จากหนังสือสำนักงานอัยการ
สำนักงานอัยการสูงสุด ขอแถลงข่าวคดีที่ประชาชนสนใจและอยู่ในความรับผิดชอบของสำนักงานอัยการสูงสุด ดังนี้
1. คดีการทุจริตขายทรัพย์สินของ ปรส.
คดีนี้คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติว่า นายมนตรี เจนวิทย์การ มีมูลความผิดทางอาญา ฐานเป็นพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2502 มาตรา 11 จึงส่งเรื่องมายังอัยการสูงสุดเพื่อดำเนินคดีอาญาแก่ นายมนตรี เจนวิทย์การ ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 97
ปรากฏข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานจากการไต่สวนและไต่สวนเพิ่มเติมว่า ก่อนเกิดเหตุคณะกรรมการองค์การเพื่อการปฏิรูประบบสถาบันการเงิน (คณะกรรมการ ปรส.) ได้ออกประกาศลงวันที่ 2 กรกฎาคม 2541 เรื่อง หลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการขายสินทรัพย์หลักของสถาบันการเงินที่ไม่อาจแก้ไขหรือฟื้นฟูฐานะหรือการดำเนินงานได้ จำนวน 56 บริษัท โดยวางหลักเกณฑ์เกี่ยวกับวิธีการประมูลและขั้นตอน ในการดำเนินการให้เป็นไปตามที่ระบุไว้ในข้อสนเทศการจำหน่ายสินทรัพย์ที่กำหนดให้องค์การเพื่อการปฏิรูประบบสถาบันการเงิน (ปรส.) ออกข้อสนเทศดังกล่าวเป็นคราวๆ ไป ต่อมาคณะกรรมการ ปรส. มีมติอนุมัติให้มีการจำหน่ายสินทรัพย์ สินเชื่อพาณิชย์ และสินเชื่ออื่น (FRA 06-CO) โดยมีกลุ่มสินทรัพย์ที่จะนำจำหน่ายทั้งสิ้น 35 กลุ่ม มีเงินต้นคงค้าง จำนวน 136,645,603,495.07 บาท และ ปรส. ได้ออกข้อสนเทศ การจำหน่ายสินทรัพย์ สินเชื่อพาณิชย์ และสินเชื่ออื่น (FRA 06-CO) ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2542 กำหนดข้อมูลพอร์ตสินเชื่อ นโยบาย และขั้นตอนการจำหน่าย ระเบียบที่สำคัญพร้อมตัวอย่างแบบฟอร์มเอกสารและสัญญา และกำหนดตารางเวลาโดยกำหนดวันประมูลในวันที่ 3 สิงหาคม 2542 วันทำสัญญาและชำระเงินงวดแรก ในวันที่ 31 สิงหาคม 2542 และวันปิดการจำหน่ายในวันที่ 30 กันยายน 2542 ต่อมาวันที่ 22 กรกฎาคม 2542 คณะกรรมการ ปรส. มีมติให้เลื่อนวันประมูลจากวันที่ 3 สิงหาคม 2542 เป็นวันที่ 11 สิงหาคม 2542 แต่กำหนดวันลงนามในสัญญาซื้อขายและวันปิดการจำหน่ายยังคงเป็นไปตามเดิม ต่อมาวันที่ 11 สิงหาคม 2542 บริษัท ASOI (Delaware) L.L.C. ได้ยื่นแบบฟอร์มข้อเสนอราคาในนามตนเองเข้าประมูลร่วมกับผู้ประมูล รายอื่นอีก 12 ราย ปรากฏว่าในการประมูลดังกล่าว บริษัท ASOIฯ เป็นผู้เสนอราคาสูงสุดของกลุ่มสินเชื่อ 23 กลุ่ม คือ กลุ่ม CO 03, CO 04, CO 05, CO 06, CO 08, CO 11, CO 13, CO 15, CO 16, CO 18, CO 21, CO 22, CO 23, CO 24, CO 26, CO 27, CO 28, CO 29, CO 30, CO 31, CO 32, CO 33 และ CO 34 ด้วยราคาประมูลรวม 20,803 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 22 ของยอดเงินต้นคงค้าง จำนวน 92,963 ล้านบาท และในวันเดียวกันคณะกรรมการ ปรส. มีมติอนุมัติให้บริษัท ASOIฯ เป็นผู้ชนะ การประมูลกลุ่มสินเชื่อดังกล่าว
ต่อมาวันที่ 31 สิงหาคม 2542 ซึ่งเป็นวันครบกำหนดที่บริษัท ASOIฯ ผู้ชนะการประมูลต้องทำสัญญาขายมาตรฐานกับ ปรส. และชำระเงินงวดแรกในอัตราร้อยละ 20 ของราคาเสนอซื้อที่ชนะ การประมูล ปรากฏว่า ปรส. กับบริษัท ASOIฯ ไม่เข้าทำสัญญาขายมาตรฐาน แต่กลับทำข้อตกลงในหนังสือสัญญาชำระเงินและปฏิบัติการชำระหนี้ชนิดเพิกถอนไม่ได้ (IRREVOCABLE PAYMENT AND PERFORMANCE UNDERTAKING) โดยมีเนื้อหากำหนดให้มีการทำสัญญาขายมาตรฐานในวันปิดการจำหน่าย (วันที่ 30 กันยายน 2542) หรือวันอื่นตามที่อาจได้ตกลงร่วมกัน และระบุว่าจะโอนสิทธิในการทำสัญญาขายมาตรฐานไปให้กองทุนโดยไม่ระบุชื่อว่ากองทุนอะไร ซึ่งนายมนตรี เจนวิทย์การ ในฐานะเลขาธิการ ปรส. มีหน้าที่ต้องปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎหมาย ประกาศคณะกรรมการ ปรส. และข้อสนเทศการจำหน่ายสินทรัพย์ดังกล่าว โดยให้ ปรส. ทำสัญญาขายมาตรฐานกับบริษัท ASOIฯ ในวันที่ 31 สิงหาคม 2542 พร้อมทั้งชำระเงินงวดแรกในอัตราร้อยละ 20 ของราคาเสนอซื้อที่ชนะการประมูล แล้วดำเนินการปิดการจำหน่ายภายในวันที่ 30 กันยายน 2542 หากบริษัท ASOIฯ ไม่เข้าทำสัญญาขายมาตรฐานกับ ปรส. ภายในกำหนด นายมนตรี เจนวิทย์การ ก็ควรดำเนินการยกเลิกประมูลหรือให้ผู้เข้าร่วมประมูลรายอื่นเข้าเป็นคู่สัญญาแทนหรือจัดให้มีการประมูลใหม่ และริบเงินประกันการประมูลกับเงินประกันการเข้าศึกษาข้อมูล แต่นายมนตรี เจนวิทย์การ กลับละเว้นหน้าที่ ไม่ดำเนินการ และยังเอื้อประโยชน์โดยให้ ปรส. เข้าทำสัญญาขายมาตรฐานกับกองทุนรวมแกมม่าแคปปิตอล ในวันที่ 30 กันยายน 2542 โดยมอบอำนาจให้ นางวชิรา ณ ระนอง รองเลขาธิการ ปรส. ลงนามในสัญญาขายมาตรฐานกลุ่มสินทรัพย์ 23 กลุ่มดังกล่าว ให้แก่กองทุนรวมแกมม่าแคปปิตอล ทั้งที่นายมนตรี เจนวิทย์การ ทราบดีอยู่แล้วว่ากองทุนรวมแกมม่าแคปปิตอลไม่มีสิทธิเข้าทำสัญญาในฐานะผู้ซื้อ เพราะไม่ได้เข้าร่วมการประมูลหรือได้รับโอนสิทธิจากผู้ชนะการประมูลโดยชอบตามกฎหมาย รวมทั้งทราบดีว่าตามข้อ 6 ของข้อสนเทศ การจำหน่ายสินทรัพย์ สินเชื่อพาณิชย์ และสินเชื่ออื่น (FRA 06-CO) ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2542 ในหัวข้อขั้นตอนการปิดจำหน่าย กำหนดให้ผู้ชนะการประมูลต้องระบุชื่อพร้อมยื่นเอกสารของผู้ที่ตนจะให้ลงนามในสัญญาขายมาตรฐานมายัง ปรส. ภายในสองวันทำการนับจากวันประมูล ดังนั้น การที่นายมนตรี เจนวิทย์การ ได้ลงนามร่วมในหนังสือสัญญาชำระเงินและปฏิบัติการชำระหนี้ชนิดเพิกถอนไม่ได้ที่เกี่ยวกับการขายสินทรัพย์ สินเชื่อพาณิชย์ และสินเชื่ออื่นของ ปรส. กับบริษัท ASOIฯ โดยมิได้ระบุชื่อกองทุนที่จะเข้ามาทำสัญญาแทนบริษัท ASOIฯ และรู้อยู่แล้วว่าบริษัท ASOIฯ ผู้ชนะการประมูลจะทำการโอนสิทธิในการทำสัญญาขายมาตรฐาน ไปให้กองทุนอื่นโดยไม่จัดส่งเอกสารรายละเอียดของตนไปให้ ปรส. ภายในเวลาที่กำหนดไว้ จึงเป็นการทำสัญญาที่แตกต่างไปจากที่กำหนดในข้อสนเทศการจำหน่ายสินทรัพย์ดังกล่าว อันมีลักษณะเป็นการเอื้อประโยชน์ ให้บริษัท ASOIฯ ผู้ชนะการประมูลให้หลุดพ้นจากภาระทางภาษี เป็นเหตุให้รัฐได้รับความเสียหาย การกระทำของนายมนตรี เจนวิทย์การ จึงมีมูลความผิดทางอาญาตามข้อกล่าวหา อัยการสูงสุดจึงมีคำสั่งดำเนินคดีอาญาฟ้อง นายมนตรี เจนวิทย์การ ฐานเป็นพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2502 มาตรา 11 และแจ้งคณะกรรมการ ป.ป.ช. ให้ส่งตัว นายมนตรี เจนวิทย์การ ไปฟ้องคดีภายในกำหนดอายุความ
ปัจจุบัน คดีอยู่ระหว่างรอส่งตัวผู้ถูกกล่าวหา
อนึ่ง ในคดีเกี่ยวกับการทุจริตขายทรัพย์สินของ ปรส. อัยการสูงสุดได้มีคำสั่งให้ดำเนินคดีกับ นายอมเรศ ศิลาอ่อน และนายวิชรัตน์ วิจิตรวาทการ ในข้อหาความผิดต่อพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงาน ในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ ซึ่งศาลอาญาได้พิพากษาลงโทษจำเลยทั้งสอง ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2502 มาตรา 11
ปัจจุบัน คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์
อัยการแถลงคดี ป.ร.ส. ขายทรัพย์สินให้กองทุนรวมแกมม่าแคปปิตอล ถูกกฎหมายหรือไม่
สำนักงานอัยการสูงสุด ขอแถลงข่าวคดีที่ประชาชนสนใจและอยู่ในความรับผิดชอบของสำนักงานอัยการสูงสุด ดังนี้
1. คดีการทุจริตขายทรัพย์สินของ ปรส.
คดีนี้คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติว่า นายมนตรี เจนวิทย์การ มีมูลความผิดทางอาญา ฐานเป็นพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2502 มาตรา 11 จึงส่งเรื่องมายังอัยการสูงสุดเพื่อดำเนินคดีอาญาแก่ นายมนตรี เจนวิทย์การ ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 97
ปรากฏข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานจากการไต่สวนและไต่สวนเพิ่มเติมว่า ก่อนเกิดเหตุคณะกรรมการองค์การเพื่อการปฏิรูประบบสถาบันการเงิน (คณะกรรมการ ปรส.) ได้ออกประกาศลงวันที่ 2 กรกฎาคม 2541 เรื่อง หลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการขายสินทรัพย์หลักของสถาบันการเงินที่ไม่อาจแก้ไขหรือฟื้นฟูฐานะหรือการดำเนินงานได้ จำนวน 56 บริษัท โดยวางหลักเกณฑ์เกี่ยวกับวิธีการประมูลและขั้นตอน ในการดำเนินการให้เป็นไปตามที่ระบุไว้ในข้อสนเทศการจำหน่ายสินทรัพย์ที่กำหนดให้องค์การเพื่อการปฏิรูประบบสถาบันการเงิน (ปรส.) ออกข้อสนเทศดังกล่าวเป็นคราวๆ ไป ต่อมาคณะกรรมการ ปรส. มีมติอนุมัติให้มีการจำหน่ายสินทรัพย์ สินเชื่อพาณิชย์ และสินเชื่ออื่น (FRA 06-CO) โดยมีกลุ่มสินทรัพย์ที่จะนำจำหน่ายทั้งสิ้น 35 กลุ่ม มีเงินต้นคงค้าง จำนวน 136,645,603,495.07 บาท และ ปรส. ได้ออกข้อสนเทศ การจำหน่ายสินทรัพย์ สินเชื่อพาณิชย์ และสินเชื่ออื่น (FRA 06-CO) ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2542 กำหนดข้อมูลพอร์ตสินเชื่อ นโยบาย และขั้นตอนการจำหน่าย ระเบียบที่สำคัญพร้อมตัวอย่างแบบฟอร์มเอกสารและสัญญา และกำหนดตารางเวลาโดยกำหนดวันประมูลในวันที่ 3 สิงหาคม 2542 วันทำสัญญาและชำระเงินงวดแรก ในวันที่ 31 สิงหาคม 2542 และวันปิดการจำหน่ายในวันที่ 30 กันยายน 2542 ต่อมาวันที่ 22 กรกฎาคม 2542 คณะกรรมการ ปรส. มีมติให้เลื่อนวันประมูลจากวันที่ 3 สิงหาคม 2542 เป็นวันที่ 11 สิงหาคม 2542 แต่กำหนดวันลงนามในสัญญาซื้อขายและวันปิดการจำหน่ายยังคงเป็นไปตามเดิม ต่อมาวันที่ 11 สิงหาคม 2542 บริษัท ASOI (Delaware) L.L.C. ได้ยื่นแบบฟอร์มข้อเสนอราคาในนามตนเองเข้าประมูลร่วมกับผู้ประมูล รายอื่นอีก 12 ราย ปรากฏว่าในการประมูลดังกล่าว บริษัท ASOIฯ เป็นผู้เสนอราคาสูงสุดของกลุ่มสินเชื่อ 23 กลุ่ม คือ กลุ่ม CO 03, CO 04, CO 05, CO 06, CO 08, CO 11, CO 13, CO 15, CO 16, CO 18, CO 21, CO 22, CO 23, CO 24, CO 26, CO 27, CO 28, CO 29, CO 30, CO 31, CO 32, CO 33 และ CO 34 ด้วยราคาประมูลรวม 20,803 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 22 ของยอดเงินต้นคงค้าง จำนวน 92,963 ล้านบาท และในวันเดียวกันคณะกรรมการ ปรส. มีมติอนุมัติให้บริษัท ASOIฯ เป็นผู้ชนะ การประมูลกลุ่มสินเชื่อดังกล่าว
ต่อมาวันที่ 31 สิงหาคม 2542 ซึ่งเป็นวันครบกำหนดที่บริษัท ASOIฯ ผู้ชนะการประมูลต้องทำสัญญาขายมาตรฐานกับ ปรส. และชำระเงินงวดแรกในอัตราร้อยละ 20 ของราคาเสนอซื้อที่ชนะ การประมูล ปรากฏว่า ปรส. กับบริษัท ASOIฯ ไม่เข้าทำสัญญาขายมาตรฐาน แต่กลับทำข้อตกลงในหนังสือสัญญาชำระเงินและปฏิบัติการชำระหนี้ชนิดเพิกถอนไม่ได้ (IRREVOCABLE PAYMENT AND PERFORMANCE UNDERTAKING) โดยมีเนื้อหากำหนดให้มีการทำสัญญาขายมาตรฐานในวันปิดการจำหน่าย (วันที่ 30 กันยายน 2542) หรือวันอื่นตามที่อาจได้ตกลงร่วมกัน และระบุว่าจะโอนสิทธิในการทำสัญญาขายมาตรฐานไปให้กองทุนโดยไม่ระบุชื่อว่ากองทุนอะไร ซึ่งนายมนตรี เจนวิทย์การ ในฐานะเลขาธิการ ปรส. มีหน้าที่ต้องปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎหมาย ประกาศคณะกรรมการ ปรส. และข้อสนเทศการจำหน่ายสินทรัพย์ดังกล่าว โดยให้ ปรส. ทำสัญญาขายมาตรฐานกับบริษัท ASOIฯ ในวันที่ 31 สิงหาคม 2542 พร้อมทั้งชำระเงินงวดแรกในอัตราร้อยละ 20 ของราคาเสนอซื้อที่ชนะการประมูล แล้วดำเนินการปิดการจำหน่ายภายในวันที่ 30 กันยายน 2542 หากบริษัท ASOIฯ ไม่เข้าทำสัญญาขายมาตรฐานกับ ปรส. ภายในกำหนด นายมนตรี เจนวิทย์การ ก็ควรดำเนินการยกเลิกประมูลหรือให้ผู้เข้าร่วมประมูลรายอื่นเข้าเป็นคู่สัญญาแทนหรือจัดให้มีการประมูลใหม่ และริบเงินประกันการประมูลกับเงินประกันการเข้าศึกษาข้อมูล แต่นายมนตรี เจนวิทย์การ กลับละเว้นหน้าที่ ไม่ดำเนินการ และยังเอื้อประโยชน์โดยให้ ปรส. เข้าทำสัญญาขายมาตรฐานกับกองทุนรวมแกมม่าแคปปิตอล ในวันที่ 30 กันยายน 2542 โดยมอบอำนาจให้ นางวชิรา ณ ระนอง รองเลขาธิการ ปรส. ลงนามในสัญญาขายมาตรฐานกลุ่มสินทรัพย์ 23 กลุ่มดังกล่าว ให้แก่กองทุนรวมแกมม่าแคปปิตอล ทั้งที่นายมนตรี เจนวิทย์การ ทราบดีอยู่แล้วว่ากองทุนรวมแกมม่าแคปปิตอลไม่มีสิทธิเข้าทำสัญญาในฐานะผู้ซื้อ เพราะไม่ได้เข้าร่วมการประมูลหรือได้รับโอนสิทธิจากผู้ชนะการประมูลโดยชอบตามกฎหมาย รวมทั้งทราบดีว่าตามข้อ 6 ของข้อสนเทศ การจำหน่ายสินทรัพย์ สินเชื่อพาณิชย์ และสินเชื่ออื่น (FRA 06-CO) ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2542 ในหัวข้อขั้นตอนการปิดจำหน่าย กำหนดให้ผู้ชนะการประมูลต้องระบุชื่อพร้อมยื่นเอกสารของผู้ที่ตนจะให้ลงนามในสัญญาขายมาตรฐานมายัง ปรส. ภายในสองวันทำการนับจากวันประมูล ดังนั้น การที่นายมนตรี เจนวิทย์การ ได้ลงนามร่วมในหนังสือสัญญาชำระเงินและปฏิบัติการชำระหนี้ชนิดเพิกถอนไม่ได้ที่เกี่ยวกับการขายสินทรัพย์ สินเชื่อพาณิชย์ และสินเชื่ออื่นของ ปรส. กับบริษัท ASOIฯ โดยมิได้ระบุชื่อกองทุนที่จะเข้ามาทำสัญญาแทนบริษัท ASOIฯ และรู้อยู่แล้วว่าบริษัท ASOIฯ ผู้ชนะการประมูลจะทำการโอนสิทธิในการทำสัญญาขายมาตรฐาน ไปให้กองทุนอื่นโดยไม่จัดส่งเอกสารรายละเอียดของตนไปให้ ปรส. ภายในเวลาที่กำหนดไว้ จึงเป็นการทำสัญญาที่แตกต่างไปจากที่กำหนดในข้อสนเทศการจำหน่ายสินทรัพย์ดังกล่าว อันมีลักษณะเป็นการเอื้อประโยชน์ ให้บริษัท ASOIฯ ผู้ชนะการประมูลให้หลุดพ้นจากภาระทางภาษี เป็นเหตุให้รัฐได้รับความเสียหาย การกระทำของนายมนตรี เจนวิทย์การ จึงมีมูลความผิดทางอาญาตามข้อกล่าวหา อัยการสูงสุดจึงมีคำสั่งดำเนินคดีอาญาฟ้อง นายมนตรี เจนวิทย์การ ฐานเป็นพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2502 มาตรา 11 และแจ้งคณะกรรมการ ป.ป.ช. ให้ส่งตัว นายมนตรี เจนวิทย์การ ไปฟ้องคดีภายในกำหนดอายุความ
ปัจจุบัน คดีอยู่ระหว่างรอส่งตัวผู้ถูกกล่าวหา
อนึ่ง ในคดีเกี่ยวกับการทุจริตขายทรัพย์สินของ ปรส. อัยการสูงสุดได้มีคำสั่งให้ดำเนินคดีกับ นายอมเรศ ศิลาอ่อน และนายวิชรัตน์ วิจิตรวาทการ ในข้อหาความผิดต่อพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงาน ในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ ซึ่งศาลอาญาได้พิพากษาลงโทษจำเลยทั้งสอง ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2502 มาตรา 11
ปัจจุบัน คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์