หนึ่งทศวรรษการออมไทย ... รายย่อยฝากน้อย กู้หนัก
ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจทีเอ็มบี หรือ TMB Analytics (6 มิถุนายน 2557)
มองยุทธศาสตร์สนับสนุนการออมของประเทศเป็นสิ่งจำเป็น
หลังสัญญาณการออมในรอบทศวรรษที่ผ่านมาส่อปัญหา
เงินฝากของรายย่อยเพิ่มขึ้นไม่ทันการขยายตัวของหนี้ภาคครัวเรือนที่เร่งขึ้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในกลุ่มผู้มีรายได้น้อย
แม้ทางเลือกในการออมของคนไทยจะมีความหลากหลายมากขึ้นในปัจจุบัน
แต่การฝากเงินกับธนาคารพาณิชย์ก็ยังเป็นทางเลือกอันดับแรกของหลายคน
เพราะนอกจากจะสามารถใช้บริการได้ง่ายแล้ว
ยังมีความปลอดภัยภายใต้เงื่อนไขกฎหมายคุ้มครองเงินฝาก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเงินฝากที่มียอดไม่เกิน 1 ล้านบาท ที่ได้รับการคุ้มครองแน่นอน
ทำให้การออมของประชาชนจึงยังอยู่ที่เงินฝากธนาคารพาณิชย์
ซึ่งส่วนใหญ่ก็คือผู้ฝากเงินรายย่อย
ในรอบทศวรรษที่ผ่านมา (เปรียบเทียบข้อมูล มี.ค. 2547 กับ มี.ค. 2557) พบว่า
การฝากเงินของรายย่อยซึ่งมีเงินฝากไม่เกิน 1 ล้านบาทต่อบัญชี
ซึ่งมีสัดส่วนสูงถึงร้อยละ 98 ของจำนวนบัญชีเงินฝากทั้งหมด
มีอัตรา การเพิ่มของยอดเงินฝากโดยเฉลี่ยเพียงร้อยละ 5.7 ต่อปี
ต่ำกว่าการขยายตัวของรายได้ต่อหัวของคนไทยที่เพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 6.5 ต่อปี
และที่แย่ไปกว่านั้นคือ อัตราการขยายตัวของเงินฝากรายย่อยนั้น
ต่ำกว่าการก่อหนี้ภาคครัวเรือนที่เพิ่มถึงร้อยละ 13.7 ต่อปี
เมื่อศึกษาพฤติกรรมการออมของคนไทยในช่วงสิบปีที่ผ่านมา
โดยแบ่งช่วงบัญชีเงินฝากตามขนาดของบัญชี พบว่า
อัตราการเติบโตของยอดเงินในบัญชีมักจะเพิ่มตามขนาดของบัญชี
อาทิ กลุ่มบัญชีเงินฝากที่มียอดฝากไม่เกิน 5 หมื่นบาท
มีการขยายตัวของยอดเงินฝากรวมที่อัตราร้อยละ 4.5 ต่อปี
ต่ำกว่ากลุ่มบัญชีเงินฝากที่มียอดระหว่าง 5 แสนถึง 1 ล้านบาท
ที่มีการขยายตัวถึงร้อยละ 6.3
ทำให้สามารถตีความได้ว่า ผู้ที่มีกำลังการออมสูงกว่า หรือ อีกนัยหนึ่งคือ
มีรายได้ที่จะออมมากกว่า จะมีความสามารถ “ให้เงินทำงาน” ได้มากกว่า
แต่ผู้ที่มีรายได้ไม่สูงก็สามารถเพิ่มเงินออมได้ถ้ามีความตั้งใจจริง
โดยการลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น
จากผลสำรวจเดียวกันนี้ ยังพบอีกว่า
กลุ่มผู้ที่มีรายได้น้อยจะมีสัดส่วนหนี้ที่นำมาใช้ในการบริโภคอุปโภคต่อหนี้สินทั้งหมด ในอัตราที่ค่อนข้างสูง
โดยกลุ่มครัวเรือนที่มีรายได้ต่อเดือนไม่เกิน 15,000 บาท
จะมีสัดส่วนของหนี้เพื่อการอุปโภคบริโภคสูงถึงร้อยละ 51
เทียบกับกลุ่มครัวเรือนที่มีรายได้ต่อเดือนมากกว่า 15,000 บาท
ที่มีสัดส่วนดังกล่าวเพียงร้อยละ 36
สถิติข้างต้นสะท้อนให้เห็นภาวะออมน้อยกู้มาบริโภคหนัก
โดยเฉพาะในกลุ่มผู้มีรายได้ไม่สูง ซึ่งแน่นอนว่าจะส่งผลไปยังศักยภาพในการชำระหนี้
รวมไปถึงปัญหาทางการเงินของประชาชนในกลุ่มดังกล่าวด้วย
..............................................................................................
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจากลิงค์ค่ะ
https://www.tmbbank.com/newsroom/news-details.php?id=563
๐๐๐๐๐ รายย่อยกู้หนัก...ฝากน้อย ๐๐๐๐๐
ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจทีเอ็มบี หรือ TMB Analytics (6 มิถุนายน 2557)
มองยุทธศาสตร์สนับสนุนการออมของประเทศเป็นสิ่งจำเป็น
หลังสัญญาณการออมในรอบทศวรรษที่ผ่านมาส่อปัญหา
เงินฝากของรายย่อยเพิ่มขึ้นไม่ทันการขยายตัวของหนี้ภาคครัวเรือนที่เร่งขึ้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในกลุ่มผู้มีรายได้น้อย
แม้ทางเลือกในการออมของคนไทยจะมีความหลากหลายมากขึ้นในปัจจุบัน
แต่การฝากเงินกับธนาคารพาณิชย์ก็ยังเป็นทางเลือกอันดับแรกของหลายคน
เพราะนอกจากจะสามารถใช้บริการได้ง่ายแล้ว
ยังมีความปลอดภัยภายใต้เงื่อนไขกฎหมายคุ้มครองเงินฝาก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเงินฝากที่มียอดไม่เกิน 1 ล้านบาท ที่ได้รับการคุ้มครองแน่นอน
ทำให้การออมของประชาชนจึงยังอยู่ที่เงินฝากธนาคารพาณิชย์
ซึ่งส่วนใหญ่ก็คือผู้ฝากเงินรายย่อย
ในรอบทศวรรษที่ผ่านมา (เปรียบเทียบข้อมูล มี.ค. 2547 กับ มี.ค. 2557) พบว่า
การฝากเงินของรายย่อยซึ่งมีเงินฝากไม่เกิน 1 ล้านบาทต่อบัญชี
ซึ่งมีสัดส่วนสูงถึงร้อยละ 98 ของจำนวนบัญชีเงินฝากทั้งหมด
มีอัตรา การเพิ่มของยอดเงินฝากโดยเฉลี่ยเพียงร้อยละ 5.7 ต่อปี
ต่ำกว่าการขยายตัวของรายได้ต่อหัวของคนไทยที่เพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 6.5 ต่อปี
และที่แย่ไปกว่านั้นคือ อัตราการขยายตัวของเงินฝากรายย่อยนั้น
ต่ำกว่าการก่อหนี้ภาคครัวเรือนที่เพิ่มถึงร้อยละ 13.7 ต่อปี
เมื่อศึกษาพฤติกรรมการออมของคนไทยในช่วงสิบปีที่ผ่านมา
โดยแบ่งช่วงบัญชีเงินฝากตามขนาดของบัญชี พบว่า
อัตราการเติบโตของยอดเงินในบัญชีมักจะเพิ่มตามขนาดของบัญชี
อาทิ กลุ่มบัญชีเงินฝากที่มียอดฝากไม่เกิน 5 หมื่นบาท
มีการขยายตัวของยอดเงินฝากรวมที่อัตราร้อยละ 4.5 ต่อปี
ต่ำกว่ากลุ่มบัญชีเงินฝากที่มียอดระหว่าง 5 แสนถึง 1 ล้านบาท
ที่มีการขยายตัวถึงร้อยละ 6.3
ทำให้สามารถตีความได้ว่า ผู้ที่มีกำลังการออมสูงกว่า หรือ อีกนัยหนึ่งคือ
มีรายได้ที่จะออมมากกว่า จะมีความสามารถ “ให้เงินทำงาน” ได้มากกว่า
แต่ผู้ที่มีรายได้ไม่สูงก็สามารถเพิ่มเงินออมได้ถ้ามีความตั้งใจจริง
โดยการลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น
จากผลสำรวจเดียวกันนี้ ยังพบอีกว่า
กลุ่มผู้ที่มีรายได้น้อยจะมีสัดส่วนหนี้ที่นำมาใช้ในการบริโภคอุปโภคต่อหนี้สินทั้งหมด ในอัตราที่ค่อนข้างสูง
โดยกลุ่มครัวเรือนที่มีรายได้ต่อเดือนไม่เกิน 15,000 บาท
จะมีสัดส่วนของหนี้เพื่อการอุปโภคบริโภคสูงถึงร้อยละ 51
เทียบกับกลุ่มครัวเรือนที่มีรายได้ต่อเดือนมากกว่า 15,000 บาท
ที่มีสัดส่วนดังกล่าวเพียงร้อยละ 36
สถิติข้างต้นสะท้อนให้เห็นภาวะออมน้อยกู้มาบริโภคหนัก
โดยเฉพาะในกลุ่มผู้มีรายได้ไม่สูง ซึ่งแน่นอนว่าจะส่งผลไปยังศักยภาพในการชำระหนี้
รวมไปถึงปัญหาทางการเงินของประชาชนในกลุ่มดังกล่าวด้วย
..............................................................................................
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจากลิงค์ค่ะ
https://www.tmbbank.com/newsroom/news-details.php?id=563