นำ และเป็นผู้ใหญ่กว่าคนอื่นๆ ก็จริง แต่เอาจริงๆ แล้วใจร้อน บางครั้งก็ชอบตำหนิคนอื่น แต่ใจจริงแล้วไม่มีเจตนาร้าย ถ้าคนที่ไม่สนิทจะคิดว่าเธอหยิ่ง แล้วก็จริงจังเกินไป”
หลังจากที่เด็กสาวตอบคำถามเสร็จไปข้อหนึ่ง เธอก็เริ่มต้นครุ่นคิดเกี่ยวกับคำถามข้อต่อไปซึ่งเธอไม่เคยนึกถึงอย่างจริงจังมาก่อน คือได้แต่วิตกกังวลว่า ทำยังไงดี? ธีมาจะเป็นอะไรมากไหม? แต่ไม่เคยคาดเดามาก่อนว่าธีมาจะตัดสินใจทำอย่างไรต่อไป อชิเพียงแต่คิดเอาไว้แค่ว่าจะลองถามธีมาดูว่าเธอจะทำยังไงต่อไปเมื่อตื่น
ทว่าคาวานผู้ต้องการคำตอบ กลับถามอีกคำถามขึ้นมาขัด
“แล้วเธอล่ะ เป็นคนยังไง”
“ก็…ธรรมดาๆ เข้ากับคนง่าย”
“คำตอบแบบนี้ฉันไม่ต้องถามจากเธอก็ได้มั้ง เอาคำตอบแบบที่เธอเห็นตัวเองจากข้างในสิ”
น้ำเสียงที่ราบเรียบอันแฝงไปด้วยคำตำหนิของบุรุษตรงหน้ามีผลกระทบต่ออชิอย่างประหลาด เด็กสาวรู้สึกราวกับถูกทำให้งงงันด้วยคำพูดที่คล้ายจะเรียบง่าย หากแต่เธอไม่เคยเจอใครที่บอกให้เธอมองตัวเองในส่วนที่อยู่ลึกลงไปเลย…แม้แต่ครั้งเดียว
“เห็นตัวเองจากข้างใน…”
เด็กสาวพึมพำราวกับละเมอ
“ตัวตนของเธอ…ที่อยู่ลึกลงไป”
อชิรู้สึกขลาดเขลาที่จะสบสายตากับคาวานที่มองตรงมาอย่างเฉียบคม หากแต่ดวงตาคู่นั้นก็ดูราวกับมีพลังอำนาจบางอย่างตรึงเธอเอาไว้ให้ไม่อาจละสายตาไปได้ แม้ว่าด้วยสายตาคู่นั้นจะขุดค้นภายในของเธออยู่ก็ตาม
เด็กสาวตกอยู่ในสภาวะที่ต้องอึดอัดใจอยู่นาน…ก่อนที่ทุกอย่างจะถูกปลดปล่อยออกมาอย่างที่ตัวเธอเองยังต้องตกใจ
“ฉันอยากรู้ มีแต่เรื่องที่ฉันอยากรู้เต็มไปหมด ฉันอยากถาม อยากแสดงความรู้สึก อยากได้อิสระ ฉันไม่อยากเป็นเด็กดีที่ได้แต่หวาดกลัวว่าตัวเองจะแตกต่างจากคนอื่น ฉันเกลียดคำตอบที่บอกว่า เพราะว่ามันเป็นกฎ ฉันถึงต้องทำ บางครั้งฉันก็เกลียดความสงบที่ฉันมองเห็นด้วยตา แต่ผิดกับความรู้สึกที่ฉันไม่สามารถพูดออกไปได้ว่ามันน่ากลัวแค่ไหน”
“ฉัน…ฉันคิดว่าตัวเองอยากรู้อยากเห็นจนผิดปกติ มีความสงสัยมากเกินไป ฉันเกลียดในสิ่งที่ทุกคนบอกว่าดี บอกว่าถูกต้องอย่างกฎ ฉันเกลียดทุกอย่างที่ห้ามไม่ให้ฉันตั้งคำถาม”
อชิยกมือขึ้นมาแตะริมฝีปากของตัวเองอย่างตกตะลึง
เธอ…พูดมันออกไปแล้ว
“ขอโทษ…คงไม่ใช่คำตอบที่ถูกต้อง คุณไม่ได้ถาม…ว่าฉันเกลียดอะไร” เด็กสาวกระซิบแผ่ว หลุบตาลงต่ำ
“เป็นคำตอบที่ดีมากสำหรับฉัน…ชวาลา”
อชิสบตากับคาวานอีกครั้ง เห็นสายตาที่อีกฝ่ายทอดมองมาอย่างอ่อนโยน เปี่ยมไปด้วยความเอ็นดูอย่างเหลือล้นอย่างที่เธอไม่เคยได้เห็นใครอื่นนอกเสียจากพ่อของเธอที่เคยมองมาด้วยสายตาเช่นเดียวกันนี้ ยามที่เธอเคยให้คำมั่นว่าจะโตขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่ที่ไม่หลงลืมความอ่อนโยนตลอดไป
กับอีกครั้งหนึ่ง…ทว่าเลือนลางในความทรงจำ
“คุณล่ะคะ” อชิหลุดปากถามออกไป “คุณเป็นยังไง”
“ฉันไม่อยากพูด” เด็กสาวขมวดคิ้วทันที คาวานจ้องมองเธอด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง ก่อนจะขยายความซื่อๆ “อายที่จะพูด เข้าใจไหม”
“จะมีวันที่คุณอยากพูดไหม”
“อาจจะ”
เด็กสาวพยักหน้า เธอพอใจกับคำตอบแค่นี้แหละ สำหรับคาวานเท่านี้ก็ถือว่าใช้ได้แล้ว อชิคิดอย่างนี้
“ฉันจะบอกอะไรให้” คาวานเอ่ย เรียกความสนใจของเด็กสาวเพิ่มมาอีก “ความอยากรู้ไม่ใช่สิ่งที่ผิดเลยอชิ มนุษย์ควรที่จะตั้งคำถามกับสิ่งต่างๆ เพราะความไม่ยอมอยู่กับที่คือสิ่งที่ทำให้โลกเคลื่อนไปข้างหน้า”
อชิเพียงนิ่งฟังอย่างสงบ หัวใจเต้นแรง รู้สึกได้ถึงปลายประสาทที่กำลังเปิดรับ และบางอย่างที่อยู่ในหัวของเธอซึ่งกำลังวิ่งวุ่นทำงานเพื่อผูกโยงอย่างเต็มที่
“นักวิทยาศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งของโลกเก่าจ้องมองการแกว่งของตะเกียงแขวนแล้วก็เริ่มต้นตั้งคำถามเกี่ยวกับมัน และเพราะการตั้งคำถามของเขาในครั้งนั้น แพทย์ในยุคที่ยากจะหานาฬิกาจึงสามารถวัดชีพจรของคนไข้ได้ด้วยลูกตุ้มที่เขาประดิษฐ์ขึ้นเพื่อใช้วัดชีพจร”
“เธอเห็นทุกสิ่งที่เธอมีในตอนนี้ไหม เกิดจากความอยากรู้อยากเห็นของคนสมัยก่อนทั้งนั้น แค่เราต้องรู้จักใช้มันอย่างถูกที่ถูกทาง”
คาวานยกแก้วน้ำขึ้นจิบ สายตาเหลือบมองดวงตากลมโตของอชิ
“เขาคือใครกันคะ”
เด็กสาวไม่แม้กระทั่งรู้สึกตัวยามที่คำถามนั้นหลุดออกไปจากริมฝีปาก เธอรับรู้ได้เพียงหัวใจของตัวเองที่กำลังเต้นเป็นจังหวะแรง
“ชื่อกาลิเลโอ กาลิเลอิ”
คาวานตอบเสียงเรียบ เด็กสาวมีสีหน้าพิลึก
ชวาลา ตอนที่ ๑๐ ตะเกียงกับกาลิเลโอ
ตะเกียงกับกาลิเลโอ
“พวกเราอย่างกับเป็นโจรขโมยเลย”
อชิว่าขณะก้าวเท้าเข้ามาหาคาวานซึ่งกำลังตักน้ำจากถังไม้ขึ้นมาดื่มได้อย่างหน้าตาเฉยๆ ทั้งๆ ที่เจ้าของบ้านทุกคนล้วนแต่อยู่ในสภาพหลับใหลไม่ได้สติ เด็กสาวกวาดตามองไปรอบบ้านของธีมาที่ในยามนี้ดูเงียบเหงาวังเวงอย่างผิดปกติ ก่อนจะตัดสินใจนั่งลงบนชุดเก้าอี้ พร้อมกับที่ ขอโทษขอโพยเพื่อนของเธออยู่ในใจที่มาถือวิสาสะใช้เครื่องเรือนในบ้านหลังนี้โดยที่เจ้าของไม่ทันอนุญาต
“ไม่ได้จะเอาอะไรไปสักหน่อย”
คาวานพูดพร้อมกับเดินถือแก้วน้ำมานั่งตรงฝั่งตรงข้าม
“คุณทำยังไงให้ยายธีมาสลบไปอย่างนั้น อีกนานไหมกว่าจะฟื้น”
ไม่ทันที่ชายหนุ่มจะได้นั่งติดเก้าอี้ดี เด็กสาวก็เริ่มต้นยิงคำถามใส่อย่างไม่เกรงใจ มีหลายเรื่องมากมายที่อชิรู้สึกติดใจสงสัย ทั้งยังกระหายอยากได้คำตอบ มากเสียจนเธอรู้สึกได้ถึงหัวใจของตัวเองที่กำลังเต้นรัวอยู่ในขณะนี้
“ยาสลบแบบสเปรย์” เขาตอบพร้อมกับโยนของไปให้อชิเสียจะได้หมดเรื่อง “อย่าเผลอฉีดใส่ตัวเองล่ะ ของฉันแรงนะ ทีเดียวจอด”
เด็กสาวที่กำลังตั้งท่าจะสำรวจของเล่นใหม่อย่างสนอกสนใจ ถึงกับแทบจะโยนของในมือทิ้งราวกับต้องของร้อน แต่ถึงอย่างนั้นความสนอกสนใจก็ยังคงเดิมไม่ได้ลดหายไปไหน เพียงแต่รู้จักระมัดระวังมากขึ้น เพราะเห็นท่าว่าคาวานจะพูดจริงไม่ได้ขู่เล่น เธอเองก็ไม่นึกสนุกอยากจะสลบเหมือดหรอก
อชิตั้งหน้าตั้งตาพิจารนายาสลบแบบสเปรย์อย่างเพลิดเพลินจนกระทั่งนึกถึงความตั้งใจของตัวเองขึ้นมาได้ เธอละสายตาจากของในมือขึ้นมองคาวานอย่างขุ่นเคือง ก่อนจะรีบทำท่าส่งคืนให้
“เก็บไว้สิ ฉันให้”
เด็กสาวตาโต ทำท่าลังเล มือที่ทำท่าจะส่งของกลับคืนให้แก่เจ้าของเริ่มค้างอยู่นานเสียจนกล้ามเนื้อแขนเริ่มล้า สุดท้ายแล้วอชิก็เก็บสเปรย์เข้ากระเป๋ากางเกงของตนอย่างงุนงง ทว่าเบิกบาน
“แล้วธีมาจะเป็นอะไรมั้ยคะ คุณช่วยอธิบายเกี่ยวกับอาการหลงผิดให้ฟังหน่อยสิ”
คาวานถอดถอนใจ
“เดาว่าหนังสือในห้องสมุดคงไม่มีเขียนถึง?” ชายหนุ่มกลอกตาอย่างระอา ก่อนจะเปลี่ยนสายตาเฉียบคมมาที่อชิ “เป็นโรคที่แฝงอยู่ในระดับดีเอ็นเอ ติดตัวมากับมนุษย์โลกใหม่ทุกคนอย่างไม่มีข้อยกเว้น ทางรัฐบาล…ทางผู้คุมกฏของเธอพยายามเร่งแก้ไขปัญหานี้อยู่ จึงพยายามปิดเรื่องนี้ไว้ไม่ให้ประชากรแต่ละเขตตื่นตระหนก มิฉะนั้นจะยิ่งกระตุ้นอาการ ผู้ป่วยจะมีอาการหลงผิดจนถึงขั้นก่ออาชญากรรม….สุดท้ายพบจุดจบด้วยการถูกกำจัด”
เด็กสาวตะกละตะกรามซึมซับคำพูดของคาวานเข้าไปราวกับทรายที่ต้องการน้ำ พลันราวกับสมองของเธอได้ถูกเปิดออก เธอรู้สึกเพียงร่างกายที่แข็งชานั่งติดอยู่กับเก้าอี้ ความหวาดกลัวจู่โจมเข้ามาอย่างที่เธอไม่อาจปิดกั้น
“แล้วพี่ชายของธีมา…”
“ก็ยังไม่รู้สิ” คาวานส่ายหน้า
“แต่พวกเขาไม่ควรปิดบังเรื่องนี้!” อชิเผลอตัวขึ้นเสียงสูง ก่อนที่เธอจะมีท่าทีลังเล “…ไม่ใช่หรือคะ?”
แววตากลมโตจ้องมองที่บุรุษประหลาดผู้อยู่ตรงหน้าด้วยความรู้สึกอันยากจะอธิบาย ยิ่งในยามที่คาวานจ้องมองมาที่เธอด้วยสายตาอ่อนละมุนยิ่ง
“ถ้าเป็นไปได้ฉันก็อยากจะแก้ไขเรื่องพรรค์นี้ให้สำเร็จ”
“ยังไงคะ เปิดโปงเรื่องอาการหลงผิด หรือช่วยเอาโรคร้ายนี้ออกไปจากมนุษย์โลกใหม่”
อีกครั้งที่คาวานถอดถอนหายใจ
“เกรงว่ายากจะทำให้เป็นไปได้ทั้งสองทาง….”
เงียบกันกันไปครู่หนึ่ง ก่อนที่คาวานจะเริ่มต้นบทสนทนาขึ้นมาอีกครั้ง
“ธีมามีอุปนิสัยอย่างไรบ้าง เธอคาดเดาเอาไว้ยังไงว่าธีมาจะทำอะไรต่อไปกับเรื่องของพี่ชายเขา”
“นิสัยของธีมาน่ะหรือ…?” เด็กสาวเอียงคอคิด “เธอเป็นคนร่าเริงมาก แล้วก็อัธยาสัยดี ดูเหมือนมีความเป็นผู้นำ และเป็นผู้ใหญ่กว่าคนอื่นๆ ก็จริง แต่เอาจริงๆ แล้วใจร้อน บางครั้งก็ชอบตำหนิคนอื่น แต่ใจจริงแล้วไม่มีเจตนาร้าย ถ้าคนที่ไม่สนิทจะคิดว่าเธอหยิ่ง แล้วก็จริงจังเกินไป”
หลังจากที่เด็กสาวตอบคำถามเสร็จไปข้อหนึ่ง เธอก็เริ่มต้นครุ่นคิดเกี่ยวกับคำถามข้อต่อไปซึ่งเธอไม่เคยนึกถึงอย่างจริงจังมาก่อน คือได้แต่วิตกกังวลว่า ทำยังไงดี? ธีมาจะเป็นอะไรมากไหม? แต่ไม่เคยคาดเดามาก่อนว่าธีมาจะตัดสินใจทำอย่างไรต่อไป อชิเพียงแต่คิดเอาไว้แค่ว่าจะลองถามธีมาดูว่าเธอจะทำยังไงต่อไปเมื่อตื่น
ทว่าคาวานผู้ต้องการคำตอบ กลับถามอีกคำถามขึ้นมาขัด
“แล้วเธอล่ะ เป็นคนยังไง”
“ก็…ธรรมดาๆ เข้ากับคนง่าย”
“คำตอบแบบนี้ฉันไม่ต้องถามจากเธอก็ได้มั้ง เอาคำตอบแบบที่เธอเห็นตัวเองจากข้างในสิ”
น้ำเสียงที่ราบเรียบอันแฝงไปด้วยคำตำหนิของบุรุษตรงหน้ามีผลกระทบต่ออชิอย่างประหลาด เด็กสาวรู้สึกราวกับถูกทำให้งงงันด้วยคำพูดที่คล้ายจะเรียบง่าย หากแต่เธอไม่เคยเจอใครที่บอกให้เธอมองตัวเองในส่วนที่อยู่ลึกลงไปเลย…แม้แต่ครั้งเดียว
“เห็นตัวเองจากข้างใน…”
เด็กสาวพึมพำราวกับละเมอ
“ตัวตนของเธอ…ที่อยู่ลึกลงไป”
อชิรู้สึกขลาดเขลาที่จะสบสายตากับคาวานที่มองตรงมาอย่างเฉียบคม หากแต่ดวงตาคู่นั้นก็ดูราวกับมีพลังอำนาจบางอย่างตรึงเธอเอาไว้ให้ไม่อาจละสายตาไปได้ แม้ว่าด้วยสายตาคู่นั้นจะขุดค้นภายในของเธออยู่ก็ตาม
เด็กสาวตกอยู่ในสภาวะที่ต้องอึดอัดใจอยู่นาน…ก่อนที่ทุกอย่างจะถูกปลดปล่อยออกมาอย่างที่ตัวเธอเองยังต้องตกใจ
“ฉันอยากรู้ มีแต่เรื่องที่ฉันอยากรู้เต็มไปหมด ฉันอยากถาม อยากแสดงความรู้สึก อยากได้อิสระ ฉันไม่อยากเป็นเด็กดีที่ได้แต่หวาดกลัวว่าตัวเองจะแตกต่างจากคนอื่น ฉันเกลียดคำตอบที่บอกว่า เพราะว่ามันเป็นกฎ ฉันถึงต้องทำ บางครั้งฉันก็เกลียดความสงบที่ฉันมองเห็นด้วยตา แต่ผิดกับความรู้สึกที่ฉันไม่สามารถพูดออกไปได้ว่ามันน่ากลัวแค่ไหน”
“ฉัน…ฉันคิดว่าตัวเองอยากรู้อยากเห็นจนผิดปกติ มีความสงสัยมากเกินไป ฉันเกลียดในสิ่งที่ทุกคนบอกว่าดี บอกว่าถูกต้องอย่างกฎ ฉันเกลียดทุกอย่างที่ห้ามไม่ให้ฉันตั้งคำถาม”
อชิยกมือขึ้นมาแตะริมฝีปากของตัวเองอย่างตกตะลึง
เธอ…พูดมันออกไปแล้ว
“ขอโทษ…คงไม่ใช่คำตอบที่ถูกต้อง คุณไม่ได้ถาม…ว่าฉันเกลียดอะไร” เด็กสาวกระซิบแผ่ว หลุบตาลงต่ำ
“เป็นคำตอบที่ดีมากสำหรับฉัน…ชวาลา”
อชิสบตากับคาวานอีกครั้ง เห็นสายตาที่อีกฝ่ายทอดมองมาอย่างอ่อนโยน เปี่ยมไปด้วยความเอ็นดูอย่างเหลือล้นอย่างที่เธอไม่เคยได้เห็นใครอื่นนอกเสียจากพ่อของเธอที่เคยมองมาด้วยสายตาเช่นเดียวกันนี้ ยามที่เธอเคยให้คำมั่นว่าจะโตขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่ที่ไม่หลงลืมความอ่อนโยนตลอดไป
กับอีกครั้งหนึ่ง…ทว่าเลือนลางในความทรงจำ
“คุณล่ะคะ” อชิหลุดปากถามออกไป “คุณเป็นยังไง”
“ฉันไม่อยากพูด” เด็กสาวขมวดคิ้วทันที คาวานจ้องมองเธอด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง ก่อนจะขยายความซื่อๆ “อายที่จะพูด เข้าใจไหม”
“จะมีวันที่คุณอยากพูดไหม”
“อาจจะ”
เด็กสาวพยักหน้า เธอพอใจกับคำตอบแค่นี้แหละ สำหรับคาวานเท่านี้ก็ถือว่าใช้ได้แล้ว อชิคิดอย่างนี้
“ฉันจะบอกอะไรให้” คาวานเอ่ย เรียกความสนใจของเด็กสาวเพิ่มมาอีก “ความอยากรู้ไม่ใช่สิ่งที่ผิดเลยอชิ มนุษย์ควรที่จะตั้งคำถามกับสิ่งต่างๆ เพราะความไม่ยอมอยู่กับที่คือสิ่งที่ทำให้โลกเคลื่อนไปข้างหน้า”
อชิเพียงนิ่งฟังอย่างสงบ หัวใจเต้นแรง รู้สึกได้ถึงปลายประสาทที่กำลังเปิดรับ และบางอย่างที่อยู่ในหัวของเธอซึ่งกำลังวิ่งวุ่นทำงานเพื่อผูกโยงอย่างเต็มที่
“นักวิทยาศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งของโลกเก่าจ้องมองการแกว่งของตะเกียงแขวนแล้วก็เริ่มต้นตั้งคำถามเกี่ยวกับมัน และเพราะการตั้งคำถามของเขาในครั้งนั้น แพทย์ในยุคที่ยากจะหานาฬิกาจึงสามารถวัดชีพจรของคนไข้ได้ด้วยลูกตุ้มที่เขาประดิษฐ์ขึ้นเพื่อใช้วัดชีพจร”
“เธอเห็นทุกสิ่งที่เธอมีในตอนนี้ไหม เกิดจากความอยากรู้อยากเห็นของคนสมัยก่อนทั้งนั้น แค่เราต้องรู้จักใช้มันอย่างถูกที่ถูกทาง”
คาวานยกแก้วน้ำขึ้นจิบ สายตาเหลือบมองดวงตากลมโตของอชิ
“เขาคือใครกันคะ”
เด็กสาวไม่แม้กระทั่งรู้สึกตัวยามที่คำถามนั้นหลุดออกไปจากริมฝีปาก เธอรับรู้ได้เพียงหัวใจของตัวเองที่กำลังเต้นเป็นจังหวะแรง
“ชื่อกาลิเลโอ กาลิเลอิ”
คาวานตอบเสียงเรียบ เด็กสาวมีสีหน้าพิลึก