""""" Nazi Third Reich : บันไดสู่การครองโลกฉบับนาซี """""



อะไรคือ Nazi Third Reich ?
    เมื่อพูดถึงนาซี เรามักจะนึกถึงกองทัพสวัสดิกะผู้ชั่วร้าย และชายหนวดจิ๋ม อดอล์ฟ ฮิตเลอร์  จริงๆ แล้วเดิมที
Nazi เป็นเพียงชื่อย่อของพรรคแรงงานสังคมนิยมแห่งชาติเยอรมัน  พรรคการเมืองหนึ่งของเยอรมันที่มีตัวตน
มาก่อนที่ฮิตเลอร์จะเรืองอำนาจเสียอีก ต่อมาเมื่อฮิตเลอร์ได้เป็นใหญ่เป็นโตในพรรค
ประชาชนที่ได้ให้การสนับสนุนนโยบายสุดโต่งของเค้า ถูกเรียกว่า Nazi Member ถึงจุดนี้การได้ชื่อว่าเป็นสมาชิกพรรค
ยังไม่ได้มีความหมายเลวร้ายเช่นทุกวันนี้นะครับ  มันเป็นแค่ชื่อเรียก คนที่สนับสนุนพรรคการเมืองนั้นๆ จนในภายหลัง
ฮิตเลอร์เริ่มออกกฏหมายเหยียดชาติพันธุ์ ส่งทหารนาซีออกไปจุดชนวนสงครามโลก  
กลุ่มคนที่เห็นด้วยกับนโยบายนี้จึงถูกตราไปด้วยอย่างช่วยไม่ได้
     ส่วน Third Reich ที่ได้ยินกรอกหูบ่อยๆ นั้น ความหมายของมันคือ อาณาจักรที่ 3 ฮิตเลอร์ตั้งชื่ออาณาจักรสมบูรณ์แบบ
ที่เขากำลังจะสร้างและอยู่ไปอีกนับพันๆ ปีว่าอย่างนั้น มันจะเป็นประเทศอุตสาหกรรมที่ยิ่งใหญ่ ผู้คนมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น
และเขาก็ทำได้จริงๆซะด้วยสิ  Third Reich จึงเป็นอะไรที่น่าพิสมัยมากหากคุณมีสายเลือดเยอรมันแท้ๆ
หากคุณไม่แคร์ว่า ความสำเร็จนั้นจะได้มาจากการเถือหนังผู้อื่นหรือไม่
หลายท่านอาจสงสัยว่าไรซ์ ที่ 1 กับ 2 ล่ะมีไหม ? ...มีครับ แต่มีอยู่แค่ในจินตนาการของฮิตเลอร์เท่านั้น
อาณาจักรที่ 1 คือ จักวรรดิโรมัน
อาณาจักรที่ 2 คือ จักรวรรดิเยอรมัน  ระหว่างปี 1871-1896
พูดกันแบบไม่ไว้หน้าก็คือ ฮิตเลอร์เห็นว่าจักรวรรดินั้น ในช่วงเวลานี้เหมาะกับอุดมคติของเค้า ก็เลยขี้ตู่เรียกไปคนเดียวว่า
1 กับ 2 เพื่อสื่อว่าเข้าจะสร้างได้อย่างนั้นบ้างนั่นเอง


บันไดขั้นที่ 1 ครอบครองการเมืองด้วยการพูด (1920-1932)
     สงครามโลกครั้งที่ 1 เพิ่งจบไปไม่กี่ปี เยอรมันนีกำลังอยู่ในสภาวะเศณษฐกิจตกต่ำอย่างหนัก ประชาชนแบ่งเป็นสองฝ่าย
ไม่สนับสนุนพรรคนาซีก็พรรคคอมมิวนิสต์  นายฮิตเลอร์ขณะนั้นยังเป็นเพียงทหารผ่านศึกโนเนม
ไม่มีวุฒิการศึกษา อีกทั้งฐานะทางบ้านก็ยากจน แต่ฮิตเลอร์มีเพลงกระบี่ซึ่งยังเป็นที่ยอมรับจนถึงทุกวันนี้ในฐานะนักพูดผู้ทรงพลัง

[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

ผู้ก่อตั้งพรรคเกิดประทับใจลีลาการพูดปราศัยของฮิตเลอร์  และเชิญเขาเข้าร่วมด้วยใจความขายฝัน สีหน้าบิดเบี้ยวลู่ไปตามอารมณ์
มือที่กวัดไกวประกอบการพูดของเขามีแรงดึงดูดให้ผู้ฟังคล้อยตามอย่างประหลาด จนกระทั่งวันหนึ่งเขาถูกจำคุกด้วยข้อหา
แกนนำจลาจล และกลายเป็นไอดอลในฐานะนักเคลื่อนไหวทางการเมืองผู้ปลดปล่อยเยอรมันนี แต่นั่นยังไม่เพียงพอครับ
เขาพ่ายแพ้ในการโหวตอย่างหมดท่า
     ต่อมาฮิตเลอร์ฉวยโอกาสที่มีมือมืดวางเพลิงรัฐสภา ปลุกระดมมวลชนพรรคนาซี กล่าวโทษพรรคการเมืองอีกฝ่ายจนไร้ที่ยืน
จากวันนั้นเยอรมันไม่เหลือใครที่จะขวางฮิตเลอร์ได้อีกแล้ว


บันไดขั้นที่ 2 ครอบครองประชาชนด้วยความกลัว (1933-1937)
      ถึงตอนนี้พรรคนาซีของเขาเป็นพรรคที่ใหญ่ที่สุด นายฮิตเลอร์กลายเป็นท่านผู้นำไปแล้ว (ฟินเว่อ) อุดมการณ์ที่นาซีให้ความสำคัญ
มาเป็นอันดับแรก และกลายเป็นตลกโสโครกมาจนทุกวันนี้ก็คือ ฮิตเลอร์อุปโลกว่า ชาวเยอรมันคือ Master Race สายพันธุ์ต้นแบบของมนุษย์
เขาเขียนกฏหมายขึ้นหลายมาตราเพื่อดำรงความบริสุทธิ์ของเผ่าพันธุ์อารยัน  ใครก็ตามที่มีประวัติรักร่วมเพศ พิการ หอบหืดลมชัก
ต้องเข้ารายงานตัวเพื่อทำหมัน  หญิงใดที่ไร้ประกาศนียบัตรจากค่ายสตรีที่เขาตั้งขึ้นจะกลายเป็นหญิงด้อยค่าในสายตาของชาวเยอรมัน
เด็กอายุ 10 ขวบขึ้นไปต้องเข้าค่ายยุวชนทหาร ที่ๆ สอนว่าชีวิตของพวกเขานั้นเป็นของท่านผู้นำ รองลงมาจึงเป็นครอบครัว
บทเรียนแรกของเด็กประถมเยอรมันในยุคนั้น คือ การทักทายด้วยการยื่นแขนไปด้านหน้าแล้วพูดว่า " ไฮล์ ฮิตเลอร์ "  ซึงแปลเป็นภาาาไทยว่า
สวัสดีฮิตเลอร์

แต่ที่ซวยที่สุดคือ 1% ของประชากรที่เป็นยิว ฮิตเลอร์ตราหน้าพวกเขาว่าเป็นสายพันธุ์ด้อยเชื้อร้ายที่ต้องกำจัดทิ้ง  เขาเริ่มบีบยิวเบาะๆ
ด้วยการรณรงค์ให้ชาวเยอรมันบอยคอตกิจการเชื้อสายยิวไปจนถึงออกแบบเรียนปลูกฝังให้เด็กรังเกียจยิว  เขียนกฏหมายให้พวกเขากลายเป็น
พลเมืองชั้นสองที่ต้องติดสัญลักษณ์ยิวประจานตัวเองตลอดเวลา  บางพื้นที่ประกาศเป็นเขตปลอดยิว หากคุณโชคดีเกิดเป็นเศรษฐียิว
คุณจะแค่ถูกยึดทรัพย์แล้วถีบออกนอกประเทศ  ถ้าไม่คุณจะต้องใช้ชีวิตในค่ายแรงงานหรือจับรมแก๊สพิษ ...ฮิตเลอร์ตั้งไข่เศรษฐกิจ
ได้ด้วยเงินที่ยึดจากยิวและแรงงานทาสนี้เอง
ชาวเยอรมันบางส่วนเห็นด้วยกับนโยบายนี้อย่างสุดใจตามประสาคนที่ได้รับผลประโยชน์ อีกส่วนเพียงตามกระแสเฮไหนเฮกัน
ส่วนน้อยเก็บความไม่เห็นด้วยไว้ในใจกลัวถูกอุ้ม แต่ไม่ว่าพวกเขาจะสมัครใจหรือไม่ ชาวเยอรมันทุกคนกำลังถูกฮิตเลอร์จูงเข้าสู่สงคราม


บันไดขั้นที่ 3 ครอบครองสนามรบด้วยกำลัง (1938-1941)
     หลังจากได้ประเทศเพื่อนบ้านออสเตรียมาเป็นเมืองขึ้นโดยไม่เสียกระสุนแม้แต่นัดเดียว  ฮิตเลอร์ก็เริ่มติดใจกระชากคอเชโกสโลวาเกีย
มาประกาศสงครามซะดื้อๆ ฮิตเลอร์แก้ปัญหาเศรษฐกิจได้ใน 5 ปี โดยการกรรโชกทรัพย์เพื่อนบ้าน ตามมาด้วยโปแลนด์ (โปแลนด์แคมเปญ)
เนเธอแลนด์  นอร์เวย์  เดนมาร์ก  เบลเยี่ยม  แล้วทั่วโลกต้องช็อกเมื่อมหาอำนาจอย่างฝรั่งเศสก็เสร็จนาซีไปด้วย
และคิวต่อไปคือยักษ์ใหญ่สีแดงแห่งสหภาพโซเวียต


บันไดขั้นที่ 4 ครอบครองความตายของตนด้วยกระสุนหนึ่งนัด (1942-1945)
      ทว่าสหภาพโซเวียตไม่ได้เป็นเด็กเนิร์ดเหมือนประเทศที่นาซีเคยรังแก  แม้จะลากไปได้ไกลถึงสตาลินกราดแต่ความกว้างใหญ่
แร้นแค้นของดินแดนรัซเซียทำให้ทัพหน้านาซีถูกตัดเสบียงหงายเงิบกลับมา  ชัยชนะต่อเนื่องถูกหยุดที่นี่เองครับ
เกมรุกแปรเป็นเกมรับเต็มอัตรา  เมื่อทางซ้ายนาซีต้องรับมือกับคลื่นทหารอเมริกันที่สาดซัดเข้าใส่ทางหาดนอร์มังดี ฝรั่งเศส
แต่ที่น่าเป็นห่วงกว่า คือ ทางขวาหมีขาวรัซเซียกลับมาทวงเลือดที่ถูกย่ำแผ่นดินแม่ด้วยการฆ่าล้างหมู่บ้านพลเรือนเยอรมันมาตลอดทาง


      
      การถูกบี้จากทั้งสองด้านทำให้ฮิตเลอร์ถึงกับหนวดเสียทรง  แทบไม่เหลือทหารไว้ปกป้องเมืองหลวงเบอร์ลินที่ตกอยู่ในวงล้อมของฝ่าย
สัมพันธมิตร แต่ฮิตเลอร์ยังดื้อด้านไม่ยอมแพ้หลบอยู่ในบังเกอร์แล้วเกณฑ์พลเรือนอายุ 16-60 ปี มาจับอาวุธซื้อเวลา  ทำลายระบบ
ไฟฟ้า ประปาของตัวเองทิ้งเพื่อไม่ให้ศัตรูใช้ประโยชน์ได้  เขาขู่พลเรือนเพื่อสร้างภาพว่าผู้รุกรานโหดร้ายเกินจริงด้วยความหวัง
ให้พวกเขาสู้ตายจนเกิดสถิติฆ่าตัวตายหมู่มากถึง 5,000 คน  หนึ่งในจำนวนนั้นคือชายชื่อ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ วัย 56 ปี เขามอบหมายให้คนสนิทเผาศพให้เป็นเถ้าถ่าน

      ฝูงชนเยอรมันเรียรายห้อมล้อมผู้นำที่พวกเขาเชื่อ ด้วยเจตนาดีขอเป็นส่วนหนึ่งในการสร้าง แต่กลับเป็นได้เพียงเครื่องมือ ที่เขาใช้
ฟาดฟันทำลายประเทศตัวเองเสียนี่  อย่าลืมว่าสิ่งที่คุณได้อ่านไปทั้งหมด นั่นเป็นบันทึกประวัติศาสตร์ที่ชาวเยอรมันไม่มีสิทธิ์ได้รับรู้เลย
ในตอนนั้น พวกเขาได้แต่เฮโลสาระพาไปกับความสวยหรูที่ฉาบทาอยู่บนข้อความชวนเชื่อ  สิ่งที่เราเชื่อว่าถูกนั้นอาจไม่ได้ถูกอย่างที่เราคิดเสมอไป





cr. 9 @play
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่