'อภิสิทธิ์'แนะจับตาศูนย์ปรองดอง หวั่นแปลงสภาพเป็นนิรโทษกรรม
29 พ.ค. 57 ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนเป็นครั้งแรก ภายหลังจากที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้กระทำการยึดอำนาจการปกครองประเทศ ตั้งแต่วันที่ 22 พฤษภาคม ที่ผ่านมา โดยนายอภิสิทธิ์ ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับแนวทางการบริหารประเทศและนโยบายด้านความมั่นคงของ คสช. ว่า ตนยังไม่เห็นภาพชัด จนกว่าจะมีธรรมนูญการปกครองหรือรัฐธรรมนูญชั่วคราวให้เห็นโครงสร้างว่าใครจะมาทำอะไร แต่สิ่งที่ดำเนินการไปแล้วบางเรื่องเป็นการตอบโจทย์เหตุการณ์เฉพาะหน้า เช่น การเร่งจ่ายเงินให้ชาวนาที่รอคอยเงินจากโครงการรับจำนำข้าวมานาน เป็นสิ่งที่สมควรทำ การใช้อำนาจเพื่อควบคุมสถานการณ์น่าจะอยู่ช่วงที่จะต้องมีการคลี่คลายโดยลำดับ เพราะตนมองไม่เห็นว่าจะใช้อำนาจในลักษณะนี้ไปได้ยาวนาน จุดที่จะมีปัญหามากขึ้นเรื่อย ๆ น่าจะเป็นเรื่องของสื่อมวลชน กับสภาพความอึดอัดในเรื่องข้อมูลข่าวสาร
“แต่ที่ต้องจับตาดูคือการตั้งศูนย์ปรองดอง ยังไม่ชัดเจนว่าตั้งโจทย์อย่างไร ผมยืนยันว่าถ้าตั้งโจทย์ว่าเป็นเรื่องการต่อรองผลประโยชน์ทุกฝ่ายจะเป็นการตั้งโจทย์ที่ผิด โดยเฉพาะที่ผ่านมาเอาคำว่าปรองดองมาใช้นำไปสู่การนิรโทษกรรม จะกลายเป็นปัญหาที่ทำให้เกิดความขัดแย้งมากขึ้น แต่ถ้าพยายามเอาแนวคิดของทุกฝ่ายที่เป็นประโยชน์ส่วนรวมมาประสานก็จะเป็นทางออกให้กับประเทศ” นายอภิสิทธิ์ กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า แถลงการณ์ยึดอำนาจของ คสช. ระบุว่าจะสร้างความชอบธรรมให้กับทุกพวกทุกฝ่ายจะนำไปสู่การออก พ.ร.บ.นิรโทษกรรมหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ตนหวังว่าจะไม่เป็นอย่างนั้น และคิดว่าถ้าทำจะเป็นชนวนให้เกิดความวุ่นวาย การจะสร้างความชอบธรรมให้กับทุกฝ่าย คือการทำให้ทุกฝ่ายเคารพกฎหมาย รับผิดชอบกับการกระทำของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นตน สีไหน หรือใครก็ตามต้องยอมรับที่จะเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ตนคิดว่า คสช.ไม่ควรลืมว่ามีหลายประเด็นที่เป็นการขับเคลื่อนของมวลชนก่อนหน้านี้ เช่น ปัญหาเรื่องการทุจริตคอร์รัปชั่น ควรเป็นสิ่งแรก ๆ ในการปฏิรูปที่ทำให้เป็นรูปธรรมว่าจะทำให้ดีขึ้นอย่างไร เพราะมีข้อเสนอจากหลายฝ่ายอยู่แล้ว
“ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่คำแถลงยึดอำนาจไม่พูดถึงเรื่องการทุจริตคอร์รัปชั่น แต่เป็นปัญหาที่อยู่ในใจคนมากที่สุดก่อนที่จะเกิดวิกฤตทางการเมือง พวกผมเป็นนักการเมืองกลุ่มแรกที่ยอมรับว่าประชาชนเสื่อมศรัทธาในตัวพรรคการเมือง นักการเมือง เพราะฉะนั้น คสช.ต้องสร้างระบบการเมืองที่ดีกว่า ทำให้นักการเมือง พรรคการเมืองมีพฤติกรรมที่ดีขึ้น ถ้าไปดำเนินการในลักษณะที่จะดึงพรรคการเมือง นักการเมืองเข้าไป ผมไม่แน่ใจว่าประชาชนจะยอมรับได้หรือไม่” นายอภิสิทธิ์ กล่าว
เมื่อถามว่า คสช.มีอำนาจเต็มควรจะทำให้บ้านเมืองไปสู่ทิศทางที่ดีขึ้นอย่างไร หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ ประกาศว่าต้องการให้บ้านเมืองกลับสู่ภาวะปกติ พูดถึงการปฏิรูป ก็ต้องทำให้เป็นรูปธรรม ส่วนทีมที่ปรึกษานั้นเป็นรายชื่อที่คาดการณ์ได้ว่าให้คำแนะนำ ปรึกษาได้ แต่การบริหารจริงไม่ได้อยู่ที่คณะที่ปรึกษา และกลไกยังพึ่ง คสช.กับข้าราชการอยู่ ตนคิดว่าบางเรื่องราชการทำงานได้ เช่น การบริหารจัดการปกติ ซึ่งอาจจะทำได้ดีถ้าไม่มีการเมืองหรือผลประโยชน์เข้าไปแทรกแซง แต่งานปฏิรูปต้องพึ่งภาคส่วนอื่นที่ไม่ใช่ราชการ เพราะการปฏิรูปที่ประชาชนคาดหวังคือการลดทอนอำนาจรัฐ จะพึ่งราชการกับ คสช.คิดเองคงไม่ง่าย
ถามต่อว่า คสช.มีอำนาจเต็มในฝ่ายบริหาร นิติบัญญัติ และมีอำนาจตุลาการบางคดีที่ไปขึ้นศาลทหาร การดำรงสถานะเช่นนี้ต่อไปนาน ๆ จะมีปัญหาหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า อยู่ในดุลพินิจของแต่ละฝ่าย โดยสถานการณ์จะเป็นตัวกำหนดเหมือนที่พล.อ.ประยุทธ์ ระบุ เพราะคงบอกไม่ได้ว่ากี่วัน กี่สัปดาห์ แต่ถ้าดูว่าจะสงบเรียบร้อย เช่นขณะนี้ผู้นำมวลชนไม่ได้เคลื่อนไหวก็น่าจะเร็วได้ เพราะการอยู่ในสภาพอย่างนี้จะมีความอึดอัดสะสม โดยปัญหาจุดแรกน่าจะเป็นเรื่องสื่อสารมวลชน
ส่วนเรื่องการปฏิรูปโครงสร้างตำรวจนั้น นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า สิ่งที่ประชาชนคาดหวังคือการปฏิรูปให้ตำรวจใกล้ชิดประชาชนมากขึ้นไม่ใช่ทำให้องค์กรใหญ่ขึ้นหรือรวมศูนย์อำนาจมากขึ้น แต่ที่มีการเสนอเรื่องการตั้งกระทรวงตนก็สับสนเพราะมีการพูดว่าจะกระจายอำนาจ แต่กลับเสนอเรื่องกระทรวง ทำให้สับสน เพราะการตั้งกระทรวงจะยิ่งทำให้การเมืองเข้าไปแทรกแซงได้ง่ายขึ้น ความจริงคนที่เคยเสนอเรื่องปฏิรูปโครงสร้างตำรวจไว้ดีคือ พล.ต.อ.วสิษฐ เดชกุญชร ซึ่งหากจะมีการปฏิรูปตำรวจควรหยิบแนวทางนี้ขึ้นมาพิจารณา
ปล. หยุดพูดเถอะกรูเบื่อ ให้ทหารเขาทำงานไป เวลาอยู่ในอำนาจรัฐ ทหารไม่เคยออกมายุ่ง ตอนนี้อยู่ในอำนาจทหารลองให้โอกาสเขาทำงานไปก่อน ทุกวันนี้ที่มันยุ่งกันนัก ก็เพราะนักการเมือง พวกกรูคนทำมาหากินเบื่อๆๆๆ
'อภิสิทธิ์'แนะจับตาศูนย์ปรองดอง หวั่นแปลงสภาพเป็นนิรโทษกรรม
29 พ.ค. 57 ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนเป็นครั้งแรก ภายหลังจากที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้กระทำการยึดอำนาจการปกครองประเทศ ตั้งแต่วันที่ 22 พฤษภาคม ที่ผ่านมา โดยนายอภิสิทธิ์ ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับแนวทางการบริหารประเทศและนโยบายด้านความมั่นคงของ คสช. ว่า ตนยังไม่เห็นภาพชัด จนกว่าจะมีธรรมนูญการปกครองหรือรัฐธรรมนูญชั่วคราวให้เห็นโครงสร้างว่าใครจะมาทำอะไร แต่สิ่งที่ดำเนินการไปแล้วบางเรื่องเป็นการตอบโจทย์เหตุการณ์เฉพาะหน้า เช่น การเร่งจ่ายเงินให้ชาวนาที่รอคอยเงินจากโครงการรับจำนำข้าวมานาน เป็นสิ่งที่สมควรทำ การใช้อำนาจเพื่อควบคุมสถานการณ์น่าจะอยู่ช่วงที่จะต้องมีการคลี่คลายโดยลำดับ เพราะตนมองไม่เห็นว่าจะใช้อำนาจในลักษณะนี้ไปได้ยาวนาน จุดที่จะมีปัญหามากขึ้นเรื่อย ๆ น่าจะเป็นเรื่องของสื่อมวลชน กับสภาพความอึดอัดในเรื่องข้อมูลข่าวสาร
“แต่ที่ต้องจับตาดูคือการตั้งศูนย์ปรองดอง ยังไม่ชัดเจนว่าตั้งโจทย์อย่างไร ผมยืนยันว่าถ้าตั้งโจทย์ว่าเป็นเรื่องการต่อรองผลประโยชน์ทุกฝ่ายจะเป็นการตั้งโจทย์ที่ผิด โดยเฉพาะที่ผ่านมาเอาคำว่าปรองดองมาใช้นำไปสู่การนิรโทษกรรม จะกลายเป็นปัญหาที่ทำให้เกิดความขัดแย้งมากขึ้น แต่ถ้าพยายามเอาแนวคิดของทุกฝ่ายที่เป็นประโยชน์ส่วนรวมมาประสานก็จะเป็นทางออกให้กับประเทศ” นายอภิสิทธิ์ กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า แถลงการณ์ยึดอำนาจของ คสช. ระบุว่าจะสร้างความชอบธรรมให้กับทุกพวกทุกฝ่ายจะนำไปสู่การออก พ.ร.บ.นิรโทษกรรมหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ตนหวังว่าจะไม่เป็นอย่างนั้น และคิดว่าถ้าทำจะเป็นชนวนให้เกิดความวุ่นวาย การจะสร้างความชอบธรรมให้กับทุกฝ่าย คือการทำให้ทุกฝ่ายเคารพกฎหมาย รับผิดชอบกับการกระทำของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นตน สีไหน หรือใครก็ตามต้องยอมรับที่จะเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ตนคิดว่า คสช.ไม่ควรลืมว่ามีหลายประเด็นที่เป็นการขับเคลื่อนของมวลชนก่อนหน้านี้ เช่น ปัญหาเรื่องการทุจริตคอร์รัปชั่น ควรเป็นสิ่งแรก ๆ ในการปฏิรูปที่ทำให้เป็นรูปธรรมว่าจะทำให้ดีขึ้นอย่างไร เพราะมีข้อเสนอจากหลายฝ่ายอยู่แล้ว
“ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่คำแถลงยึดอำนาจไม่พูดถึงเรื่องการทุจริตคอร์รัปชั่น แต่เป็นปัญหาที่อยู่ในใจคนมากที่สุดก่อนที่จะเกิดวิกฤตทางการเมือง พวกผมเป็นนักการเมืองกลุ่มแรกที่ยอมรับว่าประชาชนเสื่อมศรัทธาในตัวพรรคการเมือง นักการเมือง เพราะฉะนั้น คสช.ต้องสร้างระบบการเมืองที่ดีกว่า ทำให้นักการเมือง พรรคการเมืองมีพฤติกรรมที่ดีขึ้น ถ้าไปดำเนินการในลักษณะที่จะดึงพรรคการเมือง นักการเมืองเข้าไป ผมไม่แน่ใจว่าประชาชนจะยอมรับได้หรือไม่” นายอภิสิทธิ์ กล่าว
เมื่อถามว่า คสช.มีอำนาจเต็มควรจะทำให้บ้านเมืองไปสู่ทิศทางที่ดีขึ้นอย่างไร หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ ประกาศว่าต้องการให้บ้านเมืองกลับสู่ภาวะปกติ พูดถึงการปฏิรูป ก็ต้องทำให้เป็นรูปธรรม ส่วนทีมที่ปรึกษานั้นเป็นรายชื่อที่คาดการณ์ได้ว่าให้คำแนะนำ ปรึกษาได้ แต่การบริหารจริงไม่ได้อยู่ที่คณะที่ปรึกษา และกลไกยังพึ่ง คสช.กับข้าราชการอยู่ ตนคิดว่าบางเรื่องราชการทำงานได้ เช่น การบริหารจัดการปกติ ซึ่งอาจจะทำได้ดีถ้าไม่มีการเมืองหรือผลประโยชน์เข้าไปแทรกแซง แต่งานปฏิรูปต้องพึ่งภาคส่วนอื่นที่ไม่ใช่ราชการ เพราะการปฏิรูปที่ประชาชนคาดหวังคือการลดทอนอำนาจรัฐ จะพึ่งราชการกับ คสช.คิดเองคงไม่ง่าย
ถามต่อว่า คสช.มีอำนาจเต็มในฝ่ายบริหาร นิติบัญญัติ และมีอำนาจตุลาการบางคดีที่ไปขึ้นศาลทหาร การดำรงสถานะเช่นนี้ต่อไปนาน ๆ จะมีปัญหาหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า อยู่ในดุลพินิจของแต่ละฝ่าย โดยสถานการณ์จะเป็นตัวกำหนดเหมือนที่พล.อ.ประยุทธ์ ระบุ เพราะคงบอกไม่ได้ว่ากี่วัน กี่สัปดาห์ แต่ถ้าดูว่าจะสงบเรียบร้อย เช่นขณะนี้ผู้นำมวลชนไม่ได้เคลื่อนไหวก็น่าจะเร็วได้ เพราะการอยู่ในสภาพอย่างนี้จะมีความอึดอัดสะสม โดยปัญหาจุดแรกน่าจะเป็นเรื่องสื่อสารมวลชน
ส่วนเรื่องการปฏิรูปโครงสร้างตำรวจนั้น นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า สิ่งที่ประชาชนคาดหวังคือการปฏิรูปให้ตำรวจใกล้ชิดประชาชนมากขึ้นไม่ใช่ทำให้องค์กรใหญ่ขึ้นหรือรวมศูนย์อำนาจมากขึ้น แต่ที่มีการเสนอเรื่องการตั้งกระทรวงตนก็สับสนเพราะมีการพูดว่าจะกระจายอำนาจ แต่กลับเสนอเรื่องกระทรวง ทำให้สับสน เพราะการตั้งกระทรวงจะยิ่งทำให้การเมืองเข้าไปแทรกแซงได้ง่ายขึ้น ความจริงคนที่เคยเสนอเรื่องปฏิรูปโครงสร้างตำรวจไว้ดีคือ พล.ต.อ.วสิษฐ เดชกุญชร ซึ่งหากจะมีการปฏิรูปตำรวจควรหยิบแนวทางนี้ขึ้นมาพิจารณา
ปล. หยุดพูดเถอะกรูเบื่อ ให้ทหารเขาทำงานไป เวลาอยู่ในอำนาจรัฐ ทหารไม่เคยออกมายุ่ง ตอนนี้อยู่ในอำนาจทหารลองให้โอกาสเขาทำงานไปก่อน ทุกวันนี้ที่มันยุ่งกันนัก ก็เพราะนักการเมือง พวกกรูคนทำมาหากินเบื่อๆๆๆ