สรุปการที่ไทยไม่เคยเป็นเมืองขึ้นของใครมันเป็นข้อดีหรือข้อเสียเนี่ย

ภาษาไม่ได้
ผังเมืองห่วยแตก
ยูต่างๆไม่ค่อยให้ทุน(ลองไปดูยูในอังกฤษ ฝรั่งเศสและอีกหลายประเทศ แทบไม่ค่อยมีทุนให้คนไทยแบบเจาะจง แต่ชาติที่เคยเป็นเมืองขึ้นเค้านี่จะแจกทุนให้เฉพาะเลยเยอะมาก)
ปล.(เพิ่ม) ขอบคุณคห.ที่มาตอบแบบให้ความรู้และมีเหตุมีผลนะคะ คิดว่าส่วนมากมาจากห้องสมุดกับหว้ากอ ส่วนคนที่มาประชดนี่บอกเลย very Thai  มาก มันบ่งบอกอะนะว่าแค่ตอบแบบมีสาระคุณยังทำไม่ได้ เอาอารมณ์เป็นใหญ่
อยากบอกว่า เราแค่ถามตั้งประเด็นเพราะอยากได้ความรู้เฉยๆ จ้ะ
^^'
ส่วนภาษาเรา IELTS 8.0 คะแนนภาษาที่สามระดับB2 85 คะแนนจ้ะ
แก้ไขข้อความเมื่อ
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 1






[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้





http://pantip.com/topic/31413916
ความคิดเห็นที่ 9
ถ้าให้ผมเลือกได้ ก็เอาไม่เคยเป็นเมืองขึ้นใคร ดีกว่า  
หวังผลประโยชน์เล็กน้อย  แลกกับให้ปู่ย่าตายาย ลำบาก ไม่คุ้มครับ  

ลองคิดดูว่า ให้ไทยเป็นเมืองขึ้นฝรั่ง วันนี้   แลกกับรุ่นหลานเราได้ประโยชน์ ผมไม่เอาแน่ๆครับ

ถ้าเป็นเมืองขึ้น เขาจะมาตัดไม้ สูบนำ้มัน  หรือสร้างหลุมเก็บกากขยะนิวเคลียร์ในบ้านเราก็ได้   เดินเจอหน้ากัน ฝรั่งไม่พอใจ เอารองเท้าตบหน้าเรา จะไปฟ้องใครก็ไม่ได้     อย่าคิดว่าฝรั่งดีหมดทุกคน    เขาจะไม่วางผังเมืองให้เราก็ได้  ไม่ได้สัญญาไว้ซักหน่อย

เรื่องภาษา  เอาภาษาไทยให้ดีซักภาษาก่อนเถอะครับ  (ผมว่า คนไทยก็เก่งภาษาอังกฤษพอสมควรนะ   เป็นคนอินเดีย พม่า ฮ่องกง  ถ้าไม่ขยันศึกษา ภาษาอังกฤษมันก็ไม่ดีขึ้นมาโดยอัตโนมัตหรอกครับ )

วันนึง ถ้าลูกคุณมาบอกว่า พ่อน่าจะเป็นคนใช้บ้านเศรษฐีนะ  ผมจะได้รู้จักคนใหญ่คนโตบ้าง    ฟังแล้วคงสลด
ความคิดเห็นที่ 4
คหสต. มันก็มีทั้งข้อดีและข้อเสียแหละครับ

ข้อดีคือมันเป็นความภาคภูมิใจอย่างหนึ่ง เราจะได้รู้ถึงคุณค่าของบ้านเมืองที่บรรพบุรุษปกป้องเอาไว้ (ถึงผมจะมองว่าการตกเป็นเมืองขึ้นจะทำให้รู้คุณค่าของบ้านเมืองตัวเองมากกว่าก็เถอะ)

ข้อเสียคือเราดันภูมิใจเกินไป เอาแต่หลงคิดว่าเราไม่เป็นเมืองขึ้นใคร เราเก่งอย่างโน้นเก่งอย่างนี้ ซึ่งการภูมิใจแบบนี้ก็ไม่ใช่เรื่องผิด บรรพบุรุษเราเก่งที่รักษาเอกราชไว้ได้
แต่มันผิดที่เรามัวแต่ภูมิใจอยู่กับอดีตจนเราไม่ได้มาสนใจสภาพบ้านเมืองในปัจจุบันเท่าที่ควร ทำให้เป็นอย่างที่เห็นกันทุกวันนี้
ความคิดเห็นที่ 25
คิดยังไง ที่ H.G. Wells กล่าวว่า "สยามไม่เคยให้อะไรแก่โลกเลย มีแต่เอาประโยชน์จากโลก"
H.G. Wells กล่าวว่า "สยามไม่เคยให้อะไรแก่โลก" จริง หรือเพียงมโนเอาเองของคนเปิดประเด็น

สรุป
จริงหรือที่ H. G. Wells กล่าวว่า 'สยามไม่เคยให้อะไรแก่โลกเลย มีแต่เอาประโยชน์จากโลก'

สรุปคือ เฮียแกไม่เคยพูดแบบนั้นนะ แต่โดนฤๅษีแปลงสาร ดังนั้นลบภาพนั้นทิ้งได้แล้ว ไม่ต้องเอามาใช้ต่อ
(แต่เราจำได้ว่า ภาพที่เอามาใช้นี้ ถูกใช้ก่อนสองกระทู้นี้อีกนะ และภาพนั้นเป็นประเด็นที่ทำให้สองกระทู้นี้เกิดขึ้นมาด้วยซ้ำ)

ซึ่งที่รู้สึกเคืองและอคติก็เรื่องเอาภาพเดิม ๆ มาใช้ตลอดนี้แหละ เพราะมันเป็นการก็อปเพสต์ใช้เรื่องเดิมมาลงซ้ำ
มันเหมือนกับไม่จริงใจและใส่ใจกับผู้ถามและผู้ร่วมตอบกระทู้อื่นสักเท่าไหร่ แน่นอนบางเรื่องก็ไม่เห็นจะเชื่อมโยงกันเท่าไหร่แต่ก็อปมาตอบซ้ำซะงั้น
ทำให้ดูเหมือนบอท ที่ไม่มีการพัฒนามีการเรียนรู้หรือการโต้ตอบกับผู้อื่นสักเท่าไหร่
ซึ่งเห็นต่างก็ไม่เท่าไหร่หรอก เพราะอย่างน้อยมันก็มีประเด็นที่จะให้พูดคุยกันได้ แต่การเอาภาพเดิม ๆ ซ้ำ ๆ มาลง แปลว่าไม่คิดจะสื่อสารหรือรับฟังกับใครแล้ว



ก็อปเพสต์ภาพเดิมซ้ำอีกแล้ว สงสัยไม่ได้เข้าไปอ่านแหง ๆ
ต้องก็อปลงมาทั้งดุ้นเสียแล้ว (จากเว็บบล็อกข้างบนนั้นนั่นแหละ)




จริงหรือที่ H. G. Wells กล่าวว่า 'สยามไม่เคยให้อะไรแก่โลกเลย มีแต่เอาประโยชน์จากโลก'

ตามหัวข้อบล็อกนี้ล่ะค่ะ เมื่อสักสัปดาห์หนึ่งมาแล้วมีกระทู้ใน Pantip (tag วิทยาศาสตร์) ที่ตั้งไว้ว่า 'คิดยังไง ที่ H.G. Wells กล่าวว่า สยามไม่เคยให้อะไรแก่โลกเลย มีแต่เอาประโยชน์จากโลก'

โดย จขกท. เอาข้อความนี้มาจากบล็อก 'คนไทยไม่เคยให้อะไรแก่โลก (ตอนที่ ๑)' ซึ่งบอกว่า หลายปีก่อนพี่ชายสุดที่รักให้หนังสือมาอ่านเล่มหนึ่ง ถ้าจำไม่ผิดชื่อ "พระเจ้ากรุงสยาม" แต่งโดย ส.ธรรมยศ ผมอ่านด้วยความสนุกมาก มีตอนหนึ่ง ส.ฯ เล่าว่า HG. Wells (นักประพันธ์ชื่อดังของอังกฤษ) เคยเขียนไว้ว่า "สยามไม่เคยให้อะไรแก่โลกเลย มีแต่เอาประโยชน์จากโลก"

กับอีกแหล่งที่กล่าวเลยโดยไม่ได้อ้างใครคือบทความ 'ประชาธิปไตย+ทุนนิยม = หายนะ' ที่ขอยกข้อความมา H.G. Wells นักประพันธ์ชื่อดังชาวอังกฤษผู้ล่วงลับเคยกล่าวอย่างเหยียดหยามว่า "คนไทยไม่เคยให้อะไรกับโลกนี้เลย" คราวนี้น่าจะลองลบคำสบประมาทนี้ดูสักที ถ้าทำได้สำเร็จจะเป็นบุญอีกด้วยที่ช่วยโลกให้รอดหายนะ

สำหรับผู้ที่ไม่รู้จัก Herbert George Wells (1866-1946) คนนี้เป็นนักเขียนมีชื่อชาวอังกฤษ ถือเป็นนักเขียนนิยายวิทยาศาสตร์รุ่นบุกเบิกคู่กับ Joules Verne นิยายที่เป็นที่รู้จักก็เช่น 'The War of the Worlds', 'The Time Machine', 'The Invisible Man', 'The First Men in the Moon' และ 'The Island of Doctor Moreau' นอกจากนี้ยังมีผลงานหนังสือประวัติศาสตร์ วิจารณ์สังคมการเมือง และสิทธิมนุษยชนอีกหลายเล่ม

มีความเห็นส่วนหนึ่งที่สงสัยว่า H. G. Wells เคยพูดแบบนี้จริงหรือไม่ หรือเพียงมโนเอาเองของคนเปิดประเด็น ซึ่ง จขบ. ก็เป็นคนหนึ่งที่กังขาด้วย และอาจจะสงสัยมากเพราะค้นเน็ตยังไงก็ไม่พบ เบาะแสเดียวที่มีคือเรื่อง 'พระเจ้ากรุงสยาม' [1] ซึ่งเมื่อค้นดูในห้องสมุดก็พบว่ามีอยู่หลายเล่ม พอได้โอกาสเลยไปยืมมา

ในเล่มพบข้อความที่อ้างถึง H. G. Wells ที่หน้า 9 ตามรูปถ่าย ซึ่งดูแล้วก็สื่อความหมายไม่เหมือน ทางนี้บ่งบอกว่าไม่มีความสำคัญแต่ไม่ได้เหยียดหยาม (โดยเฉพาะถ้าอ่านบริบทและสำนวนของผู้แต่งทั้งก่อนหน้าและหลังเข้าไปด้วย)



แต่หนังสือก็ยังไม่ตอบโจทย์ว่าเอาข้อความด้านบนนี้มาจากไหน โชคดีที่บอกว่ามาจากหนังสือประวัติศาสตร์สากลซึ่งหาข้อมูลง่าย (ถ้าเป็นพวกบทสัมภาษณ์หรืออย่างอื่นจะค้นยากกว่ามาก และอาจทำให้ จขบ. ถอดใจเพราะต้องลงทุนมากเกินไป) เมื่อลองค้นดูผลงาน non-fiction ของ H. G. Wells โดยคร่าวๆ ก็พบว่ามีการเขียนถึงประเทศสยามหรือคนสยามดังนี้

ใน 'Experiment in Autobiography' [2] มีกล่าวถึงสยามสองแห่งที่หน้า 54 ที่กล่าวว่าอ่านหนังสือเกี่ยวกับประเทศต่างๆ กับที่หน้า 337 ช่วงการเสด็จประพาสยุโรปครั้งแรกที่เรือพระที่นั่งออกจากท่าและมีการยิงสลุต

There was a work, in two volumes, upon the countries of the world, which I think must have been made of bound up fortnightly parts. It was illustrated with woodcuts, the photogravure had still to come in those days, and it took me to Tibet, China, the Rocky Mountains, the forests of Brazil, Siam and a score of other lands.

And speaking of the Jubilee he saw nothing of it whatever, except that he went to see the ironclads-hundreds of 'em lying all along Spithead and the Solent for miles and miles and miles.-He went round the show twice in a steamboat accompanied by that chap! And while he was going round the King of Siam in his yacht came out of Portsmouth Harbour and every blessed ironclad let off a gun (illustration).

ใน 'The Outline of History' [3] มีกล่าวถึงสยามสี่แห่งใต้หัวข้อภาษาจีน ประวัติศาสตร์จีน และอิทธิพลของวัฒนธรรมจีน บวกกับรายชื่อประเทศที่เข้าร่วมสันนิบาตชาติ ที่หน้า 62, 73, 260, 492

A fifth region of language formation was south-eastern Asia, where there still prevails a group of languages consisting of monosyllables without any inflections, in which the tone used in uttering a word determines its meaning. This may be called the Chinese or MONOSYLLABIC group, and it includes Chinese, Burmese, Siamese, and Tibetan.

We Europeans know very little as yet of the ethnology and pre-history of southern China. There the Chinese mingle, with such kindred peoples as the Siamese and Burmese, and seem to bridge over towards the darker Dravidian peoples and towards the Malays.

China's civilization had already reached its culmination in the seventh century A.D., its crowning period was the Tang period; and though it continued to spread slowly and steadily into Annam, into Cambodia, into Siam, into Tibet, into Nepal, Korea, Mongolia, and Manchuria, there is henceforth little more than such geographical progress to record of it in this history for a thousand years.

The original membership of the league as specified in the projected Covenant was: the United States of America, Belgium, Bolivia, Brazil, the British Empire (Canada, Australia, South Africa, New Zealand, and India), China, Cuba, Ecuador, France, Greece, Guatemala, Haiti, the Hedjaz, Honduras, Italy, Japan, Liberia, Nicaragua, Panama, Peru, Poland, Portugal, Rumania, the Serb-Croat-Slovene State, Siam, Czecho-Slovakia, and Uruguay.

ในฉบับย่อ 'A Short History of the World' [4] มีคำว่าสยามอยู่หนึ่งคำ บริบทเกี่ยวกับการเผยแผ่ศาสนาพุทธออกจากอินเดียที่หน้า 166

For long centuries Buddhism and Brahminism flourished side by side, and then slowly Buddhism decayed and Brahminism in a multitude of forms replaced it. But beyond the confines of India and the realms of caste Buddhism spread—until it had won China and Siam and Burma and Japan, countries in which it is predominant to this day.

พอถึงตอนนี้ จขบ. ก็ชักจะตัน ต้องย้อนมาที่แหล่งข้อมูลอีกที ไหนๆ ข้อความที่ปรากฏอยู่ใน 'พระเจ้ากรุงสยาม' [1] ก็มีคำอังกฤษอยู่หนึ่งคำ คือ Contribute เลยลองค้นด้วยคำนี้ในเล่ม 'A Short History of the World' [4] ซึ่งกลายเป็น breakthrough อย่างไม่คาดคิด เพราะเจอข้อความที่น่าจะเป็นต้นฉบับ เพียงแต่ไม่ได้เกี่ยวกับสยามเท่านั้นแหละ

ข้อความที่คล้ายคลึงนี้ปรากฏใต้หัวข้อ LXIII European Aggression in Asia and the Rise of Japan ที่หน้า 400

But now a new Power appeared in the struggle of the Great Powers, Japan. Hitherto Japan has played but a small part in this history; her secluded civilization has not contributed very largely to the general shaping of human destinies; she has received much, but she has given little. The Japanese proper are of the Mongolian race. Their civilization, their writing and their literary and artistic traditions are derived from the Chinese. ...

จขบ. ขอแปลอย่างหยาบๆ ไว้ว่า 'แต่บัดนี้ ญี่ปุ่นก็เป็นอำนาจใหม่ที่ปรากฏขึ้นท่ามกลางการแย่งชิงของเหล่ามหาอำนาจ ก่อนหน้านั้นญี่ปุ่นมีบทบาทไม่มากในประวัติศาสตร์ อารยธรรมที่โดดเดี่ยวมีผลกระทบไม่มากต่อทิศทางชะตากรรมของมนุษย์ชาติ ประเทศนี้ได้รับ [อารยธรรมจากภายนอก] มาก แต่ให้ออกน้อย [ประชากรใน] ดินแดนญี่ปุ่นหลักเป็นชาติพันธุ์มองโกเลียน อารยธรรม อักษร วรรณกรรม และ ศิลปะวัฒนธรรม มีรากฐานมาจากของจีน ...'

ประโยคเหล่านี้เป็นเพียงบทนำของข้อความต่ออีกยาวยืดเรื่องประวัติญี่ปุ่นว่าไม่ได้มีบทบาทมากในประวัติศาสตร์โลกก่อนเปิดประเทศ ซึ่งก็ไม่ได้มีการเหยียดหยามอะไร และพูดตามตรงคือไม่ได้เข้าข้างการเผยแผ่ศาสนาคริสต์ที่ส่งผลต่อการปิดประเทศด้วย

และเมื่อเจอตรงนี้ ก็ไปค้น 'The Outline of History' [3] ซึ่งเป็นฉบับละเอียด ก็พบเวอร์ชั่นร่ายยาวกว่าในหัวข้อประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น (หน้า 454) ด้วยตามคาด

The pioneer country, however, in the recovery of the Asiatic peoples was not China, but Japan. We have outrun our story in telling of China. Hitherto Japan has played but a small part in this history; her secluded civilization has not contributed very largely to the general shaping of human destinies; she has received much, but she has given little. The original inhabitants of the Japanese Islands were probably a northern people with remote Nordic affinities, the Hairy Ainu. But the Japanese proper are of the Mongolian race. ...

สรุปด้วยข้อมูลปัจจุบันคือ H. G. Wells ไม่เคยแสดงความเห็น 'สยามไม่เคยให้อะไรแก่โลกเลย มีแต่เอาประโยชน์จากโลก' นี้เลย จึงขอเสนอเรื่องนี้ไว้เป็นบทเรียนถึงคำเล่าที่ไม่มีที่มาที่ไปหรือหลักฐานอ้างอิง

ความรู้สึก จขบ. คือ เรื่องนี้ออกมาโอละพ่อ ขึ้นต้นเป็นลําไม้ไผ่ พอเหลาลงไปกลายเป็นบ้องกัญชา (แบบว่ารู้สึกเมาจริงๆ) และถ้ามีใครเจอข้อมูลเพิ่มเติม ช่วย comment หน่อยนะคะ เพราะไม่คิดจะเขียนเปเปอร์ เลยไม่จำเป็นต้องออกแรงไล่อ่านอย่างละเอียดทุกเล่มเพื่อปิดประตูให้สนิท ^_^
[15/09/13]

เปิดเน็ตเล่นไปเล่นมา เจอบทความอีกอัน แก้รถติดด้วยสะพานลอยแบบรวดเร็วและราคาถูก (ฝากไว้ให้ไทยและโลก) ซึ่งเป็นเรื่องการสร้างสะพานโครงถัก เนื้อหาทางเทคนิคเป็นอย่างไรไม่ขอคอมเมนต์ แต่ที่ติดใจอยากเพิ่มในบล็อคนี้เพื่อความครบถ้วน คือย่อหน้าที่ว่า HG Wells นักประพันธุ์อังกฤษชื่อก้อง (เคยมาอยู่เมืองไทย) เคยเขียนไว้ว่า คนไทยไม่เคยให้อะไรแก่โลกเลย ... ทำให้เกิดสงสัยอย่างหนักอีกแล้วว่า H. G. Wells เคยมาอยู่หรือเดินทางมาเมืองไทยด้วยหรือ เพราะอย่างน้อยที่สุดในหนังสืออัตชีวประวัติ 'Experiment in Autobiography' [2] ที่เขียนขึ้นเมื่ออายุหกสิบกลางเพียงสิบกว่าปีก่อนเสียชีวิต ก็ไม่ได้พูดถึง มีใครพอทราบบ้างไหมคะ ...
[21/10/13]

ที่มา
[1] ส.ธรรมยศ. Rex Siamen Sium หรือ พระเจ้ากรุงสยาม. สำนักพิมพ์มติชน, พิมพ์ครั้งที่ 2, 455 หน้า, 2547 (พิมพ์ครั้งแรก 2495).
[2] H. G. Wells. Experiment in Autobiography. Project Gutenberg
ความคิดเห็นที่ 19
ภาษาเนี่ยไม่ต้องเป็นเมืองขึ้นมันก็ฝึกกันได้ปะ เรามีเพื่อนหลายคนที่ไม่เคยไปนอก ไม่เคยเรียนนานาชาติ แต่ภาษาอังกฤษดีมาก ฟัง พูด อ่าน เขียนกับฝรั่งได้ ภาษามันขึ้นอยู่กับการฝึกฝน บวกกับความอดทนและตั้งใจจริงเดี๋ยวมันก็ได้เอง เจอฝรั่งก็อย่าอาย เข้าไปคุย และบอกว่าอยากฝึกภาษา เราเคยไปวัดพระแก้ว เคยเห็นเด็กแต่งชุดนักเรียนคุยกับฝรั่งบ่อยๆ

ส่วนผังเมือง ฝรั่งเศส อังกฤษ วางเฉพาะเมืองหลวง หรือเมืองหลักเท่านั้นแหละ ไม่ได้วางไว้หมดทุกเมือง แต่กับแค่ผังเมืองถึงกับต้องอยากเป็นเมืองขึ้น? ไม่มีเหตุผลน่ะ ปัจจุบันจ้างมาวางผังเมืองหรือเราไปดูงานแล้วมาวางผังเองมันดีกว่าแลกเอกราชมั๊ย

ส่วนทุน เราก็เห็นมีให้เรื่อยๆหนิ ถ้าเก่งจริง คะแนนภาษาอังกฤษสูง เกรดดี ทำกิจกรรมเยอะ ไม่ยากที่จะหาทุนหรอก รุ่นพี่ที่มหาลัยได้ทุนไปเรียนต่อฝรั่งเศส เนเธอร์แลนด์ อังกฤษ เยอะอยู่ อย่าลืมว่าคนจากประเทศที่เคยเป็นเมืองขึ้นที่ได้ทุนเค้าก็ต้องเก่งอยู่แล้ว ไม่ใช่ไก่กายื่นแล้วจะได้ทุน


ส่วนตัวแล้วเราไม่อยากเป็นเมืองขึ้นหรอก มีแต่เสียกับเสีย ดูฝรั่งเศสทำกับคนเวียดนามสิ ทำกับเค้าเหมือนไม่ใช่คน ไปสูบทรัพยากรบ้านเค้าแล้ว ยังไปปฏิบัติกับเค้าแบบนี้อีก
http://www.youtube.com/watch?v=GOU45RO1JF8

นอกประเด็นแต่อยากเขียน ประเทศจะเจริญหรือไม่เจริญไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าเคยเป็นเมืองขึ้นหรือเปล่า แต่มันขึ้นอยู่กับคนในประเทศ ว่ามีวินัยแค่ไหน ดูฟิลิปปินส์สิ ภาษาอังกฤษเริ่ดแต่ประเทศไม่ไปไหน ส่วนญี่ปุ่นภาษาอังกฤษอ่อนแต่เจริญมาก แก้ที่คนประเทศก็เจริญเองแหละ ความเป็นเมืองขึ้น ภาษา ผังเมืองหรือทุนไม่ได้ช่วยหรอก
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่