อาทิตย์อับแสง (บทที่ 32) โดย มานัส

กระทู้สนทนา
อาทิตย์อับแสง (บทที่ 32)




“หมิงมาแล้วหรือ” ใจของยุวดียังคงจดจ่อที่ลูกชาย “ไม่เป็นไรใช่ไหม”

หากสีหน้าของเธอก็เจือเศร้าเมื่ออีกฝ่ายส่ายหน้า

“ยังไม่ติดต่อมาเลยค่ะ”

“กี่โมงแล้ว”

“สองทุ่มค่ะ”

“หรือว่าโดนควบคุมตัว” ความคิดนี้ทำให้ร่างที่โรยแรงขยับตัวพยายามลุกขึ้น หากเพราะความอ่อนล้าทำให้แขนของยุวดีที่เท้ากับฟูกเพื่อพยุงตัวนั้นอ่อนพับไป

“คุณป้าอย่าเพิ่งลุกเลยค่ะ ทานข้าวต้มก่อนนะคะ นี่คุณป้ายังไม่ได้ทานอะไรเลยทั้งวัน”

“ไม่เป็นไร ฉันไม่หิว” คนพูดขยับตัวอีกครั้ง พอที่จะนั่งพิงกับพนักเตียงได้

“คงไม่มีอะไรหรอกค่ะคุณป้า อาจจะติดธุระ”

“ถ้าโดนจับ แล้วประกันตัวได้ไหม”

“ได้ซิคะ แต่คุณป้าอย่าเพิงคิดเรื่องนั้นเลยค่ะ ทานข้าวเสียก่อน ให้มีแรง แล้วเราค่อยพยายามติดต่อเขาอีกทีดีไหมคะ” รอยยิ้มจรดใบหน้าละมุน หญิงสาวยกถ้วยข้าวต้มจากถาดที่วางตรงหัวเตียงให้อีกฝ่ายที่รับแต่โดยดี

ทว่าการตักข้าวต้มในชามช้าเพราะห้วงความคิดที่ยังคงจมอยู่กับความวิตกกังวล ชดเพียงไม่กี่คำยุวดีก็หันตัวเพื่อวางชามนั้นลงบนถาดตามเดิม

“อิ่มแล้วเหรอคะ” คำถามร้อนรนมองชามข้าวที่แทบไม่พร่องลงเลย “หรือว่าไม่อร่อย”
“อร่อยจ้ะ” แม้จะฝืนแต่รอยยิ้มจางๆ ก็แฝงความจริงใจ “แต่ฉันไม่ไหวแล้วจริงๆ”

“แต่ถ้าตอนดึกคุณป้าเกิดหิวขึ้นมาก็บอกนะคะ เกดจะอุ่นให้ ทำไว้ตั้งเยอะ ไม่ต้องเกรงใจนะคะ”

“ฉันอิ่มแล้ว เก็บไว้ให้หมิงเถอะ”

การที่อีกฝ่ายเอ่ยชื่อ…เขาคนนั้นอีกครั้งทำให้เกษราใจเต้นประหลาด และด้วยเกรงว่าจะถูกจับได้ถึง…อาการ เธอจึงเสถาม

“ภูเก็ตเขาบอกคุณป้าว่าอย่างไรบ้างคะเกี่ยวกับเรื่องที่ถูกสอบสวน มีแผนรับมืออย่างไรบ้าง”

“ไม่” การส่ายหัวถอดใจด้วยความเศร้า “เขาไม่บอกอะไรฉันหรอก ฉันกับเขาไม่ค่อยได้คุยกันบ่อยนัก เจอกัน…พบกัน ก็น้อยครั้ง”

“แต่เขาน่าจะปรึกษาคุณป้าบ้างนะคะ”

“ฉันรู้ก็จากหน้าหนังสือพิมพ์และตามที่เขาลือกันปากต่อปาก”

“แย่จัง…เรื่องแบบนี้ แต่ภูเก็ตก็ใจร้ายนัก” เกษราเปรยในสิ่งที่ใจคิดไว้อยู่แล้ว “มีเรื่องก็น่าจะบอกคุณป้า ปรึกษากัน”

“อย่าโทษหมิงเขาเลย” เสียงอ่อน…อ่อนโยนของอีกฝ่าย ไม่เพียงบ่งบอกว่าไม่ถือโกรธลูกชาย แต่ผู้หญิงคนนี้ คงไม่เคยโกรธหรือถือโทษลูกเลยแม้สักครั้งในชีวิต “ป้าผิดเอง ผิดตั้งแต่ต้น ป้าทิ้งเขา…หมิงโตมาด้วยตัวเอง พึ่งตัวเอง คิดเอง…ตัดสินใจเองมาตั้งแต่เล็กจนโตโดยไม่ต้องพึ่งแม่ หมิงน่าสงสารนะ แต่ตอนนี้อย่างน้อยเขาก็โชคดีที่มีเพื่อนอย่างคุณ”

“เกดก็ไม่ใช่เพื่อนที่ดีนักหรอกค่ะ เขาคงเคยเล่าให้คุณป้าฟัง”

“เล่าแค่ตอนที่เข้าโรงพยาบาล บอกว่าเป็นห่วงเรื่องค่าเช่าห้อง กลัวว่าถ้าจ่ายช้าแล้วคุณจะฟ้องร้อง จะเอาเรื่อง กลัวสารพัด…” ปลายเสียงจับแววขบขันเพียงนิดเดียว “ฉันไม่เคยเห็นเขากลัวอะไรมากขนาดนี้มาก่อน ครั้งสุดท้ายที่กลัว…” ดวงตาของยุวดีฉายแววรำลึกอะไรบางอย่าง “หมิงกลัวว่า…จะไม่ได้ไปเรียนที่อเมริกา กลัวว่าจะต้องอยู่ที่บ้านของคุณท่านตลอดไป กลัวกระทั่งว่าจะต้องกลับมาอยู่กับฉัน”

“คุณป้าคงทำไปเพราะความจำเป็น” เกษราพยายามหาเหตุผล

แม่…ทิ้งลูก ถ้าไม่จำเป็น…ใครเล่าจะทำ

“ฉันขอหย่ากับคุณสาธิตแล้วแต่งงานใหม่ ตอนนั้นหมิงแปดขวบ แต่เขาจำทุกอย่างได้แม่นเชียว ไม่เคยยกโทษให้ฉันเลย”

“เรื่องมันนานมาแล้ว”

“สำหรับคนที่เจ็บปวดเพราะการกระทำของคนอื่น…ของผู้เป็นที่รัก ให้ผ่านมากี่ปีความทรงจำก็ยังคงนำความเจ็บปวดมาให้เสมอ” รอยยิ้มของยุวดีเจือโศก แววตาสะทกสะท้านใจแสนสาหัส จนอีกฝ่ายต้องเอื้อมมือมากุมราวปลอบด้วยความเห็นใจ

เพียงแต่ว่าเกษราไม่นึกเห็นใจ…อีตาภูเก็ตเลย!

คนบ้าอะไร โกรธแม่ตัวเอง ไม่ยกโทษให้แม่บังเกิดกล้า แต่กลับถวิลหา คร่ำครวญพร่ำเพ้อถึงผู้หญิงที่เป็นเพียงคนรักที่ทิ้งตัวเองไปโดยไม่มีเหตุผล

“จำไว้นะคุณ ถ้ารักใคร อย่าทำให้เขาต้องเจ็บปวดเสียใจ อย่าให้เขาเสียความทรงจำดีๆ ที่มีให้เรา” คำเตือน…คำสอนแผ่ว เพราะคนพูดพยายามสะกดรอยสะอื้น “เพราะบางทีเขาอาจจะไม่ยกโทษให้เราอีกเลยชั่วชีวิต”

“ไม่หรอกค่ะคุณป้า” เกษรากุมมืออีกฝ่ายแน่น รู้สึกถึงมือที่เย็นเฉียบ “ภูเก็ตเขาไม่โกรธคุณป้าถึงขนาดนั้น คุณป้าอย่าคิดมากเลยนะคะ และก็อย่าเพิ่งคิดเรื่องคดียักยอกเงิน รอเอาไว้คุยกับภูเก็ตกันทีเดียว เก็บแรงเอาไว้ตอนนั้นดีกว่านะคะ”

เธอปลอบแล้วพยายามชวนคุยเรื่องสัพเพเหระอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะขอตัว เพื่อปล่อยให้อีกฝ่ายพักผ่อน

การก้าวเดินของหญิงสาวแผ่วเบา ไม่ต่างจากการเปิดแล้วปิดประตูห้อง เพียงแต่ว่าเมื่อออกมาข้างนอกแล้ว ใจของเธอก็อยากจะตะโกนออกมาดังๆ

“กับแม่ตัวเองยังทำเย็นชาแบบนี้ ทำให้แม่ต้องเสียใจขนาดนี้ แล้วกับผู้หญิงทั้งโลกล่ะ หรือความเสียใจนี่มีให้ทุกคน ยกเว้นระรินผู้เก็นสุดที่รักเพียงคนเดียว!”

หากทุกคำพูด ทุกประโยค เป็นการร้องอย่างขัดใจ…ในใจเงียบๆ ที่คงมีเพียงเจ้าตัวเท่านั้นที่ได้ยิน








กระดุมสองเม็ดของสูททอม ฟอร์ดสีเทาเข้มถูกปลดออก ไม่ต่างจากเน็คไทราคาแพงที่บัดนี้ถูกพัดเป็นตอนอยู่ในมือของเจ้าของที่กำลังเอื้อมไปกดปุ่มลิฟต์ของคอนโดตึกสูง อีกมือกำกระชับหูหิ้วของกระเป๋าเอกสารยี่ห้อดังสีน้ำตาลทำจากหนังแท้ เสื้อเชิ้ตสีขาวสะอาด

ร่างสูงยืนตัวตรงเพียงลำพังคนเดียวในลิฟต์ ความคิดของเขาประกอบด้วยหลายสิ่งหลายอย่าล้วนแต่จำเป็นต้องตรึกตรอง ดวงตาที่มักเป็นประกายปิดเพียงเสี้ยวนาที ด้วยความรู้สึกเหนื่อยล้า และเมื่อรู้ตัว เขาจึงเห็นว่าชั้นที่กด...ผิด

แทนที่จะเป็นชั้น 25 แต่เขากลับเผลอกดไปที่ชั้น 31

ภูเก็ตอยากจะโทษนักว่าตัวเองเหนื่อยล้ากับการต่อสู้ในที่ประชุมเมื่อเช้า ที่ใช้เวลา 3-4 ชั่วโมง ผนวกกับการประชุม กับทีมทนายและผู้เชี่ยวชาญเมื่อช่วงบ่ายจรดค่ำ

ทีมที่พร้อมด้วยบุคลากรผู้เชี่ยวชาญมีความรู้ความสามารถสมกับหน้าที่นั้นถูกสรรหาและคัดมาอย่างดีด้วยตัวเขาเอง โดยมีเจ้าสัวเกรียงไกรเป็นคนแนะนำ

เมื่อทีมพร้อม คนครบล้วนแต่เข้าใจในหน้าที่ การ…ลุย จึงไม่ยาก แต่ความเหนื่อยก็ไม่น้อย

ต่อสู้กับแอลทัส ธนาคารใหญ่ระดับโลก แล้วยังต้องสู้กับอาชญากรเช่นอิมอล์และณัฐ!




ภูเก็ตสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก้าวเพียงก้าวเดียวเมื่อประตูลิฟต์เปิดออก ใบหน้าที่มักทำให้คน…หลง แลดูเคร่งขรึมเมื่อสายตาตวัดไปยังทางเดินที่เขาแสนคุ้นเคย ร่างสูงชะงักนิ่ง ราวกำลังตัดสินใจในก้าวต่อไป

และเมื่อรู้ตัวอีกทีเขาก็กลับมายืนอยู่หน้าห้องที่คุ้นเคย ใช้เวลาตัดสินใจเพียงเสี้ยวนาที พลันมือของเขาก็ยกขึ้นกดกริ่งหน้าประตู บานประตูไม้หนาของคอนโดหรูสองบานที่ปิดสนิทไม่มีทีท่าว่าจะเปิดออก จนร่างสูงเกือบหันหลังกลับ หากแล้วก็พลันหยุดกึกเมื่อได้ยินเสียงกุกกักจากอีกฟากประตู ก่อนที่ประตูบานใหญ่จะถูกกระชากเปิด

ความเงียบระหว่างคนทั้งสองเนิ่นนาน แม้ว่าจะอยู่ห่างเพียงฟากประตูที่เคยปิดกั้นกลางเท่านั้น โดยที่ทั้งคู่ยังคงยืนนิ่งไม่ขยับจากจุดเดิมที่ยืนอยู่

“ที่มา…” เขาลังเลนิดนึงดุจจะหาถ้อยคำที่เหมาะสม “ก็เพื่อขอบคุณที่ช่วยส่งเอกสารเรื่องลายเซ็นมาเป็นส่วนประกอบของหลักฐาน ขอเวลาอีกสักพัก แล้วเดี๋ยวผมค่อยเอามาคืนนะ”

“จะมาขอบใจทำไม ไปขอบใจพีทซี่…ไป รายนั้นเป็นห่วงคุณใจจะขาด” เกษราเสอ้างเช่นนั้น ทั้งๆ ที่จริงแล้วพีทซี่ไม่รู้เรื่องเลย

อย่างน้อยก็ไม่รู้ถึงบรรดาเอกสารต่างๆ ที่เธอเก็บไว้ ไม่ว่าจะเป็นสัญญาเช่น หรือจดหมายแสดงความจำนงที่จะย้ายออก

แต่เพราะเหมียวเปรี้ยวผู้ส่งเอกสารทั้งหมดให้เขา ได้รับคำสั่งให้รายงานไปว่า…มาจากพีทซี่

“แล้ว…ใจ ของหนูปีบไม่ห่วงผมเลยเหรอ”

คำถามของเขาทำให้หญิงสาวเงยหน้ามอง ตาประสานกัน…อีกแล้วคำพูดเรียบ ทว่าแฝงความออดอ้อน เห็นใจ ฟังดูน่าสงสารยิ่งนัก

เพียงแต่ว่าเกษราฟังอะไรแบบนี้มานักต่อนัก จากปากของภูเก็ตแล้วยังผู้ชายอีกหลายคนที่สนใจในตัวเธอ

“ไม่ใช่เรื่องของฉันที่จะต้องห่วง ปัญหาของคุณ ไม่ใช่ปัญหาของฉัน” เกษราเอ่ยอ้างเสียหนักแน่น รับรู้ถึงความเงียบเข้าที่ครอบคลุมชั่วครู่

“ก็จริง…” มีอะไรบางอย่างในน้ำเสียงนั้นราบเรียบ จนคนฟังใจหายวูบ “คุณมีคนอื่นให้ห่วงซินะ”

“ใช่” คำรับหนัก ไม่ต่างจากใจที่อัดแน่นด้วยความรู้สึก

“ผมไม่รบกวนคุณแล้ว…”

และยังไม่ทนที่เขาจะได้กล่าว…ราตรีสวัสดิ์ เสียงของหญิงสาวก็สวนขึ้นทันที

“ฉันดูคุณไว้ไม่ผิดจริงๆ”

“อะไรนะ” คิ้วเข้มขมวดปลายด้วยความฉงนสงสัย

“เห็นแก่ตัว ใจร้าย…”

“ถ้าเรื่องบัญชีของคุณกับแอลทัส คุณคงต้องให้ทนายยื่นฟ้องทั้งผมและทั้งธนาคารแล้วล่ะ แล้วเราค่อยไปพิสูจน์กันในศาล” น้ำเสียงนั้นบัดนี้เยือกเย็น ไร้ความรู้สึกเหมือนสีหน้า

“ไม่ต้องท้า”

“ผมไม่ได้ท้า อยากจะทำอะไรก็ทำเถอะเกษรา” น้ำเสียงของภูเก็ตลดลงต่ำอย่างขมขื่น ก่อนเขาจะหันหลังกลับ เพียงแต่ว่าร่างทั้งร่างชะงักเพราะคำบอกของอีกฝ่าย

“ไม่ห่วงแม่ของตัวเองบ้างหรือไง”

“อะไร? แม่เกี่ยวอะไรด้วย” ดวงตาคมปลาบจับเขม็งเมื่อเขาหันกลับมา

“คุณเป็นคนใจดำ เห็นแก่ได้…ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่นี่คุณใจดำได้แม้แต่กับแม่ของตัวเอง”

“ไม่ใช่เรื่องของคุณ”

เสียงเย็นชาห่างเหินไม่ต่างจากดวงตาทำให้คนฟังสะอึก แปลบลึกๆ ในอก เพียงแต่ว่าเธอเสขึ้นเสียงลงหนักทุกคำ

“มันเป็นเรื่องของฉัน ก็ในเมื่อแม่ของคุณอยู่ที่นี่” เกษราเห็นแล้วว่าเขามีทีท่าประหลาดใจ

“มาทำอะไร” แม้จะเปรยเช่นนั้น แต่ร่างสูงไม่มีทีท่าว่าจะขยับตัว

“คุณป้ามาตั้งแต่เช้า พยายามติดต่อหาคุณ” น้ำเสียงอ่อนเพราะเห็นใจยุวดีเสียมากกว่า ที่จะใจอ่อนเพราะภูเก็ต “โทรฯ ไปก็ไม่รับสาย”

“จะห่วงทำไม”

“ก็เรื่องทุจริตยักยอกนั่น คุณป้าพยายามจะคุยกับคุณ พอรู้ว่าคุณไปที่แอลทัส…ก็เลยเป็นห่วงหนักขึ้น เพราะกลัวว่าคุณจะถูกจับ” หญิงสาวขยับตัวเพียงนิด เปิดประตูออกให้กว้างขึ้น “นี่ก็ไม่ยอมกินอะไรทั้งวัน ซดข้าวต้มไปแค่สองสามคำเอง”

เกษราไม่ละสายตาจากเขา สังเกตทุกกิริยา เห็นว่าดวงหน้าของเขายังนิ่ง ไม่มีรอยยิ้ม

เอ…ครั้งสุดท้ายที่เห็นเขายิ้ม มันเมื่อไรกันหนอ

ครั้งสุดท้ายที่เขาหยอกล้อ ชวนหัว หนำซ้ำชวนโมโห

และครั้งสุดท้ายที่เขาพูด…คำหวาน พาลทำให้เลี่ยน

มันนานมาแล้ว

นับวัน…ยิ่งได้เจอกันทุกครั้ง ก็เหมือนคนแปลกหน้าขึ้นทุกที

“แล้วตอนนี้…อยู่ไหน” เสียงต่ำเล็ดรอดออกมาจากในลำคอ

นั่นทำให้เกษราเปิดประตูออกจนสุดบาน ร่างเล็กขยับมายืนริมประตู เปิดทางให้เขาเข้ามาในห้องพัก เห็นหรอกว่าอาการลังเลนั้นมีเพียงครู่ก่อนที่ร่างสูงจะก้าวเข้ามายืนอยู่กลางห้องโถงหน้าประตูทางเข้า ราวว่าไม่คุ้นเคยกับห้องๆ นี้

เกษราเหลือบมองเขา ก่อนที่เธอจะเปิดประตูบานใหญ่ แล้วเดินนำเข้ามาด้านใน




(ต่อ)
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่