โอวาทหลวงพ่อชา


ชีวิตคนในสมัยของท่านอาจารย์มั่น

และท่านอาจารย์เสาร์นั้น สบายกว่าในสมัยนี้มาก



ไม่มีความวุ่นวายมากเหมือนอย่างทุกวันนี้

สมัยโน้น

พระไม่ต้องมายุ่งเกี่ยวกับพิธีรีตองต่างๆ

เหมือนอย่างเดี๋ยวนี้



ท่านอาศัยอยู่ตามป่า

ไม่ได้อยู่เป็นที่หรอก ธุดงค์ไปโน่น ธุดงค์ไปนี่เรื่อยไป

ท่านใช้เวลาของท่านปฏิบัติภาวนาอย่างเต็มที่



สมัยโน้นพระท่านไม่ได้มีข้าวของฟุ่มเฟือยมากมาย

อย่างที่มีกันทุกวันนี้หรอก

เพราะมันยังไม่มีอะไรมากอย่างเดี๋ยวนี้

กระบอกน้ำก็ทำเอา กระโถนก็ทำเอา

ทำเอาจากไม้ไผ่นั่นแหละ

ชาวบ้านก็นานๆจึงจะมาหาสักที

ความจริงพระท่านก็ไม่ได้ต้องการอะไร

ท่านสันโดษกับสิ่งที่ท่านมี



ท่านอยู่ไป ปฏิบัติภาวนาไปหายใจเป็นกรรมฐานอยู่นั่นแหละ

พระท่านก็ได้รับความลำบากมากอยู่เหมือนกัน



ในการที่อยู่ตามป่าตามเขาอย่างนั้น ถ้าองค์ใดเป็นไข้ป่า ไข้มาลาเรีย

ไปถามหาขอยาอาจารย์ก็จะบอกว่า

"ไม่ต้องฉันยาหรอก เร่งปฏิบัติภาวนาเข้าเถอะ"



ความจริงสมัยนั้นก็ไม่มีหยูกยามากอย่างสมัยนี้

มีแต่สมุนไพรรากไม้ที่ขึ้นอยู่ตามป่า

พระต้องอยู่อย่างอดอย่างทนเหลือหลาย

ในสมัยนั้นเจ็บไข้เล็กๆน้อยๆ ท่านก็ปล่อยมันไป

เดี๋ยวนี้สิเจ็บป่วยอะไรนิดหน่อยก็วิ่งไปโรงพยาบาลแล้ว



บางทีก็ต้องเดินบิณฑบาตตั้งห้ากิโล

พอฟ้าสางก็ต้องรีบออกจากวัดแล้ว

กว่าจะกลับก็โน่นสิบโมงสิบเอ็ดโมงโน่น

แล้วก็ไม่ใช่บิณฑบาตได้อะไรมากมาย



บางทีก็ได้ข้าวเหนียวสักก้อน เกลือสักหน่อย พริกสักนิด เท่านั้นเอง

ได้อะไรมาฉันกับข้าวหรือไม่ก็ช่างท่านไม่คิด

เพราะมันเป็นอย่างนั้นเอง

ไม่มีองค์ใดกล้าบ่นหิวหรือเพลียท่านไม่บ่น

เฝ้าแต่ระมัดระวังตน

ท่านปฏิบัติอยู่ในป่าอย่างอดทน

อันตรายก็มีรอบด้าน

สัตว์ดุร้ายก็มีอยู่หลายในป่านั้น



ความยากลำบากกาย ลำบากใจในการอยู่ธุดงค์ก็มีอยู่หลายแท้ๆ

แต่ท่านก็มีความอดความทนเป็นเลิศ

เพราะสิ่งแวดล้อมสมัยนั้นบังคับให้เป็นอย่างนั้น

มาสมัยนี้สิ่งแวดล้อมบังคับเราไปในทางตรงข้ามกับสมัยโน้น

ไปไหนเราก็เดินไป ต่อมาก็นั่งเกวียนแล้วก็นั่งรถยนต์

แต่ความทะยานอยากมันก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ



เดี๋ยวนี้ถ้าไม่ใช่รถปรับอากาศ

ก็จะไม่ยอมนั่งดูจะไปเอาไม่ได้เทียวแหละ

ถ้ารถนั้นไม่ปรับอากาศ



คุณธรรมในเรื่องความอดทนมันค่อยอ่อนลงๆ

การปฏิบัติภาวนาก็ย่อหย่อนลงไปมาก



เดี๋ยวนี้เราจึงเห็นนักปฏิบัติภาวนาชอบทำตามความเห็น

ความต้องการของตัวเอง

เมื่อผู้เฒ่าผู้แก่พูดถึงเรื่องเก่าๆแต่ครั้งก่อน

คนเดี๋ยวนี้ฟังเหมือนว่าเป็นนิทานนิยาย

ฟังไปเฉยๆแต่ไม่เข้าใจเลยแหละ

เพราะมันเข้าไม่ถึง



พระภิกษุที่บวชในสมัยก่อนนั้นจะต้องอยู่กับพระอุปัชฌาย์อย่างน้อยห้าปี

นี่เป็นระเบียบที่ถือกันมา

และต้องพยายามหลีกเลี่ยงการพูดคุย

อย่าปล่อยตัวเที่ยวพูดคุยมากเกินไป

อย่าอ่านหนังสือ แต่ให้อ่านใจของตัวเอง

ดูวัดหนองป่าพงเป็นตัวอย่าง

ทุกวันนี้มีพวกที่จบจากมหาวิทยาลัยมาบวชกันมาก

ต้องคอยห้ามไม่ให้เอาเวลาไปอ่านหนังสือธรรมะ

เพราะคนพวกนี้ชอบอ่านหนังสือ



แล้วก็ได้อ่านหนังสือมามากแล้ว

แต่โอกาสที่จะอ่านใจของตัวเองน่ะหายากมาก

ฉะนั้นระหว่างที่มาบวชสามเดือนนี้



ก็ต้องขอให้ปิดหนังสือ

ปิดตำรับตำราต่างๆให้หมดในระหว่างที่บวชนี้น่ะ

เป็นโอกาสวิเศษแล้วที่จะได้อ่านใจของตัวเอง



การตามดูใจของตัวเองนี่ น่าสนใจมาก

ใจที่ยังไม่ได้ฝึก

มันก็คอยวิ่งไปตามนิสัยเคยชินที่ยังไม่ได้ฝึก

ไม่ได้อบรม มันเต้นคึกคักไปตามเรื่องตามราว

ตามความคะนอง เพราะมันยังไม่เคยถูกฝึก



ดังนั้นจงฝึกใจของตัวเอง

การปฏิบัติภาวนาในทางพุทธศาสนาก็คือการปฏิบัติเรื่องใจ

ฝึกจิตฝึกใจของตัว

ฝึกอบรมจิตของตัวเองนี่แหละเรื่องนี้สำคัญมาก

การฝึกใจเป็นหลักสำคัญ



พุทธศาสนาเป็นศาสนาของใจ มันมีเท่านี้

ผู้ที่ฝึกปฏิบัติทางจิต

คือผู้ปฏิบัติธรรมในทางพุทธศาสนา                   
                                                          




https://www.facebook.com/pages/สาขาวัดหนองป่าพง/182989118504002
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่