ขอเล่าย่อๆ คดีความยักยอกเงินบริษัท
ดิฉันในนามกรรมการบริษัทได้แจ้งความจับพนักงานคนหนึ่งในฐานะยักยอกเงินบริษัท ตำรวจไปจับคนนั้นแล้วส่งเรื่องต่อให้อัยการ
อัยการสั่งฟ้องข้อหายักยอก แต่คนนี้ต่อไปเรียกจำเลย จำเลยไปเอาพยานเท็จมาเป็นพยานว่า เห็นจำเลยนำถุงสีน้ำตาลมาให้ดิฉัน ซึ่งจำเลยอ้างว่านั่นคือเงิน
เอามาคืนให้ดิฉันแล้ว ดิฉันไม่ได้ไปศาลฟังการนำสืบพยานเลย และบริษัทก็ไม่ได้แต่ตั้งทนายเข้าไปเป็นโจทย์ร่วมในขั้นนำสืบพยานด้วย มีแต่อัยการเป็นฝ่ายซักถามพยานเองของบริษัทเอง ซึ่งความจริงคือมันไม่มีการคืนเงินให้บริษัท เพราะไม่มีหลักฐานการเซ็นต์รับเงินจากดิฉันหรือใครในบริษัทเลย ไม่มีการออก
ใบเสร็จให้จำเลยเอาไปให้ลูกค้า จำเลยมีแต่พยานบุคคลว่าเห็นจำเลยเอาถุงสีน้ำตาลมาให้ดิฉัน
ทำไมมีแค่พยานของจำเลย (ซึ่งเป็นพยานเท็จ) และแค่ว่าดิฉันไม่ได้ถูกนำตัวเข้าให้การในฐานะผู้ถูกกล่าวถึง เพราะอัยการไม่ได้เรียกตัวดิฉันเป็นพยานเลย
ศาลชั้นต้นตัดสินว่ายกฟ้องเหตุผลว่าไม่ได้นำตัวดิฉันมาสืบด้วย เพราะฉะนั้นซองสีน้ำตาลนั้นยังเป็นข้อสงสัยอยู่ แต่ต้องยกประโยชน์ให้จำเลยคือยกฟ้อง
และเนื่องจากคดีนี้อัยการเป็นผู้สั่งฟ้อง บริษัทได้แต่งตั้งทนายเข้าไปเป็นโจทย์ร่วมในช่วงท้ายก่อนการตัดสิน เมื่อคดีถูกยกฟ้อง ทนายขอยื่นอุทธรณ์ แต่ศาลไม่เซ็นต์อนุมัติให้อุทธรณ์ บริษัทไม่สามารถทำอะไรได้ คดีนี้ตั้งแต่ปี 52 จนเมื่อปลายปีที่แล้วดิฉันได้รับหมายศาลเป็นจำเลยในข้อหาแจ้งความเท็จ
และจะต้องไปศาลในวันที่ 23 มิ.ย.นี้
ดิฉันเป็นผู้บริสุทธิ์กลับต้องกลายมาเป็นจำเลย มีการตัดสินแบบนี้ด้วยหรือ แค่มีพยานใครก็ได้มาคนนึง แล้วศาลสามารถตัดสินได้เลยหรือว่าจำเลยไม่ผิด
แบบนี้มันไม่ง่ายไปหน่อยหรือคะ คิดว่าไม่ต้องใช้ผู้มีความรู้ก็ตัดสินได้ ถ้าเราแค่มีคนมาเป็นพยานให้ พยานเท็จหรือจริงไม่รู้ ศาลก็ตัดสินได้แล้ว
ดิฉันสงสัยว่าจะมีการรับสินบนจึงขอคำแนะนำผู้มีความรู้ด้านกฎหมายแนะนำ
ดิฉันอยากให้สื่อไปสังเกตการณ์ ได้โทรไปมติชน ข่าวฝ่ายยุติธรรม แนะนำให้ดิฉันมีแค่ทนายและหลักฐานว่าไม่ได้แจ้งความเท็จก็เพียงพอ ส่วนเรื่องที่ศาล
ตัดสินไปแล้วว่ายกฟ้อง มันเป็นคนละคดี ไม่สามารถเอามารวมกันได้
ดิฉันได้ติดต่อเพื่อนของเพื่อนที่ไทยรัฐ เพื่อนดิฉันบอกว่าถ้าจะให้นักข่าวไปงานต้องมีค่าใช้จ่ายเหมือนให้นักข่าวไปงานอีเว้นท์
อยากขอความเห็นจากนักกฎหมายค่ะ
ขอความเห็นเพื่อนๆเรื่องคดีความ
ดิฉันในนามกรรมการบริษัทได้แจ้งความจับพนักงานคนหนึ่งในฐานะยักยอกเงินบริษัท ตำรวจไปจับคนนั้นแล้วส่งเรื่องต่อให้อัยการ
อัยการสั่งฟ้องข้อหายักยอก แต่คนนี้ต่อไปเรียกจำเลย จำเลยไปเอาพยานเท็จมาเป็นพยานว่า เห็นจำเลยนำถุงสีน้ำตาลมาให้ดิฉัน ซึ่งจำเลยอ้างว่านั่นคือเงิน
เอามาคืนให้ดิฉันแล้ว ดิฉันไม่ได้ไปศาลฟังการนำสืบพยานเลย และบริษัทก็ไม่ได้แต่ตั้งทนายเข้าไปเป็นโจทย์ร่วมในขั้นนำสืบพยานด้วย มีแต่อัยการเป็นฝ่ายซักถามพยานเองของบริษัทเอง ซึ่งความจริงคือมันไม่มีการคืนเงินให้บริษัท เพราะไม่มีหลักฐานการเซ็นต์รับเงินจากดิฉันหรือใครในบริษัทเลย ไม่มีการออก
ใบเสร็จให้จำเลยเอาไปให้ลูกค้า จำเลยมีแต่พยานบุคคลว่าเห็นจำเลยเอาถุงสีน้ำตาลมาให้ดิฉัน
ทำไมมีแค่พยานของจำเลย (ซึ่งเป็นพยานเท็จ) และแค่ว่าดิฉันไม่ได้ถูกนำตัวเข้าให้การในฐานะผู้ถูกกล่าวถึง เพราะอัยการไม่ได้เรียกตัวดิฉันเป็นพยานเลย
ศาลชั้นต้นตัดสินว่ายกฟ้องเหตุผลว่าไม่ได้นำตัวดิฉันมาสืบด้วย เพราะฉะนั้นซองสีน้ำตาลนั้นยังเป็นข้อสงสัยอยู่ แต่ต้องยกประโยชน์ให้จำเลยคือยกฟ้อง
และเนื่องจากคดีนี้อัยการเป็นผู้สั่งฟ้อง บริษัทได้แต่งตั้งทนายเข้าไปเป็นโจทย์ร่วมในช่วงท้ายก่อนการตัดสิน เมื่อคดีถูกยกฟ้อง ทนายขอยื่นอุทธรณ์ แต่ศาลไม่เซ็นต์อนุมัติให้อุทธรณ์ บริษัทไม่สามารถทำอะไรได้ คดีนี้ตั้งแต่ปี 52 จนเมื่อปลายปีที่แล้วดิฉันได้รับหมายศาลเป็นจำเลยในข้อหาแจ้งความเท็จ
และจะต้องไปศาลในวันที่ 23 มิ.ย.นี้
ดิฉันเป็นผู้บริสุทธิ์กลับต้องกลายมาเป็นจำเลย มีการตัดสินแบบนี้ด้วยหรือ แค่มีพยานใครก็ได้มาคนนึง แล้วศาลสามารถตัดสินได้เลยหรือว่าจำเลยไม่ผิด
แบบนี้มันไม่ง่ายไปหน่อยหรือคะ คิดว่าไม่ต้องใช้ผู้มีความรู้ก็ตัดสินได้ ถ้าเราแค่มีคนมาเป็นพยานให้ พยานเท็จหรือจริงไม่รู้ ศาลก็ตัดสินได้แล้ว
ดิฉันสงสัยว่าจะมีการรับสินบนจึงขอคำแนะนำผู้มีความรู้ด้านกฎหมายแนะนำ
ดิฉันอยากให้สื่อไปสังเกตการณ์ ได้โทรไปมติชน ข่าวฝ่ายยุติธรรม แนะนำให้ดิฉันมีแค่ทนายและหลักฐานว่าไม่ได้แจ้งความเท็จก็เพียงพอ ส่วนเรื่องที่ศาล
ตัดสินไปแล้วว่ายกฟ้อง มันเป็นคนละคดี ไม่สามารถเอามารวมกันได้
ดิฉันได้ติดต่อเพื่อนของเพื่อนที่ไทยรัฐ เพื่อนดิฉันบอกว่าถ้าจะให้นักข่าวไปงานต้องมีค่าใช้จ่ายเหมือนให้นักข่าวไปงานอีเว้นท์
อยากขอความเห็นจากนักกฎหมายค่ะ