สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 22
เข้ามาเสริมให้เกิดความกระจ่างขึ้นครับ.......ทั้งหมดของการแข่งขัน Economy run นั้น ต่างประเทศจัดแข่งขันมานานแล้ว(ประเทศไทยก็เคยจัดแข่งมาแล้วโดยนิตยสาร.Formula-ประมาณ35ปีมาแล้ว).......ตอนนั่นน้ำมันเชื้อเพลิงเพิ่มราคาจากลิตรละ1.80บาทมาเป็น2.20 บาทและขยับขึ้นมาจนถึง6บาท......ทั่วโลกเลยเกิดการตื่นตัวเพื่อหาทางสร้างยานประหยัดน้ำมันกันขนานใหญ่....ข้อสำคัญท่านที่เข้ามาเม้นต์นั้นจะต้องติดตามข่าวให้ละเอียด.....และอย่าคิดว่ามันเป็นเรื่องของการเอาชนะคะคานกันด้วยตัวเลข
หากเป็นไปในแบบนั้น สถิติต่างๆคงจะไม่ได้บันทึกเอาไว้ให้เป็นเรคคอร์ดให้มีการลบสถิติกันมาอย่างต่อเนื่องจนถึงบัดนี้.....สิ่งที่เรายังไม่เข้าใจและไม่มีความรู้ก็จะนึกไม่ถึง(แต่ก็ไม่ควรไปเขียนเชิงเย้ยหยันถึงความโอเวอร์อลังการณ์ในตัวเลขนั้นๆ)
กติกาของเขามีอยู่ว่า ให้ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายใน(เครื่องยนต์ปกตินี่แหละคือสันดาปภายใน...ส่วนสันดาปภายนอกคือเครื่องยนต์ไอน้ำ)......จะเป็นเครื่องยนต์ของรถอะไรก็ได้(ส่วนมากเราก็จะใช้เครื่องรถมอเตอร์ไซค์-ผมจะอธิบายวิธีการสร้างให้อ่านกันอย่างละเอียดทีหลังนะครับ)
เครื่องยนต์ที่เราเอามาทำรถประหยัดน้ำมันกันนี้ส่วนมากจะเป็นเครื่องยนต์4จังหวะ-มีความจุ50ซี.ซี.(หรือ55-60-70แต่ส่วนมากไม่เกิน100ซี.ซี.) เพราะสาระของมันก็คือ เราต้องการใช้แรงม้าในการขับเคลื่อนรถแค่ 2-3แรงม้าเท่านั้นเอง(เครื่องยนต์เดิมๆให้แรงม้าประมาณ8แรงม้า)
ในกติการะบุให้ใช้ภาชนะบรรจุ(เป็นหลอดแก้วทางวิทยาศาสตร์บรรจุน้ำมันได้ประมาณ300ซี.ซี.-ผู้จัดแข่งขันเป็นผู้เตรียมให้-ราคาหลอดที่ว่านี้กระปุกละ3000บาท) มีก็อกเปิด-ปิดให้น้ำมันลงคาบูเรเตอร์....ผู้แข่งขันจะต้องไปเบิกเอามาจากกรรมการ(มีการชั่งน้ำหนักตอนที่รับเอาไป-และเอามาชั่งน้ำหนักตอนแข่งขันเสร็จ-เพื่อคำนวนน้ำหนักหลังแข่งขันเสร็จ.....แล้วจะรู้ได้ว่ารถคันนั้นๆสามารถทำอัตราการประหยัดได้กี่กม/ลิตร)
กติกาไม่ได้ระบุให้ใช้ลูกสูบอะไร-ช่วงชักขนาดไหนและรอบเครื่องสูงแค่ไหน แต่ระบุให้ใช้ความเร็วเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า30กม/ชม.......และระยะทางแข่งขันทั้งหมด 3 กม.(หรือน้อยกว่านั้นก็ได้ แต่ให้ลงตัวที่เลข0 เพื่อให้ง่ายต่อการคำนวน)......สรุปแล้วก็คือ หากใช้ระยะทาง1กม.ผู้ขับขี่จะต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่า2นาที(ต่ำกว่า2นาทีก็แพ้ฟล์าว).......หากแข่ง2กม.ก็4นาที........3กม.ก็6นาที(ส่วนมากจะแข่งไม่เกิน3กม.เพราะโครงสร้างของรถพวกนี้ไม่อำนวยให้ขับไกลๆ)......เพราะเน้นเรื่องประหยัด
รถทุกคันจะถูกน้ำมาชั่งน้ำหนักก่อนแข่ง(เอาไว้ตัดสินขั้นตอนสุดท้ายในกรณีที่รถวิ่งได้ระยะทางเท่ากัน-เอารถคันที่หนักกว่า+น้ำหนักผู้ขับ)เป็นผู้ชนะ
รถแข่งเมื่อเข้าเส้นสตาร์ฺทแล้ว กรรมการจะโบกธงให้ออกรถ......และให้เวลาในการเคลื่อนตัวพ้นเส้นสตาร์ท15วินาที......หากรถออกตัวไม่ได้ก็แพ้ฟลาวไป(มีรถแข่งเป็น100คันจากทั่วโลกครับ-รอใครไม่ได้).......หริอหากออกตัวได้ เวลาก็จะเดินไปตั้งแต่กรรมการโบกธงลงแล้ว(คนขับก็จะต้องเร่งความเร็วมาชดเชยเอาเอง(เดิอดร้อนถึงผู้จัดการทีมจะต้องคอยสั่งการทางวิทยุให้คนขับเร่งความเร็วเพื่อไล่ให้ทันเวลาที่กำหนด-เร่งมากก็กินน้ำมันมากแหละ)
เมื่อแข่งครบรอบแล้ว ทีมแข่งจะต้องจอดรถในที่กำหนดเอาไว้......(มีกรรมการคุมละเอียด).....นักแข่งจะต้องถอดหลดน้ำมันนำไปให้กรรมการกลางชั่งน้ำหนักของน้ำมันที่เหลือแล้วบันทึกข้อมูล(การแข่งรถชนิดนี้จะมีกรรมการคุมรถแข่งคันละ3คน-เช็คละเอียด)
วิธีการขับรถแบบนี้ก็คือ เมื่อกรรมการตีธงปล่อยรถ-พลขับจึงกดปุ่มสตาร์ท(ถนอมน้ำมันไว้ให้มากที่สุด).....และเครื่องยนต์พวกนี้จะมีชุดหัวเผาแบบเครื่องยนต์ดีเซลอุ่นความร้อนล่วงหน้าไว้(กันเครื่องไม่ติด)......แล้วลากรอบเครื่องยนต์ขึ้นไปจนถึงความเร็ว35กม/ชม.แล้วดับเครื่องยนต์.....พอรถช้าลงจนถึง30กมม/ชม.ก็กดปุ่มสตาร์ทใหม่......ทำแบบนี้ไปเรื่อยๆจนกว่าจะครบรอบการแข่งขัน(กติกาไม่ห้ามการดับเครื่อง-แต่ผู้ขับส่วนมากไม่กล้าดับเครื่องเพราะกลัวสตาร์ทไม่ติด)
ในการทำงานของรถประหยัดน้ำมันที่กล่าวนี้ รอบเครื่องยนต์มันไม่ได้ถูกเร่งขึ้นไปถึง1500รอบ/นาทีครับ.(รถทั่วไปจะใช้รอบประมาณ3000รอบ/นาที).....เราเปลี่ยนอัตราทดในห้องเกียร์ใหม่ทั้งหมดแล้วยังไม่พอ-ต้องเอาเกียร์รถเสือหมอบเข้ามาเสริมระหว่างโซ่ขับเครื่องอีกถึง2ชั้น.....ไม่งั้นรอบจะสูงเกินไป
ส่วนภายในห้องข้อเหวี่ยงและชิ้นส่วนอื่นๆนั้น ผมไม่อธิบายนะครับ เอาแค่นี้แหละ-หากลึกเกินไปคุณจะมีข้อถกเถียงในใจอีกมากมาย เพราะความรู้ของแต่ละคนไม่เท่ากัน......ผมเคยเขียนเรื่องของเทคนิครถแข่งให้อ่านกันหลายตอนแล้ว แต่มีคนที่ภูมิรู้ยังไม่ถึงระดับที่พอจะคุยกันได้เข้ามาเม้นต์ต่อ-ทำให้ผมต้องกลับมานั่งนับ1ใหม่หลายๆครั้ง....เลยขออธิบายพอให้เข้าใจแต่เพียงเท่านี้(อย่าต่อว่านะครับว่าผมเขียนแบบเหยียดความรู้ใคร-ไม่ได้หมายถึงอย่างนั้น ขอเพียงให้ผู้เข้ามาเสพเปิดใจรับความรู้คนอื่นบ้างเท่านั้นแหละ)
ใครเคยอ่านหนังสือนวโกวาท ก็จะเห็นเองว่าพระพุทธองค์ทรงกำหนดโทษให้พระสงฆ์เป็นอาบัติปาราชิกเมื่อไปเล่าเรื่องที่ตนเห็นแต่คนอื่นไม่เห็น(ประเภทนั่งทางในแล้วรู้เห็นอนาคตได้).....เอาเท่านี้นะครับ....ไว้ให้อากาศคลายร้อนลงกว่านี้หน่อยผมจะกลับมาเขียนให้อ่านกันใหม่
หากเป็นไปในแบบนั้น สถิติต่างๆคงจะไม่ได้บันทึกเอาไว้ให้เป็นเรคคอร์ดให้มีการลบสถิติกันมาอย่างต่อเนื่องจนถึงบัดนี้.....สิ่งที่เรายังไม่เข้าใจและไม่มีความรู้ก็จะนึกไม่ถึง(แต่ก็ไม่ควรไปเขียนเชิงเย้ยหยันถึงความโอเวอร์อลังการณ์ในตัวเลขนั้นๆ)
กติกาของเขามีอยู่ว่า ให้ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายใน(เครื่องยนต์ปกตินี่แหละคือสันดาปภายใน...ส่วนสันดาปภายนอกคือเครื่องยนต์ไอน้ำ)......จะเป็นเครื่องยนต์ของรถอะไรก็ได้(ส่วนมากเราก็จะใช้เครื่องรถมอเตอร์ไซค์-ผมจะอธิบายวิธีการสร้างให้อ่านกันอย่างละเอียดทีหลังนะครับ)
เครื่องยนต์ที่เราเอามาทำรถประหยัดน้ำมันกันนี้ส่วนมากจะเป็นเครื่องยนต์4จังหวะ-มีความจุ50ซี.ซี.(หรือ55-60-70แต่ส่วนมากไม่เกิน100ซี.ซี.) เพราะสาระของมันก็คือ เราต้องการใช้แรงม้าในการขับเคลื่อนรถแค่ 2-3แรงม้าเท่านั้นเอง(เครื่องยนต์เดิมๆให้แรงม้าประมาณ8แรงม้า)
ในกติการะบุให้ใช้ภาชนะบรรจุ(เป็นหลอดแก้วทางวิทยาศาสตร์บรรจุน้ำมันได้ประมาณ300ซี.ซี.-ผู้จัดแข่งขันเป็นผู้เตรียมให้-ราคาหลอดที่ว่านี้กระปุกละ3000บาท) มีก็อกเปิด-ปิดให้น้ำมันลงคาบูเรเตอร์....ผู้แข่งขันจะต้องไปเบิกเอามาจากกรรมการ(มีการชั่งน้ำหนักตอนที่รับเอาไป-และเอามาชั่งน้ำหนักตอนแข่งขันเสร็จ-เพื่อคำนวนน้ำหนักหลังแข่งขันเสร็จ.....แล้วจะรู้ได้ว่ารถคันนั้นๆสามารถทำอัตราการประหยัดได้กี่กม/ลิตร)
กติกาไม่ได้ระบุให้ใช้ลูกสูบอะไร-ช่วงชักขนาดไหนและรอบเครื่องสูงแค่ไหน แต่ระบุให้ใช้ความเร็วเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า30กม/ชม.......และระยะทางแข่งขันทั้งหมด 3 กม.(หรือน้อยกว่านั้นก็ได้ แต่ให้ลงตัวที่เลข0 เพื่อให้ง่ายต่อการคำนวน)......สรุปแล้วก็คือ หากใช้ระยะทาง1กม.ผู้ขับขี่จะต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่า2นาที(ต่ำกว่า2นาทีก็แพ้ฟล์าว).......หากแข่ง2กม.ก็4นาที........3กม.ก็6นาที(ส่วนมากจะแข่งไม่เกิน3กม.เพราะโครงสร้างของรถพวกนี้ไม่อำนวยให้ขับไกลๆ)......เพราะเน้นเรื่องประหยัด
รถทุกคันจะถูกน้ำมาชั่งน้ำหนักก่อนแข่ง(เอาไว้ตัดสินขั้นตอนสุดท้ายในกรณีที่รถวิ่งได้ระยะทางเท่ากัน-เอารถคันที่หนักกว่า+น้ำหนักผู้ขับ)เป็นผู้ชนะ
รถแข่งเมื่อเข้าเส้นสตาร์ฺทแล้ว กรรมการจะโบกธงให้ออกรถ......และให้เวลาในการเคลื่อนตัวพ้นเส้นสตาร์ท15วินาที......หากรถออกตัวไม่ได้ก็แพ้ฟลาวไป(มีรถแข่งเป็น100คันจากทั่วโลกครับ-รอใครไม่ได้).......หริอหากออกตัวได้ เวลาก็จะเดินไปตั้งแต่กรรมการโบกธงลงแล้ว(คนขับก็จะต้องเร่งความเร็วมาชดเชยเอาเอง(เดิอดร้อนถึงผู้จัดการทีมจะต้องคอยสั่งการทางวิทยุให้คนขับเร่งความเร็วเพื่อไล่ให้ทันเวลาที่กำหนด-เร่งมากก็กินน้ำมันมากแหละ)
เมื่อแข่งครบรอบแล้ว ทีมแข่งจะต้องจอดรถในที่กำหนดเอาไว้......(มีกรรมการคุมละเอียด).....นักแข่งจะต้องถอดหลดน้ำมันนำไปให้กรรมการกลางชั่งน้ำหนักของน้ำมันที่เหลือแล้วบันทึกข้อมูล(การแข่งรถชนิดนี้จะมีกรรมการคุมรถแข่งคันละ3คน-เช็คละเอียด)
วิธีการขับรถแบบนี้ก็คือ เมื่อกรรมการตีธงปล่อยรถ-พลขับจึงกดปุ่มสตาร์ท(ถนอมน้ำมันไว้ให้มากที่สุด).....และเครื่องยนต์พวกนี้จะมีชุดหัวเผาแบบเครื่องยนต์ดีเซลอุ่นความร้อนล่วงหน้าไว้(กันเครื่องไม่ติด)......แล้วลากรอบเครื่องยนต์ขึ้นไปจนถึงความเร็ว35กม/ชม.แล้วดับเครื่องยนต์.....พอรถช้าลงจนถึง30กมม/ชม.ก็กดปุ่มสตาร์ทใหม่......ทำแบบนี้ไปเรื่อยๆจนกว่าจะครบรอบการแข่งขัน(กติกาไม่ห้ามการดับเครื่อง-แต่ผู้ขับส่วนมากไม่กล้าดับเครื่องเพราะกลัวสตาร์ทไม่ติด)
ในการทำงานของรถประหยัดน้ำมันที่กล่าวนี้ รอบเครื่องยนต์มันไม่ได้ถูกเร่งขึ้นไปถึง1500รอบ/นาทีครับ.(รถทั่วไปจะใช้รอบประมาณ3000รอบ/นาที).....เราเปลี่ยนอัตราทดในห้องเกียร์ใหม่ทั้งหมดแล้วยังไม่พอ-ต้องเอาเกียร์รถเสือหมอบเข้ามาเสริมระหว่างโซ่ขับเครื่องอีกถึง2ชั้น.....ไม่งั้นรอบจะสูงเกินไป
ส่วนภายในห้องข้อเหวี่ยงและชิ้นส่วนอื่นๆนั้น ผมไม่อธิบายนะครับ เอาแค่นี้แหละ-หากลึกเกินไปคุณจะมีข้อถกเถียงในใจอีกมากมาย เพราะความรู้ของแต่ละคนไม่เท่ากัน......ผมเคยเขียนเรื่องของเทคนิครถแข่งให้อ่านกันหลายตอนแล้ว แต่มีคนที่ภูมิรู้ยังไม่ถึงระดับที่พอจะคุยกันได้เข้ามาเม้นต์ต่อ-ทำให้ผมต้องกลับมานั่งนับ1ใหม่หลายๆครั้ง....เลยขออธิบายพอให้เข้าใจแต่เพียงเท่านี้(อย่าต่อว่านะครับว่าผมเขียนแบบเหยียดความรู้ใคร-ไม่ได้หมายถึงอย่างนั้น ขอเพียงให้ผู้เข้ามาเสพเปิดใจรับความรู้คนอื่นบ้างเท่านั้นแหละ)
ใครเคยอ่านหนังสือนวโกวาท ก็จะเห็นเองว่าพระพุทธองค์ทรงกำหนดโทษให้พระสงฆ์เป็นอาบัติปาราชิกเมื่อไปเล่าเรื่องที่ตนเห็นแต่คนอื่นไม่เห็น(ประเภทนั่งทางในแล้วรู้เห็นอนาคตได้).....เอาเท่านี้นะครับ....ไว้ให้อากาศคลายร้อนลงกว่านี้หน่อยผมจะกลับมาเขียนให้อ่านกันใหม่
แสดงความคิดเห็น
จริงหรือไม่ที่น้ำมัน 1 ลิตรทำให้รถวิ่งได้ 2 พันกว่ากิโล