คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 2
นานาปัญหา โดย คณะสหายธรรม
http://www.84000.org/tipitaka/book/nana.php?q=22
๒๒. พระพุทธเจ้าห้ามสาวกกินเนื้อสัตว์หรือไม่
ถาม พระพุทธเจ้าของเราห้ามภิกษุ พุทธสาวก พุทธบริษัท ฉันหรือกินเนื้อสัตว์หรือไม่ หรือว่าห้ามกินเนื้อบางชนิดเท่านั้น
ตอบ พระพุทธเจ้ามิได้ทรงห้ามภิกษุฉันเนื้อสัตว์เลย แม้พระองค์เองก็เสวยเนื้อสัตว์ที่มีผู้ปรุงถวาย แต่จะไม่เสวยและฉันเนื้อที่ไม่บริสุทธิ์โดยส่วน ๓ คือที่ได้เห็น ได้ยิน และที่รังเกียจกับเนื้อต้องห้าม ๑๐ อย่าง มีเนื้อมนุษย์เป็นต้น ตามที่ได้กล่าวแล้วในปัญหาข้อต้นๆ เพราะถ้าทรงห้ามแล้ว พระองค์ก็คงจะไม่ทรงอนุญาตให้ภิกษุฉันปลาและเนื้อตามที่พระเทวทัตทูลขอวัตถุ ๕ ประการแล้ว
นั่นคือ พระเทวทัตขอมิให้ภิกษุฉันปลาและเนื้อจนตลอดชีวิต แต่พระพุทธองค์มิได้ทรงอนุญาตตามที่ท่านพระเทวทัตขอ เพราะฉะนั้นจึงเป็นอันว่าภิกษุฉันปลาและเนื้อได้ หรือท่านใดไม่ฉันก็ได้ ใครพอใจอย่างใดก็ทำอย่างนั้น แม้พุทธบริษัท หรือใครก็ตาม พระองค์ก็มิได้ทรงห้ามการกินปลากินเนื้อ ทรงสอนแต่มิให้ฆ่าสัตว์เองหรือสั่งให้ผู้อื่นฆ่าเท่านั้น แต่มิได้ทรงห้ามไปถึงการกินปลากินเนื้อที่มิได้ฆ่าเอง หรือสั่งเขาฆ่าเพื่อตน เพราะการฆ่าหรือการสั่งให้เขาฆ่า ไม่ว่าจะเพื่อกินเองหรือเพื่อเอาไปทำบุญถวายพระ ก็เป็นบาปกรรมล่วงศีลข้อปาณาติบาตทั้งสิ้น
ใน อามคันธสูตร อรรถกถาก็ได้เล่าถึงดาบสพวกหนึ่งที่ถือว่า ปลาและเนื้อเป็นกลิ่นดิบ ไม่ควรบริโภค แต่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ปลาและเนื้อไม่ใช่กลิ่นดิบ แต่กิเลสทั้งปวงที่เป็นบาปเป็นอกุศลต่างหาก ชื่อว่าเป็นกลิ่นดิบ
สรุปว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ทรงห้ามการฉันปลาและเนื้อ ทั้งพระองค์และภิกษุก็ฉันปลาและเนื้อที่เป็นกัปปิยะ คือไม่ผิดวินัยบัญญัติ เป็นของสมควรบริโภค อันได้แก่ปลาและเนื้อที่บริสุทธิ์โดยส่วนสาม อันได้กล่าวมาแล้ว กับไม่ฉันเนื้อที่ต้องห้าม ๑๐ ชนิด เว้นจากนี้แล้วก็ฉันได้ ไม่มีข้อขัดข้องประการใด
________________________________________
ที่มา อ้างอิง และแนะนำ :-
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๗
ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ-ธรรมบท-อุทาน-อิติวุตตกะ-สุตตนิบาต
อามคันธสูตร
http://www.84000.org/tipitaka/book/v.php?B=25&A=7747&Z=7809
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๗ พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๗
จุลวรรค ภาค ๒
เรื่องวัตถุ ๕ ประการ
พระเทวทัตทูลขอวัตถุ ๕ ประการ
พระเทวทัตโฆษณาวัตถุ ๕ ประการ
http://www.84000.org/tipitaka/book/v.php?B=7&A=3770&Z=3863
พระไตรปิฏก เล่มที่ ๕ พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๕
มหาวรรค ภาค ๒
พระพุทธบัญญัติห้ามฉันเนื้อมนุษย์ เป็นต้น
http://www.84000.org/tipitaka/book/v.php?B=5&A=1372&Z=1508
เรื่องสีหะเสนาบดี
http://www.84000.org/tipitaka/book/v.php?B=5&A=1924&Z=2100
****************************************
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๙ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑
ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค
พระสุตตันตปิฎก
เล่ม ๑
ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
๑. พรหมชาลสูตร
เรื่องสุปปิยปริพาชกกับพรหมทัตตมานพ
เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๙ บรรทัดที่ ๑ - ๑๐๗๑. หน้าที่ ๑ - ๔๔.
http://www.84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=9&A=1&Z=1071&pagebreak=0
ศึกษาอรรถกถานี้ ได้ที่ :-
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=9&i=1
วรรณนาจุลศีล
บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้ามีพระพุทธประสงค์จะทรงแก้เนื้อความที่ได้ตรัสถามด้วยกเถตุกัมยตาปุจฉานั้น จึงตรัสพระบาลีอาทิว่า ปาณาติปาตํ ปหาย ดังนี้.
ในคำว่า ละปาณาติบาต. ปาณาติบาต แปลว่า ทำสัตว์มีชีวิตให้ตกล่วงไป. อธิบายว่า ฆ่าสัตว์ ปลงชีพสัตว์.
ก็ในคำว่า ปาณะ นี้ โดยโวหาร ได้แก่สัตว์. โดยปรมัตถ์ ได้แก่ชีวิตินทรีย์.
อนึ่ง เจตนาฆ่าอันเป็นเหตุยังความพยายามตัดรอนชีวิตินทรีย์ให้ตั้งขึ้น เป็นไปทางกายทวารและวจีทวาร ทางใดทางหนึ่งของผู้มีความสำคัญในชีวิตนั้นว่าเป็นสัตว์มีชีวิต ชื่อว่าปาณาติบาต.
ปาณาติบาตนั้น ชื่อว่ามีโทษน้อย ในสัตว์เล็ก. บรรดาสัตว์ที่เว้นจากคุณมีสัตว์เดรัจฉานเป็นต้น ชื่อว่ามีโทษมาก ในเพราะสัตว์มีร่างกายใหญ่.
เพราะเหตุไร? เพราะต้องขวนขวายมาก.
แม้เมื่อมีความพยายามเสมอกัน ก็มีโทษมาก เพราะมีวัตถุใหญ่. ในบรรดาสัตว์ที่มีคุณมีมนุษย์เป็นต้น สัตว์มีคุณน้อยมีโทษน้อย สัตว์มีคุณมากมีโทษมาก. แม้เมื่อมีสรีระและคุณเท่ากัน ก็พึงทราบว่า มีโทษน้อยเพราะกิเลสและความพยายามอ่อน มีโทษมากเพราะกิเลสและความพยายามแรงกล้า.
ปาณาติบาตนั้นมีองค์ ๕ คือ
๑. ปาโณ สัตว์มีชีวิต
๒. ปาณสญฺญิตา ตนรู้ว่าสัตว์มีชีวิต
๓. วธกจิตฺตํ จิตคิดจะฆ่า
๔. อุปกฺกโม มีความพยายาม ( ลงมือทำ )
๕. เตน มรณํ สัตว์ตายด้วยความพยายามนั้น.
ปาณาติบาตนั้นมีประโยค ๖ คือ
๑. สาหัตถิกประโยค ประโยคที่ฆ่าด้วยมือตนเอง
๒. อาณัตติกประโยค ประโยคที่สั่งให้คนอื่นฆ่า
๓. นิสสัคคิยประโยค ประโยคที่ฆ่าด้วยอาวุธที่ซัดไป
๔. ถาวรประโยค ประโยคที่ฆ่าด้วยอุปกรณ์ที่อยู่กับที่
๕. วิชชามยประโยค ประโยคที่ฆ่าด้วยวิชา
๖. อิทธิมยประโยค ประโยคที่ฆ่าด้วยฤทธิ์.
--------------------------------
พระอภิธัมมัตถสังคหะ
๑. ปาณาติบาต มีองค์ ๕
http://abhidhamonline.org/aphi/p5/059.htm
จากคู่มือการศึกษาพระอภิธัมมัตถสังคหะ ปริเฉทที่ ๕ อภิธรรมมูลนิธิ
แสดงปาณาติบาตกรรมโดยมหาสาวัชชะ และอัปปสาวัชชะ
การฆ่าสัตว์จะมีโทษมาก คือ มหาสาวัชชะ หรือมีโทษน้อย คืออัปปสาวัชชะ ย่อมขึ้นอยู่กับสัตว์ที่ถูกฆ่า และความพยายามของผู้ฆ่า ซึ่งต้องอาศัยหลักเกณฑ์ในการพิจารณา ๓ ประการด้วยกันคือ
๑. ร่างกายของสัตว์ที่ถูกฆ่า ถ้าเป็นสัตว์ใหญ่ เช่น ช้าง ม้า โค กระบือ เป็นต้น ก็มีโทษเป็นมหาสาวัชชะ เพราะชีวิตนวกลาปของสัตว์พวกนี้ถูกทำลายลงเป็นจำนวนมาก แต่ถ้าสัตว์ที่ถูกฆ่าเป็นสัตว์เล็ก เช่น มด ยุง ริ้น ไร เป็นต้น ก็มีโทษน้อย เป็นอัปปสาวัชชะ
๒. คุณธรรมของสัตว์ที่ถูกฆ่า ในระหว่างสัตว์เดรัจฉานกับมนุษย์ ฆ่ามนุษย์มีโทษมากกว่าสัตว์เดรัจฉาน เพราะมนุษย์เป็นสัตว์ประเสริฐกว่าสัตว์เดรัจฉาน
สำหรับการฆ่ามนุษย์กับมนุษย์ด้วยกัน ฆ่าผู้ที่มีศีลธรรม เช่น ภิกษุ, สามเณร, อุบาสก, อุบาสิกา เป็นต้น มีโทษมากกว่าฆ่าผู้ที่ไม่มีศีลธรรม เช่น โจรผู้ร้าย เป็นต้น ย่อมมีโทษน้อยกว่า ถ้าผู้ถูกฆ่าเป็น บิดา, มารดา, พระอรหันต์ เป็นอนันตริยกรรม ยิ่งมีโทษมากเป็นพิเศษ
๓. ความพยายามของผู้ฆ่า อาศัยตัดสินโดยปโยคะ คือในขณะที่ฆ่านั้นได้ใช้ความพยายามมากหรือน้อย ถ้าใช้ความพยายามมากก็มีโทษมาก ถ้าใช้ความพยายามน้อยก็มีโทษน้อย
อนึ่ง ถ้าผู้กระทำปาณาติบาตกรรมโดยรู้ว่าการกระทำเช่นนี้เป็นอกุศลกรรม มีโทษไม่ควรทำ แต่ก็ได้กระทำลงไปด้วยเหตุใดเหตุหนึ่งก็ตามย่อมมีโทษน้อยกว่าผู้กระทำปาณาติบาตกรรม โดยไม่รู้ว่าการกระทำเช่นนี้เป็นอกุศลมีโทษไม่ควรทำ แต่ก็ได้กระทำลงไป ทั้งนี้เพราะผู้ไม่รู้จักอกุศลย่อมเป็นผู้ประกอบด้วยมิจฉาทิฏฐิอย่างแรงกล้า ฉะนั้นจึงต้องได้รับโทษมากเป็นมหาสาวัชชะ อุปมาเหมือนช่างตีเหล็กเผาก้อนเหล็กจนร้อนจัดแล้วเอาออกจากเตามาวางไว้ ช่างตีเหล็กนั้นย่อมรู้ว่าก้อนเหล็กนั้นร้อน ฉะนั้นเมื่อจำเป็นจะต้องเอามือไปจับก้อนเหล็ก ก็ย่อมรู้ประมาณในความร้อนไม่จับมั่นคั้นหมายลงไปเต็มที่ แต่ถ้าผู้ที่มาภายหลังไม่รู้ว่าก้อนเหล็กนั้นร้อน มีความอยากรู้ย่อมจับก้อนเหล็กนั้นอย่างเต็มที่ จนทำให้ไหม้มือเกรียมไป ข้อนี้ฉันใด ผู้ที่รู้ว่าการกระทำเช่นนี้เป็นอกุศลกับผู้ที่ไม่รู้ว่าการกระทำเช่นนี้เป็นอกุศล โทษที่พึงได้รับของทั้งสองคนย่อมมากน้อยต่างกันฉันนั้น
----------------------------------------------------
หลักเกณฑ์การพิจารณาในเรื่องเจตนา กับไม่เจตนา จากอรรถกถา ในพระวินัย มาประกอบดังนี้
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=01&i=187
[ภิกษุฆ่าพ่อแม่เป็นต้นเป็นอนันตริยกรรมและปาราชิก]
[ภิกษุฆ่าพ่อแม่เป็นต้นในกองฟางไม่ต้องปาราชิก
http://www.84000.org/tipitaka/book/nana.php?q=22
๒๒. พระพุทธเจ้าห้ามสาวกกินเนื้อสัตว์หรือไม่
ถาม พระพุทธเจ้าของเราห้ามภิกษุ พุทธสาวก พุทธบริษัท ฉันหรือกินเนื้อสัตว์หรือไม่ หรือว่าห้ามกินเนื้อบางชนิดเท่านั้น
ตอบ พระพุทธเจ้ามิได้ทรงห้ามภิกษุฉันเนื้อสัตว์เลย แม้พระองค์เองก็เสวยเนื้อสัตว์ที่มีผู้ปรุงถวาย แต่จะไม่เสวยและฉันเนื้อที่ไม่บริสุทธิ์โดยส่วน ๓ คือที่ได้เห็น ได้ยิน และที่รังเกียจกับเนื้อต้องห้าม ๑๐ อย่าง มีเนื้อมนุษย์เป็นต้น ตามที่ได้กล่าวแล้วในปัญหาข้อต้นๆ เพราะถ้าทรงห้ามแล้ว พระองค์ก็คงจะไม่ทรงอนุญาตให้ภิกษุฉันปลาและเนื้อตามที่พระเทวทัตทูลขอวัตถุ ๕ ประการแล้ว
นั่นคือ พระเทวทัตขอมิให้ภิกษุฉันปลาและเนื้อจนตลอดชีวิต แต่พระพุทธองค์มิได้ทรงอนุญาตตามที่ท่านพระเทวทัตขอ เพราะฉะนั้นจึงเป็นอันว่าภิกษุฉันปลาและเนื้อได้ หรือท่านใดไม่ฉันก็ได้ ใครพอใจอย่างใดก็ทำอย่างนั้น แม้พุทธบริษัท หรือใครก็ตาม พระองค์ก็มิได้ทรงห้ามการกินปลากินเนื้อ ทรงสอนแต่มิให้ฆ่าสัตว์เองหรือสั่งให้ผู้อื่นฆ่าเท่านั้น แต่มิได้ทรงห้ามไปถึงการกินปลากินเนื้อที่มิได้ฆ่าเอง หรือสั่งเขาฆ่าเพื่อตน เพราะการฆ่าหรือการสั่งให้เขาฆ่า ไม่ว่าจะเพื่อกินเองหรือเพื่อเอาไปทำบุญถวายพระ ก็เป็นบาปกรรมล่วงศีลข้อปาณาติบาตทั้งสิ้น
ใน อามคันธสูตร อรรถกถาก็ได้เล่าถึงดาบสพวกหนึ่งที่ถือว่า ปลาและเนื้อเป็นกลิ่นดิบ ไม่ควรบริโภค แต่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ปลาและเนื้อไม่ใช่กลิ่นดิบ แต่กิเลสทั้งปวงที่เป็นบาปเป็นอกุศลต่างหาก ชื่อว่าเป็นกลิ่นดิบ
สรุปว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ทรงห้ามการฉันปลาและเนื้อ ทั้งพระองค์และภิกษุก็ฉันปลาและเนื้อที่เป็นกัปปิยะ คือไม่ผิดวินัยบัญญัติ เป็นของสมควรบริโภค อันได้แก่ปลาและเนื้อที่บริสุทธิ์โดยส่วนสาม อันได้กล่าวมาแล้ว กับไม่ฉันเนื้อที่ต้องห้าม ๑๐ ชนิด เว้นจากนี้แล้วก็ฉันได้ ไม่มีข้อขัดข้องประการใด
________________________________________
ที่มา อ้างอิง และแนะนำ :-
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๗
ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ-ธรรมบท-อุทาน-อิติวุตตกะ-สุตตนิบาต
อามคันธสูตร
http://www.84000.org/tipitaka/book/v.php?B=25&A=7747&Z=7809
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๗ พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๗
จุลวรรค ภาค ๒
เรื่องวัตถุ ๕ ประการ
พระเทวทัตทูลขอวัตถุ ๕ ประการ
พระเทวทัตโฆษณาวัตถุ ๕ ประการ
http://www.84000.org/tipitaka/book/v.php?B=7&A=3770&Z=3863
พระไตรปิฏก เล่มที่ ๕ พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๕
มหาวรรค ภาค ๒
พระพุทธบัญญัติห้ามฉันเนื้อมนุษย์ เป็นต้น
http://www.84000.org/tipitaka/book/v.php?B=5&A=1372&Z=1508
เรื่องสีหะเสนาบดี
http://www.84000.org/tipitaka/book/v.php?B=5&A=1924&Z=2100
****************************************
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๙ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑
ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค
พระสุตตันตปิฎก
เล่ม ๑
ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
๑. พรหมชาลสูตร
เรื่องสุปปิยปริพาชกกับพรหมทัตตมานพ
เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๙ บรรทัดที่ ๑ - ๑๐๗๑. หน้าที่ ๑ - ๔๔.
http://www.84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=9&A=1&Z=1071&pagebreak=0
ศึกษาอรรถกถานี้ ได้ที่ :-
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=9&i=1
วรรณนาจุลศีล
บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้ามีพระพุทธประสงค์จะทรงแก้เนื้อความที่ได้ตรัสถามด้วยกเถตุกัมยตาปุจฉานั้น จึงตรัสพระบาลีอาทิว่า ปาณาติปาตํ ปหาย ดังนี้.
ในคำว่า ละปาณาติบาต. ปาณาติบาต แปลว่า ทำสัตว์มีชีวิตให้ตกล่วงไป. อธิบายว่า ฆ่าสัตว์ ปลงชีพสัตว์.
ก็ในคำว่า ปาณะ นี้ โดยโวหาร ได้แก่สัตว์. โดยปรมัตถ์ ได้แก่ชีวิตินทรีย์.
อนึ่ง เจตนาฆ่าอันเป็นเหตุยังความพยายามตัดรอนชีวิตินทรีย์ให้ตั้งขึ้น เป็นไปทางกายทวารและวจีทวาร ทางใดทางหนึ่งของผู้มีความสำคัญในชีวิตนั้นว่าเป็นสัตว์มีชีวิต ชื่อว่าปาณาติบาต.
ปาณาติบาตนั้น ชื่อว่ามีโทษน้อย ในสัตว์เล็ก. บรรดาสัตว์ที่เว้นจากคุณมีสัตว์เดรัจฉานเป็นต้น ชื่อว่ามีโทษมาก ในเพราะสัตว์มีร่างกายใหญ่.
เพราะเหตุไร? เพราะต้องขวนขวายมาก.
แม้เมื่อมีความพยายามเสมอกัน ก็มีโทษมาก เพราะมีวัตถุใหญ่. ในบรรดาสัตว์ที่มีคุณมีมนุษย์เป็นต้น สัตว์มีคุณน้อยมีโทษน้อย สัตว์มีคุณมากมีโทษมาก. แม้เมื่อมีสรีระและคุณเท่ากัน ก็พึงทราบว่า มีโทษน้อยเพราะกิเลสและความพยายามอ่อน มีโทษมากเพราะกิเลสและความพยายามแรงกล้า.
ปาณาติบาตนั้นมีองค์ ๕ คือ
๑. ปาโณ สัตว์มีชีวิต
๒. ปาณสญฺญิตา ตนรู้ว่าสัตว์มีชีวิต
๓. วธกจิตฺตํ จิตคิดจะฆ่า
๔. อุปกฺกโม มีความพยายาม ( ลงมือทำ )
๕. เตน มรณํ สัตว์ตายด้วยความพยายามนั้น.
ปาณาติบาตนั้นมีประโยค ๖ คือ
๑. สาหัตถิกประโยค ประโยคที่ฆ่าด้วยมือตนเอง
๒. อาณัตติกประโยค ประโยคที่สั่งให้คนอื่นฆ่า
๓. นิสสัคคิยประโยค ประโยคที่ฆ่าด้วยอาวุธที่ซัดไป
๔. ถาวรประโยค ประโยคที่ฆ่าด้วยอุปกรณ์ที่อยู่กับที่
๕. วิชชามยประโยค ประโยคที่ฆ่าด้วยวิชา
๖. อิทธิมยประโยค ประโยคที่ฆ่าด้วยฤทธิ์.
--------------------------------
พระอภิธัมมัตถสังคหะ
๑. ปาณาติบาต มีองค์ ๕
http://abhidhamonline.org/aphi/p5/059.htm
จากคู่มือการศึกษาพระอภิธัมมัตถสังคหะ ปริเฉทที่ ๕ อภิธรรมมูลนิธิ
แสดงปาณาติบาตกรรมโดยมหาสาวัชชะ และอัปปสาวัชชะ
การฆ่าสัตว์จะมีโทษมาก คือ มหาสาวัชชะ หรือมีโทษน้อย คืออัปปสาวัชชะ ย่อมขึ้นอยู่กับสัตว์ที่ถูกฆ่า และความพยายามของผู้ฆ่า ซึ่งต้องอาศัยหลักเกณฑ์ในการพิจารณา ๓ ประการด้วยกันคือ
๑. ร่างกายของสัตว์ที่ถูกฆ่า ถ้าเป็นสัตว์ใหญ่ เช่น ช้าง ม้า โค กระบือ เป็นต้น ก็มีโทษเป็นมหาสาวัชชะ เพราะชีวิตนวกลาปของสัตว์พวกนี้ถูกทำลายลงเป็นจำนวนมาก แต่ถ้าสัตว์ที่ถูกฆ่าเป็นสัตว์เล็ก เช่น มด ยุง ริ้น ไร เป็นต้น ก็มีโทษน้อย เป็นอัปปสาวัชชะ
๒. คุณธรรมของสัตว์ที่ถูกฆ่า ในระหว่างสัตว์เดรัจฉานกับมนุษย์ ฆ่ามนุษย์มีโทษมากกว่าสัตว์เดรัจฉาน เพราะมนุษย์เป็นสัตว์ประเสริฐกว่าสัตว์เดรัจฉาน
สำหรับการฆ่ามนุษย์กับมนุษย์ด้วยกัน ฆ่าผู้ที่มีศีลธรรม เช่น ภิกษุ, สามเณร, อุบาสก, อุบาสิกา เป็นต้น มีโทษมากกว่าฆ่าผู้ที่ไม่มีศีลธรรม เช่น โจรผู้ร้าย เป็นต้น ย่อมมีโทษน้อยกว่า ถ้าผู้ถูกฆ่าเป็น บิดา, มารดา, พระอรหันต์ เป็นอนันตริยกรรม ยิ่งมีโทษมากเป็นพิเศษ
๓. ความพยายามของผู้ฆ่า อาศัยตัดสินโดยปโยคะ คือในขณะที่ฆ่านั้นได้ใช้ความพยายามมากหรือน้อย ถ้าใช้ความพยายามมากก็มีโทษมาก ถ้าใช้ความพยายามน้อยก็มีโทษน้อย
อนึ่ง ถ้าผู้กระทำปาณาติบาตกรรมโดยรู้ว่าการกระทำเช่นนี้เป็นอกุศลกรรม มีโทษไม่ควรทำ แต่ก็ได้กระทำลงไปด้วยเหตุใดเหตุหนึ่งก็ตามย่อมมีโทษน้อยกว่าผู้กระทำปาณาติบาตกรรม โดยไม่รู้ว่าการกระทำเช่นนี้เป็นอกุศลมีโทษไม่ควรทำ แต่ก็ได้กระทำลงไป ทั้งนี้เพราะผู้ไม่รู้จักอกุศลย่อมเป็นผู้ประกอบด้วยมิจฉาทิฏฐิอย่างแรงกล้า ฉะนั้นจึงต้องได้รับโทษมากเป็นมหาสาวัชชะ อุปมาเหมือนช่างตีเหล็กเผาก้อนเหล็กจนร้อนจัดแล้วเอาออกจากเตามาวางไว้ ช่างตีเหล็กนั้นย่อมรู้ว่าก้อนเหล็กนั้นร้อน ฉะนั้นเมื่อจำเป็นจะต้องเอามือไปจับก้อนเหล็ก ก็ย่อมรู้ประมาณในความร้อนไม่จับมั่นคั้นหมายลงไปเต็มที่ แต่ถ้าผู้ที่มาภายหลังไม่รู้ว่าก้อนเหล็กนั้นร้อน มีความอยากรู้ย่อมจับก้อนเหล็กนั้นอย่างเต็มที่ จนทำให้ไหม้มือเกรียมไป ข้อนี้ฉันใด ผู้ที่รู้ว่าการกระทำเช่นนี้เป็นอกุศลกับผู้ที่ไม่รู้ว่าการกระทำเช่นนี้เป็นอกุศล โทษที่พึงได้รับของทั้งสองคนย่อมมากน้อยต่างกันฉันนั้น
----------------------------------------------------
หลักเกณฑ์การพิจารณาในเรื่องเจตนา กับไม่เจตนา จากอรรถกถา ในพระวินัย มาประกอบดังนี้
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=01&i=187
[ภิกษุฆ่าพ่อแม่เป็นต้นเป็นอนันตริยกรรมและปาราชิก]
[ภิกษุฆ่าพ่อแม่เป็นต้นในกองฟางไม่ต้องปาราชิก
แสดงความคิดเห็น
ผมสงสัยเรื่องบาปกรรมในพระพุทธศาสนา ช่วยมาไขข้อกระจ่างทีครับ
แต่บางเรื่องผมก็สงสัยเช่นกัน
เช่น สมมุติผมทำบาปกรรมฆ่างูตาย แต่ถ้าผมไม่ฆ่ามัน มันจะฆ่าผม ผมตายไปตกนรก
ก็มาต้องชดใช้กรรมที่ก่อไว้เพราะฆ่างู แต่ถ้าผมไม่ฆ่ามัน ผมก็จะตายเอง
หรือว่า
พระฉันเนื้อสัตว์ แต่สอนห้ามฆ่าสัตว์ อาอันนี้ผมพอเข้าใจถ้าเป็นผมโดนฆ่าเพื่อไปเป็นอาหารคนอื่น ผมก็คงไม่ชอบ
แต่ถ้าพระไม่ฉันเนื้อสัตว์ร่างกายก็จะขาดสารอาหาร อาจจะป่วยเป็นโรคต่างๆ แต่ถ้าพระสอนห้ามฆ่าสัตว์
ทำไมไม่ทำตัวอย่างให้ดูเองเสียละว่าจะไม่ฉันเนื้อสัตว์
สมมุติสมัยก่อน
ประเทศสองประเทศทำศึกสงคราม อีกฝ่ายกรีธาทัพมาเพื่อตีอีกฝ่าย แต่ฝ่ายที่โดนตีไม่ได้เริ่มก่อน
แต่จำเป็นต้องส่งทหารไปเข่นฆ่า ฆ่าคน=บาปหนา แต่ถ้าไม่ฆ่า ญาติพี่น้องข้างหลัง = ตาย ถูกข่มขืน เป็นทาส ถูกทรมานเยี่ยงสัตว์
เราไม่ฆ่าเขา เขาก็ฆ่าเรา เราฆ่าเพื่อปกป้องคนข้างหลัง เราก็บาปอีกหรือ
มันเป็นไปไม่ได้ครับที่จะให้คนทั้งโลกดีเลิศประเสริฐศรี เพราะเหรียญมีสองด้าน คนก็มีสองด้านเช่นกัน
คุณอย่ามาตอบ ประมาณแบบ ถ้าไม่เกิดความโลภ หรือ แค้นกันคงจะไม่ทำสงคราม คือคุณต้องตอบให้ตรงประเด็น
ขอบคุณครับ นี้คือที่ผมสงสัยคร่าวๆ