หลายๆคนคงเคยได้ยินคำว่า "อกหักดีกว่ารักไม่เป็น" คำว่ารักมักมาคู่กับคำว่าอกหักเสมอ ผมว่าครั้งแรกมักจะเจ็บที่สุด ถ้าโดนครั้งต่อไปความเจ็บจะลดลง เหมือนหัวใจเรามีภูมิต้านทานเพิ่มมากขึ้น สำหรับเรื่องราวต่อไปนี้ที่ผมจะเล่าให้ฟัง มันเกิดขึ้นตอนที่ผมเพิ่งเข้ามหาวิทยาลัย ผมได้เข้าเรียนในคณะสถาปัตย์ ซึ่งเป็นคณะที่ผมรู้สึกสนุกมากทั้งการเรียนและกิจกรรม ช่วงชีวิตปี1จะเป็นปีที่เราได้ทำกิจกรรมร่วมกับเด็กคณะอื่นบ่อยมากในช่วงรับน้อง คณะสถาปัตย์เป็น1ในหลายๆคณะที่มีคาเลคเตอร์ของตัวบุคคลชัดเจนมาก ชื่อว่าหลายๆคนก็ต้องคิดว่า เราจะต้องมีแฟนเป็นเด็กคณะนี้ คณะนั้นให้ได้ ผมก็เป็น1ในเด็กปี1เกรียนๆที่อยากมีแฟนอยู่คณะมนุษย์ ซึ่งเด็กคณะนี้น่ารักซะเป็นส่วนใหญ่ แต่ก็ไม่รู้จักเริ่มต้นยังไง จนเข้าห้องเชียร์มีรุ่นพี่ ประกาศรับสมัครหลีดสันคณะสถาปัตย์ รุ่นพี่ก็ได้โฆษณาว่า ถ้าเป็นหลีดสันคณะเรานะ สาวกรี๊ด และบรรยายสรรพคุณต่างๆนานามากมาย เอาเป็นว่าผมสมัครครับ จากการเป็นหลีดสันครั้งนั้นคิดว่าจะได้เจอสาวๆ แต่ก็ไม่เลย นึกแล้วขำ แต่มันก็ทำให้เราได้อะไรมากจากการเป็นหลีดสัน
ชีวิตเด็กปี1ได้ผ่านไปช่วงนึง จนวันนึงได้พบกับเธอคนนั้น สถานการณ์ตอนนั้นคือ ผมนั่งอยู่ในรถไฟฟ้าของม.กับเพื่อนๆ และผมก็นั่งคุยกับเพื่อนเสียงดังมากในรถไฟฟ้า เเว๊ปแรกที่ผมหันกลับมา ตรงหน้าผมมีผู้หญิงคนนึง หน้าตาน่ารักมาก หน้ารูปไข่ ผิวขาว คิ้วเข้ม มวยผมเกล้าขึ้นข้างบนเป็นซาลาเปา แล้วผมก็ชำเลืองไปมองป้ายชือ พอจะเดาได้ว่าอยู่คณะมนุษย์ญี่ปุ่่น เชรดเด้ ใช่เลย ผมจึงรวบรวมความกล้าแล้วพูดว่า "เธอ เธออยู่คณะมนุษย์แจ๊ปป่ะ เธอรู้จัก พ.(ชื่อเพื่อนผมเอง)" มั้ย " เธอตอบแบบเขินๆ "รู้จักค่ะ" แล้วผมก็พูดต่อไปว่า "เราเป็นเพื่อนพ.นะ ฝากสวัสดีพ.ด้วยนะ" ด้วยระยะเวลาที่อยู่บนรถไฟฟ้าไม่นาน ผมได้จำใบหน้าเธอและชื่อเธอไว้เพื่อที่จะไปถามพ.เพื่อนของผม ว่าเธอเป็นใครมีแฟนรึยัง หลังจากที่ได้สอบถามพ.ก็ได้เบอร์โทรศัพท์มาและคุยกับผู้หญิงคนนั้นมาระยะนึง จึงตกลงคบกัน ในช่วงที่คบกันช่วงแรกก็เป็นช่วงที่หลายๆคนคงจะเดาออกว่า มีความสุข กันอย่างแน่นอน มีอยู่วันนึงก็มีคนมาบอกว่า "วันนั้นเห็นป.(ขอใช้อักษรย่อ)เดินกับผช.ดูสนิทสนมกัน " ผมก็ไม่เชื่อตราบใดที่ไม่เห็นด้วยตา ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร จนมาวันนึง ป.ได้เดินมากับผช.แล้วผมก็แค่ยิ้มๆให้ เพราะเค้าเคยบอกว่าพี่จังหวัดมาติวหนังสือให้ ผมก็โอเคคงสนิท รู้จักกันนานละ ก็เลยไม่ได้คิดไรมาก นานวันเข้าเริ่มได้ยินหนาหูขึ้น จึงได้ลองสังเกตุพฤติกรรมดูช่วงนึง ช่วงนั้นเป็นช่วงที่ผมทำงานหนักมาก เพราะงานเยอะจริงๆ จึงได้แค่โทรคุย แล้วผมนึกอะไรไม่รู้จึงโทรไปถามว่าอยู่ที่ไหน เขาบอกอยู่ลานสมเด็จฯ จากนั้นผมเลยบอกกับเพื่อนบ.ว่า ไปส่งหน่อย พอไปถึงลานสมเด็จฯ ผมได้โทรไปหา เธอกลับบอกว่ากลับแล้ว นั่นเป็นจุดเริ่มต้นที่ผมเริ่มไม่ไว้ใจแล้ว
เหตุการณ์ต่างๆที่เกิดจากความระแวง จึงทำให้ทะเลาะกันบ่อย 3วันดี4วันทะเลาะ จึงมาถึงวันที่ใกล้จะส่งไฟนอลโปรเจคของปี1 เทอม2ก่อนที่จะขึ้นปี2 ผมได้โทรหาเธอแต่เธอก็ไม่รับโทรศัพท์ จึงโทรหาเพื่อนเธอ เพื่อนเธอพูดอ้ำๆอึ้งๆ ผมจึงขี่มอเตอร์ไซด์ตามหาดู บังเอิญเจอเธอกับเพื่อนเธออยู๋ด้วยกันพอดี ผมเริ่มรู้สึกเเปลกๆ ว่าทำไมถึงออกมาจากหอนั้น เพือนเธอก็บอกให้เธอไปกับผม ผมเริ่มรู้แล้วว่า เธอกำลังคบกับอีกคนนึงอยู่ ผมถามเธอจนเธอยอมเล่าให้ฟัง เธอเล่าว่า เธอมีคนที่คบอยู่ด้วย เป็นรุ่นน้องที่บ้าน ซึ่งตอนนี้กำลังจะเข้าปีหนึ่ง ซึ่งคนนั้นก็ได้มาสอบที่ม.และเธอก็ดันไปอยู่กับเค้าคนนั้นด้วย ซึ่งผมได้ฟังแล้ว ตัวผมสั่นจนขี่มอเตอร์ไซด์ไม่ได้เลย จึงจอดเพื่อที่จะตั้งสติ หายใจลึกๆ จนใจเย็นขึ้น ภาพความทรงจำตลอดเวลา 6เดือนตกลงผมไมใช่แฟนเค้าใช่มั้ยเนี่ย ตกลงเราคบกันยังไง สถานะอะไร แล้วที่มาคบกันเพื่ออะไร แล้วพวกผช.ที่เป็นรุ่นพี่เค้าอยู่ในสถานะอะไรกัน หลังจากนั้นก็เริ่มห่างกัน แต่เธอก็ไม่ได้บอกเลิกแต่อย่างใด ค่อยๆเงียบหายไป เชื่อมั้ยว่า ผมนั่งทำงานเขียนแบบ ตัดโมเดลโดยไม่นอนเลยเป็นเวลา3วัน จนคืนสุดท้ายก่อนจะส่งเลือดกำเดาผมไหล จนเพื่อนบอกเป็นอะไร ก็ไม่ได้บอกอะไรกับเพื่อนไปจนหลังส่งงาน ก็ไปปรับทุกข์กับเพื่อน จนรู้สึกดีขึ้นมาบ้าง แต่ที่เลวร้ายมากคือ การที่บอกเลิกโดยไม่พูด ทำตัวเป็นอากาศหายไปเฉยๆ อย่างน้อยๆก็ให้เหลือมิตรภาพไว้บ้างก็ดีนะ สำหรับผมมันจะดีมากถ้าบอกมาตรงๆว่าเลิกกันเถอะ เอ่อ ลืมบอกไปว่า คนที่ผู้หญิงคนนั้นคบตั้งแต่สมัยอยู่บ้านนั้นไม่ใช่ผู้ชายแต่อย่างใด...... ใช่ครับ....คนๆนั้นเป็นทอมครับ ..... มีคำพูดหนึ่งจากหนังจีนเรื่องนึงว่า "ผู้หญิงยิ่งสวย ยิ่งโกหกเก่ง"
ซึ่งเหตุการณ์นี้ผ่านมาแล้ว7ปี เหตุการณ์ครั้งนั้น ทำให้ผมได้เรียนรู้ ข้อผิดพลาดของตัวเองที่เกิดขึ้น และปรับปรุงให้พร้อมสำหรับความรักครั้งใหม่ที่เกิดขึ้นหลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้น ตลอดระยะเวลา5ปีในรั๋วมหาวิทยาลัย ก็ได้เรียนรู้เรื่องราวความรักและอกหักครั้งแล้วครั้งเล่า สำหรับในปัจจุบันผมก็ได้คบกับผู้หญิงคนนึง(อายุเท่ากัน)ซึ่งรู้จักกันตอนปี5(คณะของเธอเรียน6ปี)ก่อนผมจะเรียนจบและก็ได้คบกันมาจนถึงปัจจุบัน
ปล.1ตอนปี5เธอมาช่วยตัดโมเดล3วันไม่นอน เธอบอกว่า วันหลังไม่มาช่วยแล้ว(โทรม)
ปล.2ไม่มีให้ตัดแล้วจบแล้ว 5555
ร่วมแชร์ประสบการณ์ความรักที่....อกหัก....ที่คุณคิดว่า คุณต้องให้ 10 กะโหลก
ชีวิตเด็กปี1ได้ผ่านไปช่วงนึง จนวันนึงได้พบกับเธอคนนั้น สถานการณ์ตอนนั้นคือ ผมนั่งอยู่ในรถไฟฟ้าของม.กับเพื่อนๆ และผมก็นั่งคุยกับเพื่อนเสียงดังมากในรถไฟฟ้า เเว๊ปแรกที่ผมหันกลับมา ตรงหน้าผมมีผู้หญิงคนนึง หน้าตาน่ารักมาก หน้ารูปไข่ ผิวขาว คิ้วเข้ม มวยผมเกล้าขึ้นข้างบนเป็นซาลาเปา แล้วผมก็ชำเลืองไปมองป้ายชือ พอจะเดาได้ว่าอยู่คณะมนุษย์ญี่ปุ่่น เชรดเด้ ใช่เลย ผมจึงรวบรวมความกล้าแล้วพูดว่า "เธอ เธออยู่คณะมนุษย์แจ๊ปป่ะ เธอรู้จัก พ.(ชื่อเพื่อนผมเอง)" มั้ย " เธอตอบแบบเขินๆ "รู้จักค่ะ" แล้วผมก็พูดต่อไปว่า "เราเป็นเพื่อนพ.นะ ฝากสวัสดีพ.ด้วยนะ" ด้วยระยะเวลาที่อยู่บนรถไฟฟ้าไม่นาน ผมได้จำใบหน้าเธอและชื่อเธอไว้เพื่อที่จะไปถามพ.เพื่อนของผม ว่าเธอเป็นใครมีแฟนรึยัง หลังจากที่ได้สอบถามพ.ก็ได้เบอร์โทรศัพท์มาและคุยกับผู้หญิงคนนั้นมาระยะนึง จึงตกลงคบกัน ในช่วงที่คบกันช่วงแรกก็เป็นช่วงที่หลายๆคนคงจะเดาออกว่า มีความสุข กันอย่างแน่นอน มีอยู่วันนึงก็มีคนมาบอกว่า "วันนั้นเห็นป.(ขอใช้อักษรย่อ)เดินกับผช.ดูสนิทสนมกัน " ผมก็ไม่เชื่อตราบใดที่ไม่เห็นด้วยตา ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร จนมาวันนึง ป.ได้เดินมากับผช.แล้วผมก็แค่ยิ้มๆให้ เพราะเค้าเคยบอกว่าพี่จังหวัดมาติวหนังสือให้ ผมก็โอเคคงสนิท รู้จักกันนานละ ก็เลยไม่ได้คิดไรมาก นานวันเข้าเริ่มได้ยินหนาหูขึ้น จึงได้ลองสังเกตุพฤติกรรมดูช่วงนึง ช่วงนั้นเป็นช่วงที่ผมทำงานหนักมาก เพราะงานเยอะจริงๆ จึงได้แค่โทรคุย แล้วผมนึกอะไรไม่รู้จึงโทรไปถามว่าอยู่ที่ไหน เขาบอกอยู่ลานสมเด็จฯ จากนั้นผมเลยบอกกับเพื่อนบ.ว่า ไปส่งหน่อย พอไปถึงลานสมเด็จฯ ผมได้โทรไปหา เธอกลับบอกว่ากลับแล้ว นั่นเป็นจุดเริ่มต้นที่ผมเริ่มไม่ไว้ใจแล้ว
เหตุการณ์ต่างๆที่เกิดจากความระแวง จึงทำให้ทะเลาะกันบ่อย 3วันดี4วันทะเลาะ จึงมาถึงวันที่ใกล้จะส่งไฟนอลโปรเจคของปี1 เทอม2ก่อนที่จะขึ้นปี2 ผมได้โทรหาเธอแต่เธอก็ไม่รับโทรศัพท์ จึงโทรหาเพื่อนเธอ เพื่อนเธอพูดอ้ำๆอึ้งๆ ผมจึงขี่มอเตอร์ไซด์ตามหาดู บังเอิญเจอเธอกับเพื่อนเธออยู๋ด้วยกันพอดี ผมเริ่มรู้สึกเเปลกๆ ว่าทำไมถึงออกมาจากหอนั้น เพือนเธอก็บอกให้เธอไปกับผม ผมเริ่มรู้แล้วว่า เธอกำลังคบกับอีกคนนึงอยู่ ผมถามเธอจนเธอยอมเล่าให้ฟัง เธอเล่าว่า เธอมีคนที่คบอยู่ด้วย เป็นรุ่นน้องที่บ้าน ซึ่งตอนนี้กำลังจะเข้าปีหนึ่ง ซึ่งคนนั้นก็ได้มาสอบที่ม.และเธอก็ดันไปอยู่กับเค้าคนนั้นด้วย ซึ่งผมได้ฟังแล้ว ตัวผมสั่นจนขี่มอเตอร์ไซด์ไม่ได้เลย จึงจอดเพื่อที่จะตั้งสติ หายใจลึกๆ จนใจเย็นขึ้น ภาพความทรงจำตลอดเวลา 6เดือนตกลงผมไมใช่แฟนเค้าใช่มั้ยเนี่ย ตกลงเราคบกันยังไง สถานะอะไร แล้วที่มาคบกันเพื่ออะไร แล้วพวกผช.ที่เป็นรุ่นพี่เค้าอยู่ในสถานะอะไรกัน หลังจากนั้นก็เริ่มห่างกัน แต่เธอก็ไม่ได้บอกเลิกแต่อย่างใด ค่อยๆเงียบหายไป เชื่อมั้ยว่า ผมนั่งทำงานเขียนแบบ ตัดโมเดลโดยไม่นอนเลยเป็นเวลา3วัน จนคืนสุดท้ายก่อนจะส่งเลือดกำเดาผมไหล จนเพื่อนบอกเป็นอะไร ก็ไม่ได้บอกอะไรกับเพื่อนไปจนหลังส่งงาน ก็ไปปรับทุกข์กับเพื่อน จนรู้สึกดีขึ้นมาบ้าง แต่ที่เลวร้ายมากคือ การที่บอกเลิกโดยไม่พูด ทำตัวเป็นอากาศหายไปเฉยๆ อย่างน้อยๆก็ให้เหลือมิตรภาพไว้บ้างก็ดีนะ สำหรับผมมันจะดีมากถ้าบอกมาตรงๆว่าเลิกกันเถอะ เอ่อ ลืมบอกไปว่า คนที่ผู้หญิงคนนั้นคบตั้งแต่สมัยอยู่บ้านนั้นไม่ใช่ผู้ชายแต่อย่างใด...... ใช่ครับ....คนๆนั้นเป็นทอมครับ ..... มีคำพูดหนึ่งจากหนังจีนเรื่องนึงว่า "ผู้หญิงยิ่งสวย ยิ่งโกหกเก่ง"
ซึ่งเหตุการณ์นี้ผ่านมาแล้ว7ปี เหตุการณ์ครั้งนั้น ทำให้ผมได้เรียนรู้ ข้อผิดพลาดของตัวเองที่เกิดขึ้น และปรับปรุงให้พร้อมสำหรับความรักครั้งใหม่ที่เกิดขึ้นหลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้น ตลอดระยะเวลา5ปีในรั๋วมหาวิทยาลัย ก็ได้เรียนรู้เรื่องราวความรักและอกหักครั้งแล้วครั้งเล่า สำหรับในปัจจุบันผมก็ได้คบกับผู้หญิงคนนึง(อายุเท่ากัน)ซึ่งรู้จักกันตอนปี5(คณะของเธอเรียน6ปี)ก่อนผมจะเรียนจบและก็ได้คบกันมาจนถึงปัจจุบัน
ปล.1ตอนปี5เธอมาช่วยตัดโมเดล3วันไม่นอน เธอบอกว่า วันหลังไม่มาช่วยแล้ว(โทรม)
ปล.2ไม่มีให้ตัดแล้วจบแล้ว 5555