เรามีประสบการณ์ที่เกิดขึ้นกับตัวเองโดยตรงค่ะเลยอยากจะมาแชร์ต่อ เผื่อจะเป็นประโยชน์ค่ะ
เรื่องก็มีอยู่ว่า เราเป็นเด็กต่างจังหวัดที่เข้ามาเรียนในกรุงเทพเมื่อถึงช่วงเทศกาลก็ต้องเดินทางกลับบ้านเพื่อไปหาครอบครัว เราจะเดินทางโดยรถทัวร์เป็นประจำค่ะ ใช้เวลานั่งรถทั้งหมดประมาณ 7-8 ชั่วโมงค่ะ ปีใหม่ปีที่แล้วเราก็เตรียมของกลับบ้านตามปกติ ไปซื้อตั๋วที่สถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพ(หมอชิต)ค่ะ ตอนที่ซื้อเราก็ไม่ได้เลือกที่นั่งเองเพราะเมื่อเราบอกจุดหมายปลายทางเรียบร้อยเจ้าหน้าที่ก็ทำการเลือกให้เป็นที่เรียบร้อยค่ะ ซึ่งเราได้ที่นั่งประมาณช่วงกลางค่อนไปทางด้านหลังของรถและที่นั่งของเราก็จะติดกับกระจกรถค่ะไม่ใช่ที่นั่งที่ติดกับทางเดินบนรถ เมื่อได้ตั๋วแล้วเราก็ขึ้นไปนั่งประจำที่ของเราโดยไม่ได้เอะใจอะไรเกี่ยวกับเรื่องคนที่จะมานั่งข้างๆเลย (วันนั้นแฟนเรามาส่งนะคะ) พอถึงเวลาที่รถออกเราก็ไม่เห็นมีคนจะขึ้นมานั่งข้างๆก็แอบดีใจเหมือนกันเพราะจะได้สะดวกดีไม่ต้องระวังอะไรมาก รถที่เรานั่งเป็นรถ ป.1 ค่ะ เพราะว่าเราซื้อตั๋วของ VIP ไม่ทันมันเต็มซะก่อน พอรถวิ่งมาถึงรังสิตก็ต้องเข้าไปรับผู้โดยสารที่สถานีนั้นซะก่อนเพราะจะมีบางคนที่สะดวกมาขึ้นรถตรงนั้นพอดี เราก็เออนั่งไปเรื่อยฟังเพลงไปตามประสาของเรา และแล้วนาทีอันน่าตื่นเต้นก็มาถึงค่ะ มีคนมานั่งข้างเราเป็นผู้ชายอายุคงจะซักประมาณ 29-35 ประมาณนี้ไม่น่าจะเกินและไม่น่าจะน้อยไปกว่านั้นค่ะ เราตกใจหน่อยๆค่ะเพราะปกติจะไม่ค่อยนั่งข้างผู้ชายอยู่แล้วแต่ก็คิดว่า อื้ม...คงไม่เป็นไรหรอกไม่มีอะไรมั้งเพราะดูจากหน้าตาของเขาแล้วก็ดูดีค่ะแต่งตัวเรียบๆไม่มีอะไรน่ากลัวซักนิดเลยค่ะ หน้าตาดูน่าเชื่อถือเลยก็ว่าได้ เราก็หันไปมองพอสบตาก็เลยยิ้มให้ตามประสาคนที่จะร่วมเดินทางด้วยกันแล้วก็หันกลับมาใส่ใจฟังเพลงต่อโดยไม่สนคนข้างๆอีกเลยค่ะ พอรถวิ่งออกมาเรื่อยๆเราก็เริ่มง่วงแล้วกำลังจะหลับเลยค่ะก็รู้สึกว่า เอ๊ะ !!!เหมือนมีคนจ้องเลยเลยหันไปมองคนข้างๆ เป็นเขาค่ะท่านผู้ชมที่นั่งมองหน้าเรา เราก็แบบตกใจเฮ้ยจะจ้องทำไมเนี่ยเค้าก็ยิ้มและหันกลับไปไม่พูดอะไร แต่บอกเลยนะคะว่าเราเป็นผู้หญิงหน้าตาบ้านๆธรรมดามากค่ะวันนั้นก็ไม่ได้แต่งตัวล่อแหลมใดๆทั้งสิ้นค่ะ ที่เราใส่เป็นเสื้อยืดสีดำลายสีขาวกับกางเกงขาสั้นซึ่งไม่ได้สั้นมากเพราะยาวลงมาจะถึงเข่าแล้วค่ะอีกไม่กี่เซนต์เอง จากนั้นเราก็นอนมาเรื่อยๆ จนถึงโคราชค่ะรถก็จอดพักที่สถานีเพื่อให้ผู้โดยสารได้ลงไปซื้อของฝาก ทานข้าว เข้าห้องน้ำซื้อของกิน ตามปกติ เราก็ด้วยความเคยชินค่ะลงจากรถเพื่อไปเข้าห้องน้ำแต่ก็ต้องขอทางออกจากผู้ชายที่นั่งข้างๆเราเพราะว่าเรารอให้เขาออกแล้วเขาไม่ออกเราเลยคิดว่าเขาจะไม่ลงเลยขอทางพอเราเดินลงจากรถเท้าเหยียบพื้นเท่านั้นล่ะค่ะ ผู้ชายคนนั้นเขาเดินตามลงมาเลย เราก็ งง สิคะ ว่าคืออะไรเพราะตอนที่รอให้ลงไม่ลงพอเราขอทางเดินลงมาถึงตามลงมา แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจอีกตามเคยค่ะเพราะคิดว่าเขาคงปวดอยากเข้าห้องน้ำพอดีหรือไม่คงหิวอะไรประมาณนี้ ก็ต่างคนต่างไปค่ะพอเสร็จธุระเราก็รีบขึ้นรถไปนั่งที่ของเรา โชคเข้าข้างค่ะผู้ชายคนนั้นยังไม่ขึ้นมา เราเลยเดินเข้าที่นั่งได้อย่างสบายไม่ต้องเบียดใครเข้า เรามานั่งได้ประมาณ 5 นาที รู้สึกหิวน้ำเลยเอาน้ำที่พนักงานบนรถแจกมากินแต่พยายามเอาหลอดเจาะฝาแก้วน้ำเท่าไหร่ก็ทำไม่ได้สุดท้ายหลอดหักค่ะ (ยอมรับค่ะว่าโง่มาก) ผู้ชายคนนั้นเขาขึ้นมาพอดีเห็นเรากำลังยุ่งวุ่นวายกับแก้วน้ำอยู่เขาเลยจับแขนเราแล้วบอกว่า มาเดี๋ยวพี่ช่วยแล้วแย่งเอาแก้วน้ำเราไปเลยค่ะ เราก็ขอบคุณแล้วรับแก้วน้ำกลับมากิน จากนนั้นเขาเริ่มถามเราแล้วค่ะว่า ชื่ออะไร ? เรียนอะไร ? เรียนอยู่ที่ไหน ? บ้านอยู่ไหน ? จะนั่งรถไปลงที่ไหน ? เราก็เอ่อแบบตอบได้เท่าที่ตอบอ่ะนะคะ บางคำตอบไม่อยากตอบเราก็เลี่ยงเพราะรู้สึกว่าถามเราเยอะไปแล้ว แล้วเราก็เงียบเป็นช่วงเวลาพอดีกับที่แฟนเราโทรเข้ามาพอดีเลยค่ะ โชคช่วยทำให้เราเลี่ยงที่จะตอบคำถามได้ ช่วงที่เราคุยโทรศัพท์เขาก้เงียบแล้วนั่งกดโทรศัพท์ของเขาไปพอเราว่าเท่านั้นล่ะค่ะ เป้าหมายหลักคือหันมาใส่ใจเราต่อ เขาก็มาบอกว่าบ้านพี่อยู่ที่....นี่นะจังหวัดเดียวกับเราแต่คนละอำเภอ เคยไปมั้ย พี่ทำงานที่.....นะ พี่จะกลับบ้านมาเอารถยนต์ลงไปขับ เราก็อ๋อค่ะๆ คุยมาเรื่อยๆรถก้ออกเดินทางต่อ ด้วยหน้าตาเขาการแต่งตัวเขามันดูน่าไว้ใจเราเลยเออก็คุยด้วยไม่ได้กังวลอะไรมากที่กังวลก็มีอย่างเดียวคือเขาถามเรื่องของเรามากไป จนรถวิ่งออกาได้ไกลพอสมควรเราก็ได้กลิ่นน้ำหอมเขาซึ่งมันฉุนมากค่ะ ฉุนจนแบบแสบจมูกเลยอ่ะ ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมเขาถึงมาฉีดทาเอาตอนนั้น ก็ไม่ได้ใส่ใจเพราะรู้สึกว่าตอนนั้นง่วงมากค่ะจะหลับให้ได้เลยก็เลยห่มผ้าห่มที่เป็นของตัวเองแล้วนอน ที่นั่งบนรถทัวร์ป.1มันจะไม่มีที่กั้นตรงกลาง(ถ้าคนเคยนั่งจะรู้) เราเริ่มรู้สึกได้ว่าผู้ชายคนนั้นเขาเริ่มขยับเข้ามาใกล้เรามากขึ้นเพราะรู้สึกแขนชนกัน ขาชนกันเลยค่ะ เราเลยขยับออกมาจนติดกับกระจกเลย ไม่จบค่ะเขาขยับตามเรามาอีกแล้วเอื้อมมือเอาผ้าห่มมาห่มให้เรา(ทั้งๆที่เขาก็ห่มอยู่นะเหมือนห่มผืนเดียวกันอ่ะ) ตกใจมากค่ะตอนนั้น แต่สิ่งที่ตกใจมากกว่าการที่เขาเอาผ้าห่มมาห่มให้เราคือตอนที่เขายื่นแขนมาห่มให้เขาเอาแขนเขาถูไปกับหน้าอกเราเลยค่ะ อึ้งค่ะ อึ้งสิคะ สตั้นไป 30 วิเลยค่ะ หลังจากนั้นไม่ถึง 2 นาทีมันเอามาห่มให้เราใหม่ค่ะ บอกว่าอากาสมันหนาว พอเราเอาออกมันก็เอาขึ้นมาใหม่อีกรอบเป็นอยู่แบบนั้นประมาณ 4 รอบได้ค่ะ เราก็พยายามมองหาพนักงานบนรถแต่ก็ไม่มีใครเดินขึ้นมา เลยเริ่มมองหาคนรอบข้างที่นั่งอยู่ใกล้ๆแต่ทุกคนหลับกันหมดที่ยังเหลือก็มีผู้ชายน่ากลัวๆคนหนึ่งอยู่เลยไม่กล้าเรียก เราก็ได้แต่นั่งที่เดิมจนรอบสุดท้ายมันเอาผ้าห่มมาห่มให้เราค่ะ เราทำอะไรไม่ได้นอกจากนั่งนิ่งมันก็เขยิบเข้ามาใกล้เรามากขึ้นอีกจนเรารู้สึกได้เลยว้าตัวเราติดกับกระจกข้างรถไม่มีที่ให้ขยับอีกแล้ว เราเลยหันไปมองหน้ามันค่ะจะบอกว่าหน้ามันตอนนั้นคือหน้าของโรคจิตดีๆนี่เองมันมองเราด้วยสายตายียวนมากแย้มยิ้มด้วยเรานี่แบบกลัวใจจะขาด จะร้องก็ไม่กล้ากลัวมันจะเอามีดมาแทงเอา จะลุกหนีก็กลัวโดนทำร้ายเพราะจากที่เคยเรียนเคยดูหนังมาก็ประมาณนั้นเลยทำให้เรารู้สึกรักตัวกลัวตายอยู่นิ่งๆไปแล้วก็เลยแกล้งทำเป็นนอนหลับไปค่ะแต่ตอนที่นั้นเรารู้สึกมึนหัวและง่วงนอนมากจริงๆเหมือนจะหลับให้ได้เลยแต่ก็พยายามคุมสติให้ตัวเองมีสติมากที่สุด (เป็นครั้งแรกในชีวิตเลยล่ะที่เจอแบบนี้) พอมันเห็นเราแกล้งหลับไปมันคงคิดว่าเราหลับแล้วจริงๆมันก็เริ่มเอามือมาวางบนหน้าตักเราค่ะโชคดีนะคะที่เรามีผ้าห่มของเราเป็นเกราะป้องกันไว้ชั้นแรกก่อนที่มันจะเอาผ้าห่มมันมาห่มให้เรามือมันเลยโดนผ้าห่มเราแทนการโดนขาเราตรงๆจากนั้นมันก็เริ่มเลื้อยขึ้นมาจับมือเราแล้วค่ะ เราคิดในใจ เวรละชีวิตฉัน ทำอะไรไม่ถูกเลยค่ะตอนนั้น จากที่ง่วงๆจะหลับให้ได้กลายเป็นว่าตื่นเลยค่ะ ตื่นแบบอยากจะกรี๊ด ถ้าไม่กลัวโดนมันทำร้ายและเกรงใจคนบนรถ ณ ตอนนั้นกรี๊ดหลอดเสียงแตกไปแล้วค่ะบอกเลย มันจับมือเราแน่นเชียวค่ะ และแล้ววินาทีที่เราระเบิดความอดทนก็มาถึง ไม่มีแล้วค่ะซึ่งความกลัวตายเราก็เลยลุกขึ้นนั่งตัวตรงปัดมือ ปัดผ้าห่มมันออก แต่ไม่ได้ร้องหรือตะโกนส่งเสียงดังขอความช่วยเหลือจากใครนะคะ หยิบโทรศัพท์ขึ้นมา นาทีแรกเบอร์ที่คิดถึงคือเบอร์แฟนค่ะ เรายกโทรศัพท์ขึ้นมาสูงหน่อยกะให้มันเห็นด้วยซึ่งก็เป็นดังนั้นค่ะมันมองโทรศัพท์เรา เราเลยรีบพิมพ์ข้อส่งให้แฟนเราทันทีเลยด้วย ข้อความที่ว่า "เธอเหมือนเราโดนโรคจิตลวนลามบนรถทำยังไงดี) หลังจากนั้นไม่ถึงนาทีแฟนเราโทรเข้ามา เราก็บรรยายทุกเรื่องราวให้แฟนเราฟัง ไอ้โรคจิตข้างเรามันทั้งเห็นข้อความและได้ยินมันก็ขยับห่างเราทันทีพร้อมกับเอาผ้าห่มของมันคืนไปด้วยค่ะ เรานี่โล่งยิ่งกว่ายกโลกออกจากอกซะอีก เราดูที่ว่างหลังจากที่มันขยับห่างจากเราออกไปแล้วเหลือประมาณให้คนมานั่งได้อีกคนเลยค่ะ คิดในใจ โหนี่ถ้าฉันไม่ขยับหนีคงโดนนั่งทับแบนไปแล้วแน่ๆ เชื่อไหมคะหลังจากนั้นไอ้โรคจิตนั่นมันไม่ขยับเข้ามาใกล้เราอีกเลยค่ะ มันนั่งทำเป็นนอนหลับเฉยเลย ส่วนเราหลับไม่ลงค่ะไม่ว่าจะรู้สึกง่วงแค่ไหนเราก็ฝืนลืมตาไว้ค่ะเพราะกลัวจริงๆ จนรถวิ่งมาจะถึงปลายทางที่เราจะลง ไอ้นั่นมันตื่นขึ้นมามองหน้าเราแล้วทำเหมือนไม่เคยมีเหตุการณ์ชั่วๆเกิดขึ้นแล้วถามเราด้วยความใสซื่อว่ากี่โมงแล้วครับ มันถามอยู่แบบนั้นประมาณห้าหกรอบได้มั้งคะตอนนั้นทั้งๆที่นาฬิกามันก็อยู่ที่ข้อมือมันแท้ๆ มันขอเฟสเรา ขอเบอร์เรา เราก็ตอบอย่างมั่นใจ ไม่ค่ะฉันกลัวคนแปลกหน้าไม่ยินดีคุย (ปากดีได้เพราะบนรถเปิดไฟและคนเริ่มตื่นเยอะแล้ว) จากนั้นพอใกล้ถึงสถานีที่เราจะลงมันก็ถามเราว่าน้องออกมานั่งข้างนอกมั้ยครับเดี๋ยวพี่จะนั่งติดกระจกเองน้องจะลงแล้วนี่นา เรานี่รีบส่ายหน้าปฏิเสธโดยไวเลยค่ะใครจะบ้าเอาตัวไปเบียดเปลี่ยนที่กับคนโรคจิตล่ะคะเดี๋ยวตัวไปโดนกันเข้าล่ะแย่แน่ๆน่ากลัว (อันนี้คิดในใจนะ) พอรถจอดเราเตรียมตัวจะลงรู้ไหมคะมันยังมีหน้ามาบอกเราอีกว่า "หวังว่าเราคงจะได้เจอกันอีกนะครับ" เราน่ะหรอคะหน้านี่ไปหมดแสดงให้เห็นเลยว่ารังเกียจตอบไปอย่างมั่นใจ "ชาตินี้ทั้งชาติก็อย่าเจอเลยค่ะ" แล้วรีบลงจากรถไวยิ่งกว่าความเร็วแสงอีก โอ๊ยๆๆๆๆตายๆๆๆ รอดมาได้ยังไงเนี่ย น่ากลัวมากค่ะ เราก็แปลกใจว่าปกติบริษัทนี้พนักงานบนรถจะดูแลลูกค้าเป็นอย่างดีแต่ทำไมรถคันนี้พนักงานหายจ๋อยเลย เราก้เลยถามคนที่เป็นเจ้าหน้าที่ที่อยู่ตรงสถานีขนส่งที่เราลง เขาเลยบอกว่านี่เป็นรถเสริมมาวิ่งร่วมเพราะคนเยอะรถเลยไม่พอ เรานี่เก็ทมากเลยค่ะ หลังจากนั้นมาเวลาซื้อตั๋วเราจะย้ำว่าขอนั่งข้างผู้หญิงเสมอ ไม่นั่งติดหน้าต่าง ขอที่นั่งติดทางเดินบนรถ เพราะเราเข็ดและกลัวกับสิ่งที่เจอมาก เราเลยอยากมาเล่าต่อให้ฟังกันค่ะเผื่อทุกคนจะได้ระวังตัวเอาไว้ไม่ให้เจอเหตุการณ์แย่ๆแบบเรา บทเรียนครั้งนี้ราคาสูงกับเรามากทำให้เราเชื่อในประโยคที่ว่า รู้หน้าไม่รู้ใจ มากขึ้นเลยค่ะ เพราะเราไม่สามารถตัดสินจากรูปลักษณ์ภายนอกได้เลยว่าคนๆนั้นจะเป็นคนดีคนเลวหรือโรคจิตรึเปล่า (อันนี้สำคัญค่ะต้องดูเป็นพิเศษ)

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านจนจบนะคะ เวิ่นเยอะไปหน่อย ฮ่าๆๆ


ประสบการณ์บนรถทัวร์ บทเรียนในชีวิตจริง
เรื่องก็มีอยู่ว่า เราเป็นเด็กต่างจังหวัดที่เข้ามาเรียนในกรุงเทพเมื่อถึงช่วงเทศกาลก็ต้องเดินทางกลับบ้านเพื่อไปหาครอบครัว เราจะเดินทางโดยรถทัวร์เป็นประจำค่ะ ใช้เวลานั่งรถทั้งหมดประมาณ 7-8 ชั่วโมงค่ะ ปีใหม่ปีที่แล้วเราก็เตรียมของกลับบ้านตามปกติ ไปซื้อตั๋วที่สถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพ(หมอชิต)ค่ะ ตอนที่ซื้อเราก็ไม่ได้เลือกที่นั่งเองเพราะเมื่อเราบอกจุดหมายปลายทางเรียบร้อยเจ้าหน้าที่ก็ทำการเลือกให้เป็นที่เรียบร้อยค่ะ ซึ่งเราได้ที่นั่งประมาณช่วงกลางค่อนไปทางด้านหลังของรถและที่นั่งของเราก็จะติดกับกระจกรถค่ะไม่ใช่ที่นั่งที่ติดกับทางเดินบนรถ เมื่อได้ตั๋วแล้วเราก็ขึ้นไปนั่งประจำที่ของเราโดยไม่ได้เอะใจอะไรเกี่ยวกับเรื่องคนที่จะมานั่งข้างๆเลย (วันนั้นแฟนเรามาส่งนะคะ) พอถึงเวลาที่รถออกเราก็ไม่เห็นมีคนจะขึ้นมานั่งข้างๆก็แอบดีใจเหมือนกันเพราะจะได้สะดวกดีไม่ต้องระวังอะไรมาก รถที่เรานั่งเป็นรถ ป.1 ค่ะ เพราะว่าเราซื้อตั๋วของ VIP ไม่ทันมันเต็มซะก่อน พอรถวิ่งมาถึงรังสิตก็ต้องเข้าไปรับผู้โดยสารที่สถานีนั้นซะก่อนเพราะจะมีบางคนที่สะดวกมาขึ้นรถตรงนั้นพอดี เราก็เออนั่งไปเรื่อยฟังเพลงไปตามประสาของเรา และแล้วนาทีอันน่าตื่นเต้นก็มาถึงค่ะ มีคนมานั่งข้างเราเป็นผู้ชายอายุคงจะซักประมาณ 29-35 ประมาณนี้ไม่น่าจะเกินและไม่น่าจะน้อยไปกว่านั้นค่ะ เราตกใจหน่อยๆค่ะเพราะปกติจะไม่ค่อยนั่งข้างผู้ชายอยู่แล้วแต่ก็คิดว่า อื้ม...คงไม่เป็นไรหรอกไม่มีอะไรมั้งเพราะดูจากหน้าตาของเขาแล้วก็ดูดีค่ะแต่งตัวเรียบๆไม่มีอะไรน่ากลัวซักนิดเลยค่ะ หน้าตาดูน่าเชื่อถือเลยก็ว่าได้ เราก็หันไปมองพอสบตาก็เลยยิ้มให้ตามประสาคนที่จะร่วมเดินทางด้วยกันแล้วก็หันกลับมาใส่ใจฟังเพลงต่อโดยไม่สนคนข้างๆอีกเลยค่ะ พอรถวิ่งออกมาเรื่อยๆเราก็เริ่มง่วงแล้วกำลังจะหลับเลยค่ะก็รู้สึกว่า เอ๊ะ !!!เหมือนมีคนจ้องเลยเลยหันไปมองคนข้างๆ เป็นเขาค่ะท่านผู้ชมที่นั่งมองหน้าเรา เราก็แบบตกใจเฮ้ยจะจ้องทำไมเนี่ยเค้าก็ยิ้มและหันกลับไปไม่พูดอะไร แต่บอกเลยนะคะว่าเราเป็นผู้หญิงหน้าตาบ้านๆธรรมดามากค่ะวันนั้นก็ไม่ได้แต่งตัวล่อแหลมใดๆทั้งสิ้นค่ะ ที่เราใส่เป็นเสื้อยืดสีดำลายสีขาวกับกางเกงขาสั้นซึ่งไม่ได้สั้นมากเพราะยาวลงมาจะถึงเข่าแล้วค่ะอีกไม่กี่เซนต์เอง จากนั้นเราก็นอนมาเรื่อยๆ จนถึงโคราชค่ะรถก็จอดพักที่สถานีเพื่อให้ผู้โดยสารได้ลงไปซื้อของฝาก ทานข้าว เข้าห้องน้ำซื้อของกิน ตามปกติ เราก็ด้วยความเคยชินค่ะลงจากรถเพื่อไปเข้าห้องน้ำแต่ก็ต้องขอทางออกจากผู้ชายที่นั่งข้างๆเราเพราะว่าเรารอให้เขาออกแล้วเขาไม่ออกเราเลยคิดว่าเขาจะไม่ลงเลยขอทางพอเราเดินลงจากรถเท้าเหยียบพื้นเท่านั้นล่ะค่ะ ผู้ชายคนนั้นเขาเดินตามลงมาเลย เราก็ งง สิคะ ว่าคืออะไรเพราะตอนที่รอให้ลงไม่ลงพอเราขอทางเดินลงมาถึงตามลงมา แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจอีกตามเคยค่ะเพราะคิดว่าเขาคงปวดอยากเข้าห้องน้ำพอดีหรือไม่คงหิวอะไรประมาณนี้ ก็ต่างคนต่างไปค่ะพอเสร็จธุระเราก็รีบขึ้นรถไปนั่งที่ของเรา โชคเข้าข้างค่ะผู้ชายคนนั้นยังไม่ขึ้นมา เราเลยเดินเข้าที่นั่งได้อย่างสบายไม่ต้องเบียดใครเข้า เรามานั่งได้ประมาณ 5 นาที รู้สึกหิวน้ำเลยเอาน้ำที่พนักงานบนรถแจกมากินแต่พยายามเอาหลอดเจาะฝาแก้วน้ำเท่าไหร่ก็ทำไม่ได้สุดท้ายหลอดหักค่ะ (ยอมรับค่ะว่าโง่มาก) ผู้ชายคนนั้นเขาขึ้นมาพอดีเห็นเรากำลังยุ่งวุ่นวายกับแก้วน้ำอยู่เขาเลยจับแขนเราแล้วบอกว่า มาเดี๋ยวพี่ช่วยแล้วแย่งเอาแก้วน้ำเราไปเลยค่ะ เราก็ขอบคุณแล้วรับแก้วน้ำกลับมากิน จากนนั้นเขาเริ่มถามเราแล้วค่ะว่า ชื่ออะไร ? เรียนอะไร ? เรียนอยู่ที่ไหน ? บ้านอยู่ไหน ? จะนั่งรถไปลงที่ไหน ? เราก็เอ่อแบบตอบได้เท่าที่ตอบอ่ะนะคะ บางคำตอบไม่อยากตอบเราก็เลี่ยงเพราะรู้สึกว่าถามเราเยอะไปแล้ว แล้วเราก็เงียบเป็นช่วงเวลาพอดีกับที่แฟนเราโทรเข้ามาพอดีเลยค่ะ โชคช่วยทำให้เราเลี่ยงที่จะตอบคำถามได้ ช่วงที่เราคุยโทรศัพท์เขาก้เงียบแล้วนั่งกดโทรศัพท์ของเขาไปพอเราว่าเท่านั้นล่ะค่ะ เป้าหมายหลักคือหันมาใส่ใจเราต่อ เขาก็มาบอกว่าบ้านพี่อยู่ที่....นี่นะจังหวัดเดียวกับเราแต่คนละอำเภอ เคยไปมั้ย พี่ทำงานที่.....นะ พี่จะกลับบ้านมาเอารถยนต์ลงไปขับ เราก็อ๋อค่ะๆ คุยมาเรื่อยๆรถก้ออกเดินทางต่อ ด้วยหน้าตาเขาการแต่งตัวเขามันดูน่าไว้ใจเราเลยเออก็คุยด้วยไม่ได้กังวลอะไรมากที่กังวลก็มีอย่างเดียวคือเขาถามเรื่องของเรามากไป จนรถวิ่งออกาได้ไกลพอสมควรเราก็ได้กลิ่นน้ำหอมเขาซึ่งมันฉุนมากค่ะ ฉุนจนแบบแสบจมูกเลยอ่ะ ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมเขาถึงมาฉีดทาเอาตอนนั้น ก็ไม่ได้ใส่ใจเพราะรู้สึกว่าตอนนั้นง่วงมากค่ะจะหลับให้ได้เลยก็เลยห่มผ้าห่มที่เป็นของตัวเองแล้วนอน ที่นั่งบนรถทัวร์ป.1มันจะไม่มีที่กั้นตรงกลาง(ถ้าคนเคยนั่งจะรู้) เราเริ่มรู้สึกได้ว่าผู้ชายคนนั้นเขาเริ่มขยับเข้ามาใกล้เรามากขึ้นเพราะรู้สึกแขนชนกัน ขาชนกันเลยค่ะ เราเลยขยับออกมาจนติดกับกระจกเลย ไม่จบค่ะเขาขยับตามเรามาอีกแล้วเอื้อมมือเอาผ้าห่มมาห่มให้เรา(ทั้งๆที่เขาก็ห่มอยู่นะเหมือนห่มผืนเดียวกันอ่ะ) ตกใจมากค่ะตอนนั้น แต่สิ่งที่ตกใจมากกว่าการที่เขาเอาผ้าห่มมาห่มให้เราคือตอนที่เขายื่นแขนมาห่มให้เขาเอาแขนเขาถูไปกับหน้าอกเราเลยค่ะ อึ้งค่ะ อึ้งสิคะ สตั้นไป 30 วิเลยค่ะ หลังจากนั้นไม่ถึง 2 นาทีมันเอามาห่มให้เราใหม่ค่ะ บอกว่าอากาสมันหนาว พอเราเอาออกมันก็เอาขึ้นมาใหม่อีกรอบเป็นอยู่แบบนั้นประมาณ 4 รอบได้ค่ะ เราก็พยายามมองหาพนักงานบนรถแต่ก็ไม่มีใครเดินขึ้นมา เลยเริ่มมองหาคนรอบข้างที่นั่งอยู่ใกล้ๆแต่ทุกคนหลับกันหมดที่ยังเหลือก็มีผู้ชายน่ากลัวๆคนหนึ่งอยู่เลยไม่กล้าเรียก เราก็ได้แต่นั่งที่เดิมจนรอบสุดท้ายมันเอาผ้าห่มมาห่มให้เราค่ะ เราทำอะไรไม่ได้นอกจากนั่งนิ่งมันก็เขยิบเข้ามาใกล้เรามากขึ้นอีกจนเรารู้สึกได้เลยว้าตัวเราติดกับกระจกข้างรถไม่มีที่ให้ขยับอีกแล้ว เราเลยหันไปมองหน้ามันค่ะจะบอกว่าหน้ามันตอนนั้นคือหน้าของโรคจิตดีๆนี่เองมันมองเราด้วยสายตายียวนมากแย้มยิ้มด้วยเรานี่แบบกลัวใจจะขาด จะร้องก็ไม่กล้ากลัวมันจะเอามีดมาแทงเอา จะลุกหนีก็กลัวโดนทำร้ายเพราะจากที่เคยเรียนเคยดูหนังมาก็ประมาณนั้นเลยทำให้เรารู้สึกรักตัวกลัวตายอยู่นิ่งๆไปแล้วก็เลยแกล้งทำเป็นนอนหลับไปค่ะแต่ตอนที่นั้นเรารู้สึกมึนหัวและง่วงนอนมากจริงๆเหมือนจะหลับให้ได้เลยแต่ก็พยายามคุมสติให้ตัวเองมีสติมากที่สุด (เป็นครั้งแรกในชีวิตเลยล่ะที่เจอแบบนี้) พอมันเห็นเราแกล้งหลับไปมันคงคิดว่าเราหลับแล้วจริงๆมันก็เริ่มเอามือมาวางบนหน้าตักเราค่ะโชคดีนะคะที่เรามีผ้าห่มของเราเป็นเกราะป้องกันไว้ชั้นแรกก่อนที่มันจะเอาผ้าห่มมันมาห่มให้เรามือมันเลยโดนผ้าห่มเราแทนการโดนขาเราตรงๆจากนั้นมันก็เริ่มเลื้อยขึ้นมาจับมือเราแล้วค่ะ เราคิดในใจ เวรละชีวิตฉัน ทำอะไรไม่ถูกเลยค่ะตอนนั้น จากที่ง่วงๆจะหลับให้ได้กลายเป็นว่าตื่นเลยค่ะ ตื่นแบบอยากจะกรี๊ด ถ้าไม่กลัวโดนมันทำร้ายและเกรงใจคนบนรถ ณ ตอนนั้นกรี๊ดหลอดเสียงแตกไปแล้วค่ะบอกเลย มันจับมือเราแน่นเชียวค่ะ และแล้ววินาทีที่เราระเบิดความอดทนก็มาถึง ไม่มีแล้วค่ะซึ่งความกลัวตายเราก็เลยลุกขึ้นนั่งตัวตรงปัดมือ ปัดผ้าห่มมันออก แต่ไม่ได้ร้องหรือตะโกนส่งเสียงดังขอความช่วยเหลือจากใครนะคะ หยิบโทรศัพท์ขึ้นมา นาทีแรกเบอร์ที่คิดถึงคือเบอร์แฟนค่ะ เรายกโทรศัพท์ขึ้นมาสูงหน่อยกะให้มันเห็นด้วยซึ่งก็เป็นดังนั้นค่ะมันมองโทรศัพท์เรา เราเลยรีบพิมพ์ข้อส่งให้แฟนเราทันทีเลยด้วย ข้อความที่ว่า "เธอเหมือนเราโดนโรคจิตลวนลามบนรถทำยังไงดี) หลังจากนั้นไม่ถึงนาทีแฟนเราโทรเข้ามา เราก็บรรยายทุกเรื่องราวให้แฟนเราฟัง ไอ้โรคจิตข้างเรามันทั้งเห็นข้อความและได้ยินมันก็ขยับห่างเราทันทีพร้อมกับเอาผ้าห่มของมันคืนไปด้วยค่ะ เรานี่โล่งยิ่งกว่ายกโลกออกจากอกซะอีก เราดูที่ว่างหลังจากที่มันขยับห่างจากเราออกไปแล้วเหลือประมาณให้คนมานั่งได้อีกคนเลยค่ะ คิดในใจ โหนี่ถ้าฉันไม่ขยับหนีคงโดนนั่งทับแบนไปแล้วแน่ๆ เชื่อไหมคะหลังจากนั้นไอ้โรคจิตนั่นมันไม่ขยับเข้ามาใกล้เราอีกเลยค่ะ มันนั่งทำเป็นนอนหลับเฉยเลย ส่วนเราหลับไม่ลงค่ะไม่ว่าจะรู้สึกง่วงแค่ไหนเราก็ฝืนลืมตาไว้ค่ะเพราะกลัวจริงๆ จนรถวิ่งมาจะถึงปลายทางที่เราจะลง ไอ้นั่นมันตื่นขึ้นมามองหน้าเราแล้วทำเหมือนไม่เคยมีเหตุการณ์ชั่วๆเกิดขึ้นแล้วถามเราด้วยความใสซื่อว่ากี่โมงแล้วครับ มันถามอยู่แบบนั้นประมาณห้าหกรอบได้มั้งคะตอนนั้นทั้งๆที่นาฬิกามันก็อยู่ที่ข้อมือมันแท้ๆ มันขอเฟสเรา ขอเบอร์เรา เราก็ตอบอย่างมั่นใจ ไม่ค่ะฉันกลัวคนแปลกหน้าไม่ยินดีคุย (ปากดีได้เพราะบนรถเปิดไฟและคนเริ่มตื่นเยอะแล้ว) จากนั้นพอใกล้ถึงสถานีที่เราจะลงมันก็ถามเราว่าน้องออกมานั่งข้างนอกมั้ยครับเดี๋ยวพี่จะนั่งติดกระจกเองน้องจะลงแล้วนี่นา เรานี่รีบส่ายหน้าปฏิเสธโดยไวเลยค่ะใครจะบ้าเอาตัวไปเบียดเปลี่ยนที่กับคนโรคจิตล่ะคะเดี๋ยวตัวไปโดนกันเข้าล่ะแย่แน่ๆน่ากลัว (อันนี้คิดในใจนะ) พอรถจอดเราเตรียมตัวจะลงรู้ไหมคะมันยังมีหน้ามาบอกเราอีกว่า "หวังว่าเราคงจะได้เจอกันอีกนะครับ" เราน่ะหรอคะหน้านี่ไปหมดแสดงให้เห็นเลยว่ารังเกียจตอบไปอย่างมั่นใจ "ชาตินี้ทั้งชาติก็อย่าเจอเลยค่ะ" แล้วรีบลงจากรถไวยิ่งกว่าความเร็วแสงอีก โอ๊ยๆๆๆๆตายๆๆๆ รอดมาได้ยังไงเนี่ย น่ากลัวมากค่ะ เราก็แปลกใจว่าปกติบริษัทนี้พนักงานบนรถจะดูแลลูกค้าเป็นอย่างดีแต่ทำไมรถคันนี้พนักงานหายจ๋อยเลย เราก้เลยถามคนที่เป็นเจ้าหน้าที่ที่อยู่ตรงสถานีขนส่งที่เราลง เขาเลยบอกว่านี่เป็นรถเสริมมาวิ่งร่วมเพราะคนเยอะรถเลยไม่พอ เรานี่เก็ทมากเลยค่ะ หลังจากนั้นมาเวลาซื้อตั๋วเราจะย้ำว่าขอนั่งข้างผู้หญิงเสมอ ไม่นั่งติดหน้าต่าง ขอที่นั่งติดทางเดินบนรถ เพราะเราเข็ดและกลัวกับสิ่งที่เจอมาก เราเลยอยากมาเล่าต่อให้ฟังกันค่ะเผื่อทุกคนจะได้ระวังตัวเอาไว้ไม่ให้เจอเหตุการณ์แย่ๆแบบเรา บทเรียนครั้งนี้ราคาสูงกับเรามากทำให้เราเชื่อในประโยคที่ว่า รู้หน้าไม่รู้ใจ มากขึ้นเลยค่ะ เพราะเราไม่สามารถตัดสินจากรูปลักษณ์ภายนอกได้เลยว่าคนๆนั้นจะเป็นคนดีคนเลวหรือโรคจิตรึเปล่า (อันนี้สำคัญค่ะต้องดูเป็นพิเศษ)
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านจนจบนะคะ เวิ่นเยอะไปหน่อย ฮ่าๆๆ