ชวนรำลึกความหลัง "หนังไทยยุคเฟื่องฟู" 30+ กับคู่จิ้นในอดีต

ในขณะที่หนังไทยปัจจุบันผลิตออกมาจนตามดูแทบไม่ทัน หรือไม่ก็ไม่ดูกันเลยและแต่ละเรื่องไม่ได้สร้างความจดจำใดๆให้เกิดขึ้นเลย ผิดกับหนังไทยในยุคเก่าๆ ที่จะขอเริ่มต้นจากยุค จินตหรา+สันติสุข ในยุคนั้นภาพยนต์แทบทุกเรื่องล้วนแล้วแต่สร้างความทรงจำดีๆ และไม่เคยลืมกับเหตุการณ์และเรื่องราวในเรื่องนั้นๆ มีเรื่องไหนที่พอจะนึกออกบ้าง ไปรำลึกันเลยดีกว่า

บุญชูผู้น่ารัก - บุญชู 5


บุญชู เป็นภาพยนตร์ไทย ประเภทหนังตลกขบขัน ที่มีการสร้างถึง 8 ครั้ง 10 ภาค ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2531 – พ.ศ. 2553 สร้างโดย ไฟว์สตาร์ โปรดักชั่น โดย 7 ภาคแรก กำกับภาพยนตร์และเขียนบทภาพยนตร์โดย บัณฑิต ฤทธิ์ถกล โดยมี สันติสุข พรหมศิริ และ จินตหรา สุขพัฒน์ แสดงนำ โดยเป็นภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จได้รับความนิยมสูงสุดในยุคนั้น

นอกจากนั้นภาพยนตร์ชุดบุญชูที่สร้างภาคต่อๆ มาถึง 6 เรื่อง ก็ได้รับการบันทึกว่าเป็นภาพยนตร์ซึ่งได้รับความนิยมทำรายได้สูงขึ้นเรื่อย ๆ ทุกภาคซึ่งหลังจากหนังเรื่องนี้ บัณฑิตก็กลายเป็นคนทำหนังร่วมสมัยที่มีหนังทำเงินและหนังคุณภาพมากที่สุด ระหว่างปี 2531-2538 และสามารถคว้ารางวัลพระราชทานพระสุรัสวดี สาขาภาพยนตร์ยอดนิยม ติดต่อกันถึงสามปีซ้อน

บุญชูได้เคยถูกนำมาสร้างเป็นละครโทรทัศน์ ในปี พ.ศ. 2541 ออกอากาศทางช่อง 5 โดยใช้ชื่อว่า บุญชู สระอูยาว สร้างโดย มีเดีย ออฟ มีเดียส์ กำกับโดย บัณฑิต ฤทธิ์ถกล เช่นเดิม นำแสดงโดย เพ็ญเพชร เพ็ญกุล, ผาณิต สุทธาศวิน, สันติสุข พรหมศิริ, กีรติ เจนปรมกิจ

ภาพยนตร์ชุดบุญชูอย่างเรื่อง บุญชูผู้น่ารัก ยังเป็นหนี่งในภาพยนตร์ไทย 100 เรื่องที่คนไทยควรดูและหนึ่งในภาพยนตร์ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนมรดกภาพยนตร์ของชาติครั้งที่ 3

ภาคสุดท้ายของบุญชู มีชื่อเรื่องว่า บุญชู จะอยู่ในใจเสมอ ฉายในปี พ.ศ. 2553 ได้มีการเปลี่ยนตัวผู้กำกับภาพยนตร์เป็น เกียรติ กิจเจริญ หนึ่งในกลุ่มนักแสดงบุญชูซึ่งร่วมงานมาทุกภาค

ปุกปุย


ปุกปุย เป็นภาพยนตร์ไทย ผลงานการกำกับโดยอุดม อุดมโรจน์ ออกฉายในปี พ.ศ. 2533 ภาพยนตร์ทำรายได้ 8 ล้านบาท และยังได้รับรางวัลดนตรีประกอบยอดเยี่ยมจากชมรมวิจารณ์บันเทิง รางวัลผู้แสดงประกอบหญิงยอดเยี่ยม จากชมรมวิจารณ์บันเทิง รางวัลดนตรีประกอบยอดเยี่ยมจากสมาคมผู้สื่อข่าวบันเทิงแห่งประเทศไทย (รางวัลตุ๊กตาทอง) รางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมสาขาส่งเสริมครอบครัวจากสื่อมวลชนคาทอลิคแห่งประเทศไทย นอกจากนั้นยังเป็นตัวแทนภาพยนตร์ไทยเข้าร่วมในโครงการสัปดาห์ภาพยนตร์อาเซียนครั้งที่ 3 ที่กรุงมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์ เป็นตัวแทนภาพยนตร์ไทยเข้าร่วมประกวดในงานโตเกียวอินเตอร์เนชันนอลฟิล์มเฟสติวัล 1991 ที่ประเทศญี่ปุ่น

กลิ้งไว้ก่อนพ่อสอนไว้


กลิ้งไว้ก่อน พ่อสอนไว้ นำมาสร้างครั้งแรกเป็นภาพยนตร์ไทย ออกฉายเมื่อกลางปี พ.ศ. 2534 กำกับภาพยนตร์โดย คิง-สมจริง ศรีสุภาพ นำแสดงโดย มอส ปฏิภาณ และ ศักดิ์สิทธิ์ แท่งทอง

กลิ้งไว้ก่อนพ่อสอนไว้เป็นภาพยนตร์วัยรุ่นที่โด่งดังมากมาก สร้างสถิติภาพยนตร์ไทยที่ทำรายได้สูงที่สุดในประวัติศาตร์ในเวลานั้น คือเป็นภาพยนตร์ไทยเรื่องแรกที่ทำรายได้เกิน 25 ล้านบาทเป็นผลงานภาพยนตร์เรื่องแรกของ มอส ปฏิภาณ และ ศักดิ์สิทธิ์ แท่งทอง และยังได้แจ้งเกิดพวกเขาในวงการบันเทิง

กลิ้งไว้ก่อน พ่อสอนไว้ เป็นเรื่องของ 4 หนุ่มนักเรียนชั้น ม.6 กลุ่มหินกลิ้ง ที่เป็นก๊วนแสบประจำโรงเรียน นักเรียนรุ่นน้องชั้น ม.5 อยากสืบทอดเจตนารมณ์

ซึ่งในอีกหลายปีต่อมา คิง สมจริง ผู้กำกับหนังเรื่องนี้ซึ่งในขณะนั้นเป็นผู้บริหาร โพลีพลัส ได้หยิบหนังเรื่องนี้มาปัดฝุ่นทำใหม่ในรูปแบบละครโดยในตอนแรกๆของเรื่อง มอส ปฏิภาณ นักแสดงจากเวอร์ชันหนังได้ให้เกียรติมาร่วมรับเชิญในฐานะรุ่นพี่หินกลิ้งและยังมี ชาตรี ชมพู นักแสดงอีกคนจากในหนังก็กลับมารับบทเดิมอีกครั้งคือ อาจารย์ฝ่ายปกครอง โดยหลายอย่างจากเวอร์ชันหนังยังคงอยู่แต่ได้มีการดัดแปลงให้ทันสมัยขึ้น

กะโหลกบางตายช้า กะโหลกหนาตายก่อน


กะโหลกบางตายช้า กะโหลกหนาตายก่อน ภาพยนตร์ไทย กำกับโดย มานพ อุดมเดช ฉายในปี พ.ศ. 2534 โดย บริษัท ที เค อาร์ กรุ๊ป ความยาว 118 นาที นำแสดงโดย สุรศักดิ์ วงษ์ไทย, อังคณา ทิมดี, ขจรศักดิ์ รัตนนิสสัย, มานพ อัศวเทพ เป็นภาพยนตร์ไทยเรื่องแรกที่เป็นภาพยนตร์ในแนวฟิล์มนัวร์ (Film Noir) โดยได้รับแรงบันดาลใจมาจากเรื่อง The Postman Alway Rings Twice

ซึมน้อยหน่อยกะล่อนมากหน่อย


ซึมน้อยหน่อยกะล่อนมากหน่อย เป็นภาพยนตร์ไทยลำดับแรกของ ไท เอ็นเตอร์เทนเมนต์ มี จรัญ และ วิสูตร พูลวรลักษณ์ เป็นผู้อำนวยการสร้าง กำกับโดย ธนิตย์ จิตนุกูล, อดิเรก วัฏลีลา ออกฉายในปลายปี พ.ศ. 2528 ที่โรงภาพยนตร์เพชรรามา และโรงภาพยนตร์ในเครือเอเพ็กซ์ นำแสดงโดย บิลลี่ โอแกน หรือ จิตต์ จิตนุกูล ,เพ็ญ พิสุทธิ์ ,สุรศักดิ์ วงษ์ไทย, ธัชชัย ปาละกูล, ศุภกร อุดมชัย, วชิรพจน์ บุรพรัตน์, กนกวรรณ บุรานนท์, ท้วม ทรนง, จุรี โอศิริ เป็นภาพยนตร์ที่ได้รับ รางวัลตุ๊กตาทอง ภาพยนตร์ทำรายได้สูงสุดประจำปี 2528 จากสมาคมผู้สื่อข่าวบันเทิงแห่งประเทศไทย ทำรายได้ 5 ล้านบาท

ต่อมาในปี พ.ศ. 2540 จึงได้ถูกสร้างเป็นละครอีกครั้งทางช่อง 3 โดยค่ายบรอดคาซท์ นำแสดงโดย นิธิ สมุทรโคจร, ปิยธิดา วรมุสิก, อรรถพร ธีมากร, ชาติชาย งามสรรพ์, บริบูรณ์ จันทร์เรือง, ตี๋อ้วน, ธิติมา สังขพิทักษ์, มนตรี เจนอักษร, อรัญญา ประทุมทอง, วรเชษฐ์ นิ่มสุวรรณ, กัลยา เลิศเกษมทรัพย์ และไพโรจน์ ใจสิงห์ [2]

ซึมน้อยหน่อยกะล่อนมากหน่อย มีภาคต่อโดยใช้นักแสดงชุดเดิม โดยใช้ชื่อว่า ปลื้ม ซึ่งได้ถูกสร้างเป็นภาพยนตร์ในปี พ.ศ. 2529 และเป็นละครในปี พ.ศ. 2540

ดีแตก


"ดีแตก" เป็นภาพยนตร์ไทยแนวแอ็คชั่น-ดราม่า ในปี พ.ศ. 2530 โดยไท เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ กำกับโดยอดิเรก วัฏลีลา นำแสดงโดยอำพล ลำพูน นาถยา แดงบุหงา พงษ์พัฒน์ วชิรบรรจง สหัสชัย ชุมรุม สมชาย โพธิ์ดี เป็นผลงานกำกับเดี่ยวของอังเคิล(อดิเรก วัฏลีลา)เรื่องแรก หลังจากที่เคยกำกับเรื่องซึมน้อยหน่อย กะล่อนมากหน่อย และปลื้ม จากการกำกับร่วมกับปื๊ด(ธนิตย์ จิตนุกูล)

จักรยานสีแดง


จักรยานสีแดง (Red Bike Story) ภาพยนตร์ของแกรมมี่ฟิล์ม ออกฉายเมื่อปี พ.ศ. 2540 กำกับโดยยุทธนา มุกดาสนิท นำแสดงโดยนักแสดงและนักร้องชื่อดังอย่าง มอส ปฏิภาณ ปฐวีกานต์ และ อมิตา ทาทา ยัง พร้อมด้วยแชมเปญ เอ็กซ์ บทภาพยนตร์ดัดแปลงมาจากนวนิยายเรื่อง จักรยานแดงในรั้วเขียว ของดำรงค์ อารีกุล ภาพยนตร์ทำรายได้ 49 ล้านบาท

กาลครั้งหนึ่งเมื่อเช้านี้


กาลครั้งหนึ่งเมื่อเช้านี้ (ชื่ออังกฤษ: Once Upon a Time) เป็นภาพยนตร์ไทยที่ออกฉายเมื่อวันที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2537 กำกับโดยบัณฑิต ฤทธิ์ถกล นำแสดงโดย สันติสุข พรหมศิริ, จินตหรา สุขพัฒน์, มาตัง จันทรานี, รณรงค์ บูรณัติ, ปรมัติ ธรรมมล และ ภูมิ พัฒนายุทธ

ส.อ.ว.ห้อง 2 รุ่น 44 (เรื่องนี้โดยส่วนตัวชอบมาก)


ส.อ.ว.ห้อง 2 รุ่น 44 เป็นภาพยนตร์ไทยที่ออกฉายครั้งแรกในปี พ.ศ. 2533 กำกับโดย บัณฑิต ฤทธิ์ถกล นำแสดงโดย จินตหรา สุขพัฒน์, ศศิมาภรณ์ ไชยโกมล, สันติสุข พรหมศิริ, ทิพย์ ธัมมศิริ, สมรัชนี เกษร และ ปวีณา ชารีฟสกุล

เรื่องย่อ
ส.อ.ว.ห้อง 2 รุ่น 44 เป็นเรื่องราวของกลุ่มหญิงสาวที่จบการศึกษาจากโรงเรียนระดับมัธยม "สตรีอรุณรัชต์วิทยา" โดยมีอนาคตที่ต้องแยกย้ายกันไปคนละทาง แต่มีจุดร่วมกันโดยบังเอิญ

ลำยง ได้เข้าประกวดนางงามขณะศึกษาในมหาวิทยาลัย จนมาเป็นนักข่าว ซึ่งได้รับรู้ถึงการกดขี่ผู้หญิง เพื่อต้องการตีแผ่มุมมืดของสังคม

สุนทรี เพื่อนที่เข้าประกวดนางงามด้วยกัน จนมาเป็นดาราที่มีชื่อเสียง และเป็นที่ต้องตาของหนุ่มใหญ่นักการเมือง

ขันทอง ผู้เรียบร้อยและแสนดี ถูกพ่อแม่จับแต่งงานกับ พงศธร หนุ่มหล่อร่ำรวย แต่ต้องทนจากการถูกซ้อมของสามีอย่างทารุณ

ลินดา สาวคล่องแคล่ว เข้าทำงานเป็นนักการตลาด ต่อมาเป็นเลขาเจ้าของสถานบันเทิง อาบ อบ นวด ด้วยความทะเยอทะยาน

ลัดดา อดีตหัวหน้าห้อง แต่ใช้ชีวิตสมถะ จนได้แต่งงานกับเสี่ยร้านก๋วยเตี๋ยว

เพลินวรรณ สาวอารมณ์ดี กลายเป็นเซลล์ที่ขายทุกอย่างอย่างแคล่วคล่องว่องไว มีสิ่งเดียวที่ไม่เคยขายคือ ตัวและหัวใจ (ปรากฏเฉพาะภาพยนตร์)

********* เดี๋ยวค่ำๆ จะมาต่ออีกหลายเรื่องที่อยู่ในความทรงจำนะครับ*************
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่