ยอดของสังขตธรรม

ยอดของสังขตธรรม


แม้มรรคมีองค์ ๘ ที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนเอาไว้ให้ปฏิบัติ เป็นตัวมรรคข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ ทุกข้อก็เป็นสังขาร
คือ เป็นสิ่งผสมปรุงแต่ง คือ ต้องปฏิบัติต้องกระทำ  ต้องปฏิบัติอบรมทิฏฐิ
คือความเห็นให้เห็นถูกเห็นชอบ จึงจะเป็นสัมมาทิฏฐิ ต้องปฏิบัติอบรมความดำริให้ถูกให้ชอบ จึงจะเป็นสัมมาสังกัปปะความดำริชอบ
ต้องปฏิบัติต้องกระทำกรรมทางกายให้ถูกให้ชอบ เว้นจากที่ไม่ถูกไม่ชอบ จึงจะเป็นสัมมากัมมันตะ
ทางวาจาก็เหมือนกันจึงจะเป็นสัมมาวาจา ทางอาชีพก็เหมือนกันจึงจะเป็นสัมมาอาชีวะ
ความเพียรก็เหมือนกันจึงจะเป็นสัมมาวายามะ สติก็เหมือนกันจึงจะเป็นสัมมาสติ สมาธิก็เหมือนกันจึงจะเป็นสัมมาสมาธิ
คือ ต้องทำ  ต้องปฏิบัติ  ถ้าไม่ทำไม่ปฏิบัติ มรรคมีองค์ ๘ ก็ไม่มี


เพราะฉะนั้นจึงได้ตรัสเอาไว้ว่า มรรคมีองค์ ๘ นี้ เป็นยอดของสังขตธรรม ธรรมะที่ปรุงแต่งขึ้น
เพราะว่ามรรคมีองค์ ๘ นี้เมื่อได้ปรุงแต่งขึ้นจนเป็นมรรคสมังคี กำจัดกิเลสได้หมดสิ้นแล้ว ก็เสร็จกิจ ไม่ต้องปรุงแต่งกันอีกต่อไป
จึงชื่อว่าเป็นยอด เหมือนอย่างขึ้นไปถึงยอดไม้แล้ว ก็ไม่ต้องขึ้นต่อไป เมื่อขึ้นไปถึงมรรคมีองค์ ๘ ที่เป็นมรรคสมังคีแล้ว
กำจัดกิเลสได้หมดสิ้นแล้ว ก็เป็นอันว่าหมดกิจไม่ต้องขึ้น ไม่ต้องทำกันต่อไป เสร็จกิจ เพราะฉะนั้นจึงเป็นสังขารคือสิ่งผสมปรุงแต่ง


แต่ว่าปรุงแต่งมรรคมีองค์ ๘ ก็นับเข้าว่าเป็นปุญญาภิสังขารปรุงแต่งบุญ และก็นับเข้าในข้ออเนญชาภิสังขาร
ปรุงแต่งอเนญชาเพราะมีสมาธิอยู่ด้วย


สังขารทั้งปวงนี้ คือสิ่งผสมปรุงแต่ง การผสมปรุงแต่งทั้งปวงนี้ มีเพราะอวิชชา เมื่อมีอวิชชาจึงมีการผสมปรุงแต่ง
ดังจะพึงเห็นได้ว่าเพราะมีอวิชชา จึงได้มีชาติความเกิดขึ้นมา เป็นสังขาร ๓ กายสังขาร วจีสังขาร จิตสังขาร
และเมื่อมีสังขาร ๓ ก็แปลว่ามีขันธ์ ๕ บริบูรณ์ มีกายใจบริบูรณ์ ก็ทำบุญทำบาปทำสมาธิกันได้ ปฏิบัติในมรรคมีองค์ ๘ ได้
และการปฏิบัติแม้ที่เป็นบุญ ก็เพราะว่าเพื่อที่จะชำระบาป ชำระกิเลส ซึ่งมีอวิชชานั่นแหละเป็นหัวหน้า
ถ้าหากว่าไม่มีอวิชชาแล้ว คือดับอวิชชาเสียได้แล้ว ก็ไม่ต้องทำบุญไม่ต้องทำบาปกันต่อไป เรียกว่าเสร็จกิจ


การที่ต้องทำบุญอยู่นั้นก็เพราะว่า มีบาปที่จะต้องละ  มีกิเลสที่จะต้องละ  มีอวิชชาที่จะต้องละ
จึงต้องทำบุญ ต้องปฏิบัติในมรรคมีองค์ ๘ ต้องปฏิบัติในศีลในสมาธิในปัญญากัน และเมื่อยังมีอวิชชาก็ต้องทำบาป เพราะความไม่รู้
เพราะฉะนั้น จึงต้องทำบาปทำบุญกันอยู่ ต้องทำสมาธิกันอยู่ ทำบุญก็เพื่อละบาปละกิเลส และจะทำบาปก่อกิเลสกันอยู่ก็เพราะยังมีอวิชชา


เพราะฉะนั้นจึงแปลว่าต้องมีกิจที่จะต้องทำ พระพุทธเจ้าจึงได้ตรัสสอนเอาไว้ว่า
พึงอบรมศีลสมาธิปัญญา ตราบเท่าจนถึงสิ้นความติดใจยินดี บรรลุนิพพานดับกิเลสและกองทุกข์ได้หมดสิ้น
คือแปลว่าเมื่อดับกิเลสได้หมดสิ้นแล้ว ดับอวิชชาได้แล้ว อวิชชาเป็นหัวหน้าใหญ่ของกิเลสทั้งหลาย
หรือจะว่าอาสวะเป็นหัวหน้าใหญ่ของกิเลสทั้งหลายก็ได้


เมื่อดับได้แล้วก็เป็นอันว่าเสร็จกิจ ไม่ต้องปรุงไม่ต้องแต่งกันต่อไป ดังที่ตรัสเอาไว้ว่าจิตถึงวิสังขาร
คือธรรมะที่ปราศจากความปรุงแต่ง ไม่มีความปรุงแต่ง อันหมายถึงนิพพาน เพราะสิ้นตัณหาทั้งหลาย ก็เป็นอันว่าจิตนี้หยุดปรุงแต่ง
เพราะละอวิชชาได้ จิตประกอบด้วยวิชชาคือความรู้แจ่มแจ้งถูกต้องตามความเป็นจริง วิมุติคือความหลุดพ้น เรียกว่า เป็นจิตที่รู้พ้น

--------------------------

เนื้อหาบางส่วนจากธรรมอบรมจิต
สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
http://www.dharma-gateway.com/monk/preach/somdej/sd-102.htm
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่