เรื่องเล่าต่อไปนี้เป็นเรื่องเล่าที่เกิดจากประสบการณ์จริงๆ ขอย้อนกลับไปสมัยเรียนสถาปัตย์ปี2 ซึ่งใครที่เรียนคณะนี้หรือมีเพื่อนเรียนคณะนี้จะรู้กันว่า งานเยอะ นอนดึก บางครั้งอาจจะไม่ได้นอน ซึ่งผมเป็นคนนึงที่นอนดึก ทำงานดึก บางครั้งไม่อยากนอนสตูดิโอก็จะขี่มอเตอร์ไซด์กลับหอ เหตุการณ์ที่จะเล่าต่อไปนี้เกี่ยวกับอพาร์ทเม้นท์แห่งหนึ่งที่อยู่ห่างจากมหาวิทยาลัยไม่มากนัก ใช้เวลาจากคณะไปอพาร์ทเม้นท์ประมาณ 5นาที ซึ่งจะต้องผ่านคลองชลประทาน ในทุกๆปีจะมีเด็กนิสิตที่ประสบอุบัติเหตุขี่มอเตอร์ไซด์ตกคลองทุกปี ซึ่งบางคนก็เล่าว่าเจอบ้างเป็นบางครั้ง แต่โดยส่วนตัวผมไม่เจอ แต่ก็รู้สึกเย็นๆแปลกๆเหมือนกัน โดยนิสัยผมไม่ค่อยกลัวความมืดเท่าไร พยายามไม่คิดเรื่องอะไรก็ตามที่ทำให้ตัวเองกลัว ส่วนมากคิดว่า อยากกลับไปนอนแล้วง่วงมาก งานจะทำทันส่งมั้ยในวันพรุ่งนี้ ด้วยลักษณะของอพาร์ทเม้นท์แห่งนี้ตั้งอยู่ตรงข้ามกับคลองชลประทาน ถนนหน้าอพาร์ทเม้นต์ในตอนนั้นสภาพอย่างกับหลุมดาวอังคาร สำหรับอพาร์ทเม้นท์หลังนี้โดยส่วนตัวครั้งแรกที่เห็น ผมว่าน่าอยู่ดี ต้นไม้เยอะ ร่มรื่น สงบเงียบดี ด้วยลักษณะรูปลักษณ์ของหอจะเป็นหอที่มีลักษณ์สมมาตร ข้างหน้าทึบ กรุด้วยหินอ่อนสีออกเทาๆ สองฝั่งซ้ายขวาจะเป็นโรงจอดรถ ตรงกลางจะเป็นน้ำพุ เมื่อเดินเข้าไปข้างในอพาร์ทเม้นท์

จะเป็นโถงสูง และมีระเบียงหน้าห้อง2ฝั่งซึ่งเราสามารถมองเห็นอีกฝั่งนึงได้ ตลอดทางเดินจะเป็นไฟกิ่งติดผนัง แสงไฟสลัวแลดูอบอุ่น และยังมีพื้นที่ห้องกว้างพอที่จะเก็บโมเดล แถมราคาถูกด้วย มีแอร์ เครืองทำน้ำอุ่น เฟอร์นิเจอร์บิ้วอินสีไม้โอ๊ค เตียงใหญ่นุ่มมาก ห้องน้ำแยกส่วนเปียกกับส่วนแห้งไว้ ระเบียงกว้าง ด้วยราคาค่าเช่าห้อง 2000บาท/เดือน ถ้าจะกินข้าว ข้างล่างจะเป็นร้านอาหารสามารถโทรสั่งให้ขึ้นมาส่งที่ห้องได้เลย ผมรู้สึกกว่ามันสะดวกสบาย ติดตรงที่ถนนหน้าอพาร์ทเม้นท์มันไม่ค่อยดีเท่าไร (หลังจากนั้น5เดือนจึงเริ่มทำถนนใหม่) ผมจึงตัดสินใจย้ายเข้ามาอยู่

ก่อนที่ผมจะมาอยู่อพาร์ทเม้นท์นี้ผมเคยได้ยินเรืองเล่าของอพาร์ทเม้นนี้มาแล้วเรื่องเคยมีเด็กวิศวะ ฆ่าตัวตาย ซึ่งข่าวเงียบมาก แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมาก ผมใช้ชีวิตอยู่ในอพาร์ทเม้นท์นี้โดยอาศัยนอนตอนกลางคืนเท่านั้น เพราะปกติใช้ชีวิตอยู่ที่คณะเป็นส่วนใหญ่ ห้องนอนจึงมีหน้าที่ไว้เก็บโมเดลเก็บกระดาษ ในบางครั้งตอนที่ผมกลับห้องมาอาบน้ำแต่งตัวเพื่อที่จะไปเรียนตอนเช้า มีอยู่สิ่งนึงที่ทำให้ผมรู้สึกหลอนๆคือ ห้องน้ำส่วนที่เป็นส่วนอาบน้ำจะมีม่านพลาสติกกั้นระหว่างส่วนแห้ง ผมรู้สึกเหมือนมีคนอยู่อีกฝั่งนึงตลอดตอนอาบน้ำ ด้วยไอน้ำที่มันฝ้ามัว สมองผมก็คิดไปต่างๆนานา และด้วยกระจกหน้าอ่างล้างหน้าบานใหญ่ทำประกอบความกลัวของผมขึ้นมา แต่ก็ได้แค่รู้สึกเท่านั้น และกระจกที่อยู่ปลายเตียง ซึ่งก็เคยได้ยินมาว่าอย่านอนแล้วหันหน้าเข้ากระจกปลายเตียง ผมเลยนอนหันข้างให้กระจกแทน เนื่องจากเตียงมันใหญ่มาก ผมเยเอาหนังสือมากองให้เต็มเตียงแล้วนอนครึ่งนึของเตียง สำหรับข้างนอกระเบียงจะเป็นพุ่มหญ้ารกร้าง ซึ่งกลางคืนค่อนข้างน่ากลัวอยู่ มีอยู่คืนนึงหลังจากที่กลับมาจากสตูดิโอ เวลาประมาณตี2 ซึ่งผมก็รู้สึกหนาวๆ ตั้งแต่ขี่มอเตอร์ไซด์กลับมาแล้ว....ใช่ครับ เพราะมันหน้าหนาว... จะบ้าหรอ อ้าวต่อ... มันหนาวจริงๆ หนาวแบบแปลกๆ หลังจากที่จอดรถเสร็จก็ได้เดินเข้าอพาร์ทเม้นท์ แต่...แต่ ....หมาเห่าอะไรกัน ทั้งๆที่ผมกลับดึกทุกวัน วันนี้แปลกกว่าทุกวันตรงที่รู้สึกกว่าทำไมมันน่ากลัวกว่าทุกวันวะ ไฟสลัวที่ทุกๆวันดูแล้วว่าอบอุ่น แต่วันนี้ดันกระพริบตรงทางที่ผมจะเดินทั้งทางฝั่งที่ผมเดินกับฝั่งตรงกันข้าม และสายตาผมก็ดันมองลงไปข้างล่างซึ่งเป็นโถงสูงที่ดูมืด ซึ่งเริ่มรู้สึกขนลุก และง่วงมาก จึงรีบเดินเข้าห้องไป ด้วยความเพลียจึงนอนหลับไปโดยไม่สนใจเสียงหมาที่เห่าตลอดทั้งคืน เหตุการณ์แบบนี้ไม่ได้เกิดขึ้นทุกวัน มันมักจะเกิดทุกๆวันพระเท่าที่ผมสังเกตุมา พักหลังๆผมก็ไม่ค่อยได้กลับหอช่วงกลางคืเท่าไร เพราะต้องทำงานที่สตูดิโอตลอด เลยกลับมาเฉพาะกลางวันอาบน้ำ เก็บของ แต่งตัว เท่านั้น
ตลอดระยะเวลา2เดือนก่อนที่ผมจะย้ายออกไปนั้น ก็มีคนย้ายออกไปเยอะมาก ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงย้ายกันเยอะจัง แล้วผมก็ไม่ได้ถามด้วยว่าเกิดอะไรขึ้นเพราะผมไม่ค่อยได้กลับมานอนที่ห้องเท่าไร สุดท้ายอยู่ๆผมก็เริ่มรู้สึกเบื่อ อาจจะเพราะถนนหนทางไม่ดีด้วย และเวลากลับตอนกลางคืนมันอันตรายด้วยละมั้ง จึงตัดสินใจย้ายออก

จนวันสุดท้ายที่ผมย้ายออก เมื่อผมกำลังจะปิดประตู หางตาผมได้ชำเลืองไปทางขวามือ ยังไม่ทันจะหันไปดูเต็มตา ผมรู้สึกขนหัวลุกขึ้นมาทันที แล้วผมก็รวบรวมความกล้าเดินถัดไปอีก1ห้องซึ่งห้องนี้ไม่มีคนอยู่ตั้งแต่ผมมาอยู่แล้ว ห้องถัดไปคือห้องที่ผมรู้สึกกลัวที่สุด สิ่งที่ผมเห็นคือ ผ้ายันต์สีแดง ตัวหนังสือสีดำเป็นอักขระ ที่ผมก็อ่านไม่ออก ซึ่งขนาดประมาณกระดาษ A3 ได้ มันทำให้ผมย้อนคิดกลับไปต้งแต่มาอยู่ เราไม่เคยสังเกตุเห็นผ้ายันต์นี้เลยหรอ ทั้งๆที่มันติดอยู่หน้าห้องนี้มาตลอด ใครจะรู้ว่าห้องที่ติดผ้ายันต์ห้องนั้นคือห้องของเด็กวิศวะที่เสียชีวิตไป ผมไม่รู้ว่าคนอื่นเขาเห็นอะไร เขาเจออะไร แต่ตลอด2เดือนที่ผ่านมาผมไม่เจออะไรเลยจนวันสุดท้ายที่เจอผ้ายันต์แดงหน้าห้องนั้น หลังจากนั้นผมจึงไปทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ เพื่อความสบายใจของตัวผมเอง
ล่าสุดนี้อพาร์ทเม้นท์หลังนั้น ไม่มีผู้อาศัยอยู่แล้ว หลังจากได้ยินข่าวว่ามีเด็กผูกคอตาย (ไม่ขอบอกว่าคณะอะไร แต่เป็นคณะที่เด็กต้องเก่งจริงถึงเรียนได้)จึงได้ปิดปรับปรุงครั้งใหญ่ อย่างไรก็ตามในมุมมองของสถาปนิกคนนึงผมมองว่า สิ่งทีทำให้หอพักแห่งนี้น่ากลัวคือ รูปแบบที่ดูทึบตัน แสงสว่างที่ไม่เพียงพอทำให้ดูน่ากลัว รูปแบบโถงสูงที่แสงสว่างไม่เพียงพอมีผลต่อการกระทุ้นความกลัว เมื่อมองจากล่างขึ้นบน หรือมองจากบนลงล่าง เราจะมโนไปว่า อาจจะมีเจออะไรอยู่ข้างล่าง หรือ อยู่ข้างบน ผมแอบคาตหวังว่าเมื่ออพาร์ทเม้นท์แห่งนี้มีการปรับปรุงให้ดีขึ้นแล้ว จะเป็นอพาร์ทเม้นท์หนึ่งที่น่าอยู่มากที่หนึ่ง
ปล.1ตลอดระยะเวลา5ปีที่เรียนสถาปัตย์ ผมย้ายมาแล้ว 8 หอ ซึ่งแต่ละหอก็มีเรื่องเล่าของมันอยู่ และ1ใน8หอนั้นคือหอนี้
ปล.2ผมไม่ขอแสดงรูปหอพักแห่งนี้นะครับ
เรื่องเล่าสมัยเรียน อพาร์ทเม้นท์บุพผาราตรี
จะเป็นโถงสูง และมีระเบียงหน้าห้อง2ฝั่งซึ่งเราสามารถมองเห็นอีกฝั่งนึงได้ ตลอดทางเดินจะเป็นไฟกิ่งติดผนัง แสงไฟสลัวแลดูอบอุ่น และยังมีพื้นที่ห้องกว้างพอที่จะเก็บโมเดล แถมราคาถูกด้วย มีแอร์ เครืองทำน้ำอุ่น เฟอร์นิเจอร์บิ้วอินสีไม้โอ๊ค เตียงใหญ่นุ่มมาก ห้องน้ำแยกส่วนเปียกกับส่วนแห้งไว้ ระเบียงกว้าง ด้วยราคาค่าเช่าห้อง 2000บาท/เดือน ถ้าจะกินข้าว ข้างล่างจะเป็นร้านอาหารสามารถโทรสั่งให้ขึ้นมาส่งที่ห้องได้เลย ผมรู้สึกกว่ามันสะดวกสบาย ติดตรงที่ถนนหน้าอพาร์ทเม้นท์มันไม่ค่อยดีเท่าไร (หลังจากนั้น5เดือนจึงเริ่มทำถนนใหม่) ผมจึงตัดสินใจย้ายเข้ามาอยู่
ก่อนที่ผมจะมาอยู่อพาร์ทเม้นท์นี้ผมเคยได้ยินเรืองเล่าของอพาร์ทเม้นนี้มาแล้วเรื่องเคยมีเด็กวิศวะ ฆ่าตัวตาย ซึ่งข่าวเงียบมาก แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมาก ผมใช้ชีวิตอยู่ในอพาร์ทเม้นท์นี้โดยอาศัยนอนตอนกลางคืนเท่านั้น เพราะปกติใช้ชีวิตอยู่ที่คณะเป็นส่วนใหญ่ ห้องนอนจึงมีหน้าที่ไว้เก็บโมเดลเก็บกระดาษ ในบางครั้งตอนที่ผมกลับห้องมาอาบน้ำแต่งตัวเพื่อที่จะไปเรียนตอนเช้า มีอยู่สิ่งนึงที่ทำให้ผมรู้สึกหลอนๆคือ ห้องน้ำส่วนที่เป็นส่วนอาบน้ำจะมีม่านพลาสติกกั้นระหว่างส่วนแห้ง ผมรู้สึกเหมือนมีคนอยู่อีกฝั่งนึงตลอดตอนอาบน้ำ ด้วยไอน้ำที่มันฝ้ามัว สมองผมก็คิดไปต่างๆนานา และด้วยกระจกหน้าอ่างล้างหน้าบานใหญ่ทำประกอบความกลัวของผมขึ้นมา แต่ก็ได้แค่รู้สึกเท่านั้น และกระจกที่อยู่ปลายเตียง ซึ่งก็เคยได้ยินมาว่าอย่านอนแล้วหันหน้าเข้ากระจกปลายเตียง ผมเลยนอนหันข้างให้กระจกแทน เนื่องจากเตียงมันใหญ่มาก ผมเยเอาหนังสือมากองให้เต็มเตียงแล้วนอนครึ่งนึของเตียง สำหรับข้างนอกระเบียงจะเป็นพุ่มหญ้ารกร้าง ซึ่งกลางคืนค่อนข้างน่ากลัวอยู่ มีอยู่คืนนึงหลังจากที่กลับมาจากสตูดิโอ เวลาประมาณตี2 ซึ่งผมก็รู้สึกหนาวๆ ตั้งแต่ขี่มอเตอร์ไซด์กลับมาแล้ว....ใช่ครับ เพราะมันหน้าหนาว... จะบ้าหรอ อ้าวต่อ... มันหนาวจริงๆ หนาวแบบแปลกๆ หลังจากที่จอดรถเสร็จก็ได้เดินเข้าอพาร์ทเม้นท์ แต่...แต่ ....หมาเห่าอะไรกัน ทั้งๆที่ผมกลับดึกทุกวัน วันนี้แปลกกว่าทุกวันตรงที่รู้สึกกว่าทำไมมันน่ากลัวกว่าทุกวันวะ ไฟสลัวที่ทุกๆวันดูแล้วว่าอบอุ่น แต่วันนี้ดันกระพริบตรงทางที่ผมจะเดินทั้งทางฝั่งที่ผมเดินกับฝั่งตรงกันข้าม และสายตาผมก็ดันมองลงไปข้างล่างซึ่งเป็นโถงสูงที่ดูมืด ซึ่งเริ่มรู้สึกขนลุก และง่วงมาก จึงรีบเดินเข้าห้องไป ด้วยความเพลียจึงนอนหลับไปโดยไม่สนใจเสียงหมาที่เห่าตลอดทั้งคืน เหตุการณ์แบบนี้ไม่ได้เกิดขึ้นทุกวัน มันมักจะเกิดทุกๆวันพระเท่าที่ผมสังเกตุมา พักหลังๆผมก็ไม่ค่อยได้กลับหอช่วงกลางคืเท่าไร เพราะต้องทำงานที่สตูดิโอตลอด เลยกลับมาเฉพาะกลางวันอาบน้ำ เก็บของ แต่งตัว เท่านั้น
ตลอดระยะเวลา2เดือนก่อนที่ผมจะย้ายออกไปนั้น ก็มีคนย้ายออกไปเยอะมาก ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงย้ายกันเยอะจัง แล้วผมก็ไม่ได้ถามด้วยว่าเกิดอะไรขึ้นเพราะผมไม่ค่อยได้กลับมานอนที่ห้องเท่าไร สุดท้ายอยู่ๆผมก็เริ่มรู้สึกเบื่อ อาจจะเพราะถนนหนทางไม่ดีด้วย และเวลากลับตอนกลางคืนมันอันตรายด้วยละมั้ง จึงตัดสินใจย้ายออก
จนวันสุดท้ายที่ผมย้ายออก เมื่อผมกำลังจะปิดประตู หางตาผมได้ชำเลืองไปทางขวามือ ยังไม่ทันจะหันไปดูเต็มตา ผมรู้สึกขนหัวลุกขึ้นมาทันที แล้วผมก็รวบรวมความกล้าเดินถัดไปอีก1ห้องซึ่งห้องนี้ไม่มีคนอยู่ตั้งแต่ผมมาอยู่แล้ว ห้องถัดไปคือห้องที่ผมรู้สึกกลัวที่สุด สิ่งที่ผมเห็นคือ ผ้ายันต์สีแดง ตัวหนังสือสีดำเป็นอักขระ ที่ผมก็อ่านไม่ออก ซึ่งขนาดประมาณกระดาษ A3 ได้ มันทำให้ผมย้อนคิดกลับไปต้งแต่มาอยู่ เราไม่เคยสังเกตุเห็นผ้ายันต์นี้เลยหรอ ทั้งๆที่มันติดอยู่หน้าห้องนี้มาตลอด ใครจะรู้ว่าห้องที่ติดผ้ายันต์ห้องนั้นคือห้องของเด็กวิศวะที่เสียชีวิตไป ผมไม่รู้ว่าคนอื่นเขาเห็นอะไร เขาเจออะไร แต่ตลอด2เดือนที่ผ่านมาผมไม่เจออะไรเลยจนวันสุดท้ายที่เจอผ้ายันต์แดงหน้าห้องนั้น หลังจากนั้นผมจึงไปทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ เพื่อความสบายใจของตัวผมเอง
ล่าสุดนี้อพาร์ทเม้นท์หลังนั้น ไม่มีผู้อาศัยอยู่แล้ว หลังจากได้ยินข่าวว่ามีเด็กผูกคอตาย (ไม่ขอบอกว่าคณะอะไร แต่เป็นคณะที่เด็กต้องเก่งจริงถึงเรียนได้)จึงได้ปิดปรับปรุงครั้งใหญ่ อย่างไรก็ตามในมุมมองของสถาปนิกคนนึงผมมองว่า สิ่งทีทำให้หอพักแห่งนี้น่ากลัวคือ รูปแบบที่ดูทึบตัน แสงสว่างที่ไม่เพียงพอทำให้ดูน่ากลัว รูปแบบโถงสูงที่แสงสว่างไม่เพียงพอมีผลต่อการกระทุ้นความกลัว เมื่อมองจากล่างขึ้นบน หรือมองจากบนลงล่าง เราจะมโนไปว่า อาจจะมีเจออะไรอยู่ข้างล่าง หรือ อยู่ข้างบน ผมแอบคาตหวังว่าเมื่ออพาร์ทเม้นท์แห่งนี้มีการปรับปรุงให้ดีขึ้นแล้ว จะเป็นอพาร์ทเม้นท์หนึ่งที่น่าอยู่มากที่หนึ่ง
ปล.1ตลอดระยะเวลา5ปีที่เรียนสถาปัตย์ ผมย้ายมาแล้ว 8 หอ ซึ่งแต่ละหอก็มีเรื่องเล่าของมันอยู่ และ1ใน8หอนั้นคือหอนี้
ปล.2ผมไม่ขอแสดงรูปหอพักแห่งนี้นะครับ