ข้อควรรู้เกี่ยวกับการมีผู้ป่วยมะเร็งในครอบครัว

กระทู้สนทนา
ข้อเขียนนี้เขียนจากประสบการณ์ส่วนตัว หากผิดพลาดประการใด ขอน้อมรับไว้แต่ผู้เดียว
แต่หากข้อเขียนนี้มีประโยชน์
ข้าพเจ้าขออุทิศผลบุญนั้นแก่ มารดาของข้าพเจ้าทั้งหมดทั้งสิ้น
***********************************************************************

สรุปจากการพาแม่เข้าๆออกโรงพยาบาล กับการรักษาโรคมะเร็งตลอด 9 ปี ที่ผ่านมา ตั้งแต่ปี 2548-2557
แม่ผมเพิ่งเสียชีวิตเมื่อวันอาทิตย์ที่ 25/05/2557 ที่ผ่านมานี้

สิ่งที่ควรรู้สำหรับการมีผู้ป่วยเรื้อรัง หรือมะเร็งในครอบครัว
1.    กำลังใจสำคัญมาก อย่าให้เค้ารู้สึกว่าตัวเค้าเป็นภาระกับคนในครอบครัวเด็ดขาด คุณต้องทำให้เค้ารู้ว่าเราจะสู้ไปด้วยกัน ไม่ต้องพูดก็ได้ถ้าเขิน แต่การกระทำคุณต้องชัด ถ้าเค้ารู้สึกเป็นภาระของคนในครอบครัวเมื่อไหร่ อาการมีสิทธิ์ทรุดสูงมาก

2.    ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง มักมีอาการซึมเศร้าบ้างเป็นช่วงๆ พยายามสังเกตลักษณะอาการเค้าด้วย หากเค้าซึม พยายามใช้เวลาอยู่กับเค้า พูดคุย พาไปกินข้าว ทำกิจกรรมร่วมกันถ้าทำได้ จับสัญญาณนี้ได้ไม่ยาก เช่น บางทีโทรมาหาด้วยเรื่องเล็กๆน้อยๆ วันละบ่อยครั้ง นั่นแปลว่าเค้าอาจจะกำลังต้องการคุณ

3.    โรคเรื้อรังมักใช้ทุนทรัพย์ในการรักษาสูง หากคุณรวยอยู่แล้วไม่เป็นไร หากไม่ค่อยมี บัตรทอง ประกันสังคม ก็รักษาได้ แต่คุณอาจจะต้องนอนห้องรวม รอคิวผ่าตัด 6 เดือน คนใช้สิทธิ์พวกนี้บางครั้งจำเป็นต้องจ่ายพิเศษ หาคลินิกนอกเวลา เพื่อย่นระยะเวลา และมักมักจะเบิกค่าใช้จ่ายส่วนนี้ไม่ได้ หากรู้ว่าคนในครอบครัวเป็น ควรหาแหล่งเงินทุนสำรอง หรือหาลู่ทางไว้ได้เลย จะหยิบยืม ขายสมบัติ หรืออะไรก็เตรียมทางเลือกไว้บ้าง เผื่อเจอปัญหาจะได้ไม่มืดแปดด้าน วางแผนไว้ นี่แม้แต่ข้าราชการ บางส่วนก็ต้องจ่ายเอง แม่ผมเสียค่ารักษาส่วนเกินในช่วง 9 ปีนี้ประมาณ 2 ล้านบาท ทั้งนี้แหล่งเงินมีทั้งเงินกู้ราชการ บัตรเครดิตต่างๆ ซึ่งตรงนี้โชคดีว่าแม่ผมเป็นครู จึงมีสวัสดิการตรงนี้ ซึ่งสามารถกู้เงินมาใช้จ่ายได้ง่ายกว่าอาชีพอื่น

4.    โรคมะเร็งจะรักษาอย่างมีประสิทธิภาพได้ คือคุณต้องเจอตั้งแต่ระยะต้นๆ และการจะเจอในระยะต้นๆได้คือ คุณต้องตรวจร่างกายคัดกรองโรคมะเร็งอย่างสม่ำเสมอ อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง ที่สถาบันมะเร็งแห่งชาติมีบริการตรงนี้ ผู้หญิงประมาณ 3,000 บาท/ครั้ง ผู้ชาย 2,000 กว่าบาท แต่จะให้ดีเพื่อความชัวร์ 6 เดือนครั้งได้จะดีมาก ทางแพทย์ที่สถาบันมะเร็งจะวิเคราะห์ผลการตรวจร่างกายให้คุณว่ามันมีอะไรน่าสงสัยหรือไม่ หากมี เค้าจะเรียกคุณไปตรวจซ้ำในจุดที่สงสัยแบบละเอียดอีกครั้ง แม่ผมเค้าเจอครั้งแรกที่เต้านม อันนั้นเค้าเจอเพราะคลำเองที่บ้านเวลาอาบน้ำ แล้วจึงไปหาหมอตรวจ

5.    จากข้อ 4 ถ้าคุณไม่ตรวจร่างกาย แต่ไปเจอมะเร็งจากอาการที่แสดงออกมาทางร่างกาย เช่นปวดหัว ปวดท้อง มีเลือดออกตามร่างกาย โดยมากมักจะระยะท้ายๆแล้ว มะเร็งจะแสดงอาการทางร่างกายเด่นชัดเมื่อถึงระยะท้ายๆ เพราะฉะนั้นจะทำให้การรักษายากกว่าระยะต้นๆ และทรมานกว่ามาก ดังนั้นควรอย่างยิ่งสำหรับการตรวจร่างกายทุกปี

6.    การรักษาแผนปัจจุบันเช่นการให้คีโม ฉายรังสี บางครั้งหากคนไข้มีอาการแพ้ หรือคีโมที่ให้เป็นตัวยาแรงๆ คนไข้จะรู้สึกทรมาน เพราะฉะนั้นจึงเป็นเหตุผลที่คนบางส่วนไม่ยอมเข้ารักษาแผนปัจจุบัน หรือรักษาแค่ครั้ง 2 ครั้ง แล้วหนีไปหายาหม้อ ซึ่งการกินยาหม้อมันไม่ได้มีอะไรทรมาน ก็แค่กิน ซึ่งมันก็ไม่ได้มีอาการทรมานจากการกินเหมือนการรักษาแผนปัจจุบัน แต่ในช่วง 9 ปีที่พาแม่เข้าๆออกๆสถาบันมะเร็ง ผมเห็นไม่ต่ำกว่า 20 คน ที่หนีหมอไปกินยาหม้อ แล้วสุดท้ายก็เฟะกลับมาให้หมอรักษา ซึ่งเมื่อถึงตอนนั้นบางครั้งมันก็เกินเยียวยาไปแล้ว

7.    จากข้อ 6. เรื่องยาหม้อ ผมอยากให้คิดตามง่ายๆแค่ว่า ถ้ายาดีจริงทำไมไม่ทำขาย หรือถ้ายามันรักษามะเร็งได้หายเป็นปลิดทิ้ง ผมว่าป่านนี้อมเริการมาขอซื้อสูตรยา หรือไม่งั้นมันก็ขโมยสูตรไปทำยาขายรวยเละไปแล้ว ทำไมต้องไปเสียเงินวิจัยยารักษาในห้อง lab กันเป็นพันๆล้านบาท

8.    จากข้อ 6. อีกครั้ง ไอ้ที่เล่าลือ ยานั้นดีกินแล้วหายเนี่ย คนมาหาเอาไปกินกี่คนก็ดีขึ้น เห็นอีกครั้งก็เดินปร๋อเลย ถามจริงๆ อีก 2 เดือน 3 เดือน 10 เดือน 1 ปี 2 ปี ตามไปดูเค้าต่อไหมว่าไอ้ที่บอกว่าหายน่ะ มันยังมีชีวิตอยู่หรือเปล่า ยาหม้อ ยาลูกกลอน บางครั้งก็ผสมสเตอรอยด์ คนไข้กินเข้าไปก็มีกำลังวังชา เหมือนจะดูดีขึ้นทันที เลยกลายเป็นยาวิเศษ หมอแผนปัจจุบันก็ทำได้ ฉีดปุ๊บอีกวันคนไข้เดินได้เลย เค้าก็ทำได้ แต่มันใช่การรักษาไหม แค่เป็นการหลอกตัวเองว่าฉันดีขึ้น แต่กำลังวังชามาจากยาทั้งนั้น

9.    ในระหว่างการรักษา บางครั้งหมออาจะสั่งห้ามอาหารบางอย่าง ถ้าสงสัย ถามหมอให้แน่ใจว่ามันซีเรียสขนาดไหน มันมีทั้งกินได้นิดหน่อย กินได้แต่อย่าเยอะ ห้ามกินเลย มีหลายประเภทครับ

10.    และบางครั้งหมอก็ไม่ได้ห้าม แต่คนห้ามดันเป็นญาติซะเอง แสลงโน่นแสลงนี่ เลยไม่ยอมให้คนไข้กินอะไร วันๆให้กินแต่ผัก เบื่ออาหาร เฉาไปเอง จนในที่สุดผ่ายผอมไม่มีแรง แม่ผมกินทุกอย่างมา 9 ปี ไม่เคยมาพะวงชีวจิต แมคโครไบโอติกส์อะไรเลย อะไรหมอไม่ห้ามก็อย่าไปห้ามคนไข้เลยครับ แต่ถ้าไม่แน่ใจ ย้อนไปดูข้อ 9. ถามหมอซะ

11.     จากข้อ 10. ไม่ได้บอกชีวจิตไม่ดี หรือแมคโครไบโอติกส์ไม่ดี แต่ความเข้าใจผมคือ ต่อให้คุณกินชีวจิตมาทั้งชีวิต คุณก็มีสิทธิ์เป็นมะเร็งครับ เพราะปัจจุบัน ทางการแพทย์ยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่นอนของการเกิดมะเร็งเลย มันเกี่ยวเนื่องเชื่อมโยงกันจากปัจจัยมากมาย ทั้งอาหาร กรรมพันธุ์ สิ่งแวดล้อม ฯลฯ การกินชีวจิต มันช่วยคุณ “ลด” ความเสี่ยงจากปัจจัยอาหารเท่านั้นเอง ซึ่งก็จะมีผลให้คุณ “เสี่ยงน้อยลง” จากโอกาสการเป็นมะเร็ง แต่ไม่ใช่จะไม่เป็นมะเร็ง

12.    ในขณะรักษา บางครั้งต้องนอนโรงพยาบาล แน่นอนว่าต้องมีคนเฝ้าสำหรับผู้ป่วยที่ต้องการความช่วยเหลือ และบางครั้งคุณอาจจะได้ห้องรวม ซึ่งมันแบ่งเป็นวอร์ดหญิง วอร์ดชาย ซึ่งต้องการคนเฝ้าเฉพาะที่เป็นเพศนั้นๆ เพราะฉะนั้น ถ้าครอบครัวไหนมีแม่เป็นผู้หญิงคนเดียวในครอบครัว (เช่นครอบครัวผม) จำเป็นต้องมองๆหาคนที่สามารถมาดูแลผู้ป่วยให้ได้ เช่นญาติพี่น้องจากต่างจังหวัด ถ้าอับจนหนทาง เค้ามีบริการคนเฝ้า แต่ราคาค่อนข้างสูงมาก เตรียมตรงนี้ไว้บ้างก็ดี แต่ถ้าคนป่วยช่วยเหลือตัวเองได้ ไม่ต้องอยู่เฝ้าตลอดก็รอดตัวไป

13.    จากข้อ 12. ถึงแม้ผู้ป่วยช่วยเหลือตัวเองได้ ก็ไม่ได้หมายความว่าสามารถทิ้งให้เค้าอยู่คนเดียวตลอด 7 วัน 24 ชั่วโมง ... ไปหาบ้าง เย็นๆไปนั่งกินข้าวกินขนมรอบเตียง คนไข้ก็อุ่นใจ มีกำลังใจ เพราะหากไม่มีคนไปเยี่ยม เวลาอยู่ห้องรวมจะเห็นชัดเจนถ้าเทียบกับเตียงข้างๆที่มีญาติล้อมหน้าล้อมหลัง คนไข้จิตตก อาการทรุดได้ง่ายๆเลยนะครับ

14.    ถ้าคนไข้อาการทรุด เริ่มแย่ และคุณหมอบอกว่า อยู่ได้เท่านั้นเท่านี้วัน เท่านั้นเท่านี้เดือน จงรับรู้ไว้ว่ามันเป็นการคาดคะเน จากข้อมูลทางการแพทย์ ไม่ใช่คำพิพากษาที่จะต้องตรงตามนั้นเป๊ะๆ คุณมีสิทธิ์เจอทั้งกรณีอยู่นานกว่าและอยู่น้อยกว่าที่หมอบอก ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย และขึ้นอยู่กับการดูแล แต่สิ่งหนึ่งที่ควรรู้ไว้คือ คนไข้มีความเสี่ยงมากแล้วที่จะไปได้ทุกเวลา จงใช้เวลากับคนไข้ให้คุ้มค่าที่สุด เพราะคุณไม่มีวันรู้เลยว่าวันสุดท้ายจะเป็นวันไหน
15.    เวลาอาการคนไข้เริ่มแย่ หรือใกล้จะไป หากคนไข้ยังมีอะไรติดค้างใจ พยายามทำให้เค้าให้ได้ เค้าจะได้ไปอย่างสงบ แนะนำไปหาอ่านจากลิงค์นี้เพิ่มเติม www.visalo.org/article/Col_death.htm

16.    หากคนไข้สั่งไว้ว่าอยากกลับไปตายที่บ้าน แต่คนไข้ยังนอนอยู่โรงพยาบาล และอาการแย่ลงเรื่อยๆ คำถามที่ผุดขึ้นมาในหัวญาติคือ แล้วควรเอาตัวกลับบ้านเมื่อไหร่? ห่างหมอจะดีเหรอ? .... ตอบไม่ได้จริงๆ อาจต้องใช้สัญชาตญาณช่วยด้วย และต้องอาศัยการตัดสินใจที่เด็ดขาด ยกตัวอย่างแม่ผม แม่เคยสั่งไว้นานแล้วว่าอยากกลับมาตายที่บ้าน ไม่อยากตายที่โรงพยาบาล เช้าวันเสาร์ที่ 24 แม่ผมกระวนกระวายอยากกลับบ้านมาก ผมกับพ่อลังเลมากๆที่จะเอาตัวออกจากโรงพยาบาล เพราะเมื่อวันศุกร์ที่ 23 คุณหมอพูดไว้ว่าอยากให้อยู่ให้ยาอีกสัก 2-3 วันก่อนจะกลับบ้าน แต่แม่พูดหลายรอบมากๆ จนเราตัดสินใจที่จะพาแกกลับในวันเสาร์ โดยให้พยาบาลโทรแจ้งหมอว่า เราขอตัดสินใจพาคนไข้กลับ เพราะวันเสาร์คุณหมอไปตรวจคนไข้ที่ จ.ภูเก็ต จะกลับมากรุงเทพฯตอนเย็น แกอยากให้อยู่รอแกถึงตอนเย็น แต่เราเห็นว่าถ้าเย็นกลับบ้านลำบากแน่ จึงอยากพากลับเลย พูดจนในที่สุดแกอนุญาต หมอบอกว่าให้กลับก่อน เดี๋ยวเย็นแกจะเข้ามาเตรียมเอกสารคำแนะนำสำหรับให้เอากลับไปบ้าน เผื่อต้องส่งคนไข้เข้าโรงพยาบาลแถวบ้านอีก บ่ายนั้น เราพาแม่กลับบ้าน ถึงบ้านตอนเย็น พอเช้ามืดวันอาทิตย์ แม่ก็ไป

หากนึกอะไรได้เพิ่ม จะเขียนเพิ่มเติมในชุดที่ 2 ครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่