(บางส่วน)
[๕๑๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ก็ธรรมสมาทานที่มีสุขในปัจจุบัน แต่มีทุกข์เป็นวิบากต่อไปเป็นไฉน?
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
มีสมณพราหมณ์พวกหนึ่ง มีวาทะอย่างนี้ มีทิฏฐิอย่างนี้ว่า โทษในกามทั้งหลายมิได้มี
สมณพราหมณ์พวกนั้น ย่อมถึงความเป็นผู้ดื่มในกามทั้งหลาย. ย่อมบำเรอกับพวกนางปริพาชิกาที่เกล้ามวยผม
และกล่าวอย่างนี้ว่า .......
ไฉน ท่านพระสมณพราหมณ์พวกนั้น เห็นภัยในอนาคตในกามทั้งหลาย
จึงกล่าวการละกามทั้งหลาย บัญญัติความกำหนดรู้กามทั้งหลาย
(อันที่จริง) การสัมผัสที่แขนมีขนอ่อนนุ่มแห่งนางปริพาชิกานี้ นำให้เกิดสุข ดังนี้แล้ว ก็ถึงความเป็นผู้ดื่มในกามทั้งหลาย.
สมณพราหมณ์เหล่านั้น ครั้นถึงความเป็นผู้ดื่มในกามทั้งหลายว่าแล้ว เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก
ย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก. เสวยทุกขเวทนา หยาบ เผ็ดร้อน ในที่ที่ตนเกิดนั้น และกล่าวอย่างนี้ว่า
ท่านสมณพราหมณ์พวกนั้น เห็นภัยในอนาคตในกามทั้งหลายนี่แหละ จึงกล่าวการละกามทั้งหลาย
บัญญัติความกำหนดรู้กามทั้งหลาย พวกเรานี้ ย่อมเสวยทุกขเวทนาหยาบ เผ็ดร้อน เพราะกามเป็นปัจจัย.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
เปรียบเหมือนลูกสุกแห่ง
เครือถามาลุว่า (ย่านซายหรือย่างซาย) พึงแตกในเดือนท้ายฤดูร้อน.
พืชแห่งเครือเถามาลุวานั้น ตกลงที่โคนต้นสาละต้นใดต้นหนึ่ง
เทวดาผู้สิงอยู่ที่ต้นสาละนั้น กลัวหวาดเสียวถึงความสะดุ้ง.
พวกอาราม วนเทวดา รุกขเทวดา และพวกเทวดา ที่สิงอยู่ที่ต้นไม้อันเป็นป่าหญ้าและต้นไม้เป็นเจ้าไพร ผู้เป็นมิตรสหาย
ญาติสาโลหิต แห่งเทวดาที่สิงอยู่ที่ต้นสาละนั้นต่างก็พากันมาปลอบอย่างนี้ว่า
ท่านผู้เจริญอย่ากลัวเลย... ท่านผู้เจริญอย่ากลัวเลย....
พืชแห่งเครือเถามาลุวานั้น บางทีนกยูงพึงกลืนกินเสีย เนื้อพึงเคี้ยวกินเสีย ไฟป่าพึงไหม้เสีย
พวกทำงานในป่าพึงถอนเสีย ปลวกพึงกัดเสีย หรือไม่เป็นพืชต่อไป.
......แต่พืชแห่ง
เครือเถามาลุวานั้น นกยูงก็ไม่กลืนกิน เนื้อก็ไม่เคี้ยวกิน ไฟป่าก็ไม่ไหม้
พวกทำการงานในป่าก็ไม่ถอน ปลวกไม่กัด ยังคงเป็นพืชต่อไป. ถูกเมฆฝนตกรดเข้าแล้วก็งอกขึ้นโดยดี
เป็นเครือเถามาลุวาเล็ก อ่อน มีย่านห้อยย้อยเข้าไปอาศัยต้นสาละนั้น.
เทวดาที่สิงอยู่ที่ต้นสาละนั้นจึงกล่าวว่า
ไฉนพวกท่าน อารามเทวดาวนเทวดา รุกขเทวดา และเทวดาที่สิงอยู่ที่ต้นไม้อันเป็นป่าหญ้าและต้นไม้เป็นเจ้าไพร
ผู้เป็นมิตรสหาย ญาติสาโลหิต จึงเห็นภัยในอนาคตในเพราะพืชแห่งเครือเถามาลุวา พากันมาปลอบอย่างนี้ว่า
ท่านผู้เจริญอย่ากลัวเลย ท่านผู้เจริญอย่ากลัวเลย พืชแห่งเครือเถามาลุวานั้น บางทีนกยูงพึงกลืนกินเสีย
เนื้อพึงเคี้ยวกินเสีย ไฟป่าพึงไหม้เสีย พวกทำการงานในป่าพึงถอนเสีย ปลวกพึงกัดเสีย หรือไม่เป็นพืชต่อไป
เครือเถามาลุวานี้ เล็กอ่อน มีย่านห้อมย้อยอยู่ มีสัมผัสนำความสุขมาให้.
เครือเถามาลุมานั้นเข้าพันต้นสาละนั้น. ครั้นเข้าพันแล้ว ทำให้เป็นดังร่มอยู่ข้างบน ให้แตกเถาอยู่ข้างล่าง
ทำลายลำต้นใหญ่ๆ ของต้นสาละนั้นเสีย.
เทวดาที่สิงอยู่ที่ต้นสาละนั้นก็กล่าวอย่างนี้ว่า
พวกท่านอารามเทวดา วนเทวดา รุกขเทวดา และพวกเทวดาที่สิงอยู่ที่ต้นไม้อันเป็นป่าหญ้าและต้นไม้เป็นเจ้าไพร
เป็นผู้มิตรสหาย ญาติสาโลหิต เห็นภัยในอนาคตในเพราะพืชแห่งเครือเถามาลุวานี้ จึงพากันมาปลอบอย่างนี้ว่า
ท่านผู้เจริญอย่ากลัวเลย ท่านผู้เจริญอย่ากลัวเลย พืชแห่งเครือเถามาลุวานั้น บางทีนกยูงพึงกลืนกินเสีย เนื้อพึงเคี้ยวกินเสีย
ไฟป่าพึงไหม้เสีย พวกทำการงานในป่าพึงถอนเสีย ปลวกพึงกัดเสีย หรือไม่เป็นพืชต่อไป
เรานั้นเสวยทุกขเวทนาหยาบ เผ็ดร้อน เพราะพืชแห่งเครือเถามาลุมาวาเป็นเหตุฉันใด.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
สมณพราหมณ์พวกหนึ่ง มีวาทะอย่างนี้ มีทิฏฐิอย่างนี้ว่า โทษในกามทั้งหลายมิได้มีจึงถึงความเป็นผู้ดื่มในกามทั้งหลาย
บำเรอกับพวกนางปริพาชิกาที่เกล้ามวยผม. และกล่าวอย่างนี้ว่า ไฉนท่านสมณเหล่านั้น จึงเห็นภัยในอนาคตในกามทั้งหลาย
กล่าวการละกามทั้งหลาย บัญญัติความกำหนดรู้ในกามทั้งหลายว่า อันที่จริงการสัมผัสที่แขนมีขนอ่อนนุ่มแห่งนางปริพาชิกานี้
นำให้เกิดสุข จึงถึงความเป็นผู้ดื่มในการกามทั้งหลาย. ครั้นถึงความเป็นผู้ดื่มในกามทั้งหลายแล้วเบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก
ก็เข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก. ย่อมเสวยทุกขเวทนาหยาบ เผ็ดร้อน ในที่ที่ตนเกิดนั้น และกล่าวในที่นั้นอย่างนี้ว่า
ท่านสมณพราหมณ์เหล่านั้นเห็นภัยในอนาคตในกามทั้งหลายนี้ จึงกล่าวการละกามทั้งหลาย บัญญัติความกำหนดรู้กามทั้งหลายว่า
พวกเรานี้ ย่อมเสวยทุกขเวทนาหยาบ เผ็ดร้อน เพราะกามเป็นปัจจัย ก็ฉันนั้นเหมือนกัน
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ธรรมสมาทานนี้ เรากล่าวว่า มีสุขในปัจจุบัน แต่มีทุกข์เป็นวิบากต่อไป.
---------------
จูฬธรรมสมาทานสูตร
เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๒ บรรทัดที่ ๙๖๐๒ - ๙๗๐๐. หน้าที่ ๓๙๕ - ๓๙๘.
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v.php?B=12&A=9602&Z=9700&pagebreak=0
ศึกษาอรรถกถานี้ ได้ที่ :-
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=12&i=514
ธรรมสมาทานที่มีสุขในปัจจุบัน แต่มีทุกข์เป็นวิบากต่อไปเป็นไฉน?
[๕๑๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ก็ธรรมสมาทานที่มีสุขในปัจจุบัน แต่มีทุกข์เป็นวิบากต่อไปเป็นไฉน?
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
มีสมณพราหมณ์พวกหนึ่ง มีวาทะอย่างนี้ มีทิฏฐิอย่างนี้ว่า โทษในกามทั้งหลายมิได้มี
สมณพราหมณ์พวกนั้น ย่อมถึงความเป็นผู้ดื่มในกามทั้งหลาย. ย่อมบำเรอกับพวกนางปริพาชิกาที่เกล้ามวยผม
และกล่าวอย่างนี้ว่า .......ไฉน ท่านพระสมณพราหมณ์พวกนั้น เห็นภัยในอนาคตในกามทั้งหลาย
จึงกล่าวการละกามทั้งหลาย บัญญัติความกำหนดรู้กามทั้งหลาย
(อันที่จริง) การสัมผัสที่แขนมีขนอ่อนนุ่มแห่งนางปริพาชิกานี้ นำให้เกิดสุข ดังนี้แล้ว ก็ถึงความเป็นผู้ดื่มในกามทั้งหลาย.
สมณพราหมณ์เหล่านั้น ครั้นถึงความเป็นผู้ดื่มในกามทั้งหลายว่าแล้ว เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก
ย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก. เสวยทุกขเวทนา หยาบ เผ็ดร้อน ในที่ที่ตนเกิดนั้น และกล่าวอย่างนี้ว่า
ท่านสมณพราหมณ์พวกนั้น เห็นภัยในอนาคตในกามทั้งหลายนี่แหละ จึงกล่าวการละกามทั้งหลาย
บัญญัติความกำหนดรู้กามทั้งหลาย พวกเรานี้ ย่อมเสวยทุกขเวทนาหยาบ เผ็ดร้อน เพราะกามเป็นปัจจัย.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
เปรียบเหมือนลูกสุกแห่งเครือถามาลุว่า (ย่านซายหรือย่างซาย) พึงแตกในเดือนท้ายฤดูร้อน.
พืชแห่งเครือเถามาลุวานั้น ตกลงที่โคนต้นสาละต้นใดต้นหนึ่ง
เทวดาผู้สิงอยู่ที่ต้นสาละนั้น กลัวหวาดเสียวถึงความสะดุ้ง.
พวกอาราม วนเทวดา รุกขเทวดา และพวกเทวดา ที่สิงอยู่ที่ต้นไม้อันเป็นป่าหญ้าและต้นไม้เป็นเจ้าไพร ผู้เป็นมิตรสหาย
ญาติสาโลหิต แห่งเทวดาที่สิงอยู่ที่ต้นสาละนั้นต่างก็พากันมาปลอบอย่างนี้ว่า
ท่านผู้เจริญอย่ากลัวเลย... ท่านผู้เจริญอย่ากลัวเลย....
พืชแห่งเครือเถามาลุวานั้น บางทีนกยูงพึงกลืนกินเสีย เนื้อพึงเคี้ยวกินเสีย ไฟป่าพึงไหม้เสีย
พวกทำงานในป่าพึงถอนเสีย ปลวกพึงกัดเสีย หรือไม่เป็นพืชต่อไป.
......แต่พืชแห่งเครือเถามาลุวานั้น นกยูงก็ไม่กลืนกิน เนื้อก็ไม่เคี้ยวกิน ไฟป่าก็ไม่ไหม้
พวกทำการงานในป่าก็ไม่ถอน ปลวกไม่กัด ยังคงเป็นพืชต่อไป. ถูกเมฆฝนตกรดเข้าแล้วก็งอกขึ้นโดยดี
เป็นเครือเถามาลุวาเล็ก อ่อน มีย่านห้อยย้อยเข้าไปอาศัยต้นสาละนั้น.
เทวดาที่สิงอยู่ที่ต้นสาละนั้นจึงกล่าวว่า
ไฉนพวกท่าน อารามเทวดาวนเทวดา รุกขเทวดา และเทวดาที่สิงอยู่ที่ต้นไม้อันเป็นป่าหญ้าและต้นไม้เป็นเจ้าไพร
ผู้เป็นมิตรสหาย ญาติสาโลหิต จึงเห็นภัยในอนาคตในเพราะพืชแห่งเครือเถามาลุวา พากันมาปลอบอย่างนี้ว่า
ท่านผู้เจริญอย่ากลัวเลย ท่านผู้เจริญอย่ากลัวเลย พืชแห่งเครือเถามาลุวานั้น บางทีนกยูงพึงกลืนกินเสีย
เนื้อพึงเคี้ยวกินเสีย ไฟป่าพึงไหม้เสีย พวกทำการงานในป่าพึงถอนเสีย ปลวกพึงกัดเสีย หรือไม่เป็นพืชต่อไป
เครือเถามาลุวานี้ เล็กอ่อน มีย่านห้อมย้อยอยู่ มีสัมผัสนำความสุขมาให้.
เครือเถามาลุมานั้นเข้าพันต้นสาละนั้น. ครั้นเข้าพันแล้ว ทำให้เป็นดังร่มอยู่ข้างบน ให้แตกเถาอยู่ข้างล่าง
ทำลายลำต้นใหญ่ๆ ของต้นสาละนั้นเสีย.
เทวดาที่สิงอยู่ที่ต้นสาละนั้นก็กล่าวอย่างนี้ว่า
พวกท่านอารามเทวดา วนเทวดา รุกขเทวดา และพวกเทวดาที่สิงอยู่ที่ต้นไม้อันเป็นป่าหญ้าและต้นไม้เป็นเจ้าไพร
เป็นผู้มิตรสหาย ญาติสาโลหิต เห็นภัยในอนาคตในเพราะพืชแห่งเครือเถามาลุวานี้ จึงพากันมาปลอบอย่างนี้ว่า
ท่านผู้เจริญอย่ากลัวเลย ท่านผู้เจริญอย่ากลัวเลย พืชแห่งเครือเถามาลุวานั้น บางทีนกยูงพึงกลืนกินเสีย เนื้อพึงเคี้ยวกินเสีย
ไฟป่าพึงไหม้เสีย พวกทำการงานในป่าพึงถอนเสีย ปลวกพึงกัดเสีย หรือไม่เป็นพืชต่อไป
เรานั้นเสวยทุกขเวทนาหยาบ เผ็ดร้อน เพราะพืชแห่งเครือเถามาลุมาวาเป็นเหตุฉันใด.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
สมณพราหมณ์พวกหนึ่ง มีวาทะอย่างนี้ มีทิฏฐิอย่างนี้ว่า โทษในกามทั้งหลายมิได้มีจึงถึงความเป็นผู้ดื่มในกามทั้งหลาย
บำเรอกับพวกนางปริพาชิกาที่เกล้ามวยผม. และกล่าวอย่างนี้ว่า ไฉนท่านสมณเหล่านั้น จึงเห็นภัยในอนาคตในกามทั้งหลาย
กล่าวการละกามทั้งหลาย บัญญัติความกำหนดรู้ในกามทั้งหลายว่า อันที่จริงการสัมผัสที่แขนมีขนอ่อนนุ่มแห่งนางปริพาชิกานี้
นำให้เกิดสุข จึงถึงความเป็นผู้ดื่มในการกามทั้งหลาย. ครั้นถึงความเป็นผู้ดื่มในกามทั้งหลายแล้วเบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก
ก็เข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก. ย่อมเสวยทุกขเวทนาหยาบ เผ็ดร้อน ในที่ที่ตนเกิดนั้น และกล่าวในที่นั้นอย่างนี้ว่า
ท่านสมณพราหมณ์เหล่านั้นเห็นภัยในอนาคตในกามทั้งหลายนี้ จึงกล่าวการละกามทั้งหลาย บัญญัติความกำหนดรู้กามทั้งหลายว่า
พวกเรานี้ ย่อมเสวยทุกขเวทนาหยาบ เผ็ดร้อน เพราะกามเป็นปัจจัย ก็ฉันนั้นเหมือนกัน
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ธรรมสมาทานนี้ เรากล่าวว่า มีสุขในปัจจุบัน แต่มีทุกข์เป็นวิบากต่อไป.
---------------
จูฬธรรมสมาทานสูตร
เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๒ บรรทัดที่ ๙๖๐๒ - ๙๗๐๐. หน้าที่ ๓๙๕ - ๓๙๘.
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v.php?B=12&A=9602&Z=9700&pagebreak=0
ศึกษาอรรถกถานี้ ได้ที่ :-
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=12&i=514