สาสน์สำคัญจากตะรางคลองเปรม

ผมได้มีโอกาสไปฝึกงานภาคปฏิบัติในเรือนจำกลางคลองเปรมเป็นเวลาเดือนกว่าๆ ขอบอกก่อนว่าที่ไปฝึกงานในเรือนจำเนื่องจากเป็นหลักสูตรบังคับภาควิชาของคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์(ศูนย์รังสิต) และจุดประสงค์ที่เลือกฝึกกับหน่วยงานนี้ เพราะหน่วยงานตั้งอยู่ใกล้บ้านและสะดวกสบายต่อการเดินทาง และปกติแล้วผมก็ไม่ชอบที่จะตื่นแต่เช้า อีกทั้งโดยส่วนตัวแล้วผมไม่ได้มีความสนใจกับกระบวนการยุติธรรม แค่อยากจะฝึกให้มันเสร็จลุล่วงไปด้วยดี ไม่ได้คาดหวังอะไรมากกับสิ่งที่ต้องไปทำทุกวัน วงจรเดิมๆ อะไรเดิมๆ แต่พอได้ใช้ไปสัมผัสใช้ชีวิตในหน่วยงานสักระยะหนึ่ง ผมได้เห็นมิติมุมมองของชีวิตหลากหลายแง่ ที่หลายคนไม่อาจพบเจอในชีวิตประจำวัน หรือประสบมาก่อน กับการสัมผัสชีวิตในเรือนจำ เข้าเรื่องเลยละกัน ขี้เกียจสาธยายมาก ให้เล่าเรื่องราวทั้งหมดสัปดาห์หนึ่งก็ยังไม่จบหรอก เชื่อผม... ต่อให้จำกัดตัวอักษรเท่าไหร่ก็ยังไม่พอ

ผม,นักศึกษาฝึกงาน ได้รับมอบหมายงานให้ทำ case review ส่ง (ให้แปลเป็นไทยก็ไม่รู้ว่าแปลว่าอะไร เอาง่ายๆคือ กรณีศึกษาล่ะกัน)
จากการสัมภาษณ์ผู้ต้องขังและทำการจำแนกผู้ต้องขังเพื่อทำการประเมินคุณสมบัติที่เหมาะสมกับโปรแกรมแก้ไขบำบัดฟื้นฟูผู้ต้องขังกระทำผิดซ้ำ ผมจึงได้มีโอกาสสัมภาษณ์พี่คนหนึ่ง(ผู้ต้องขัง)จากแดน 8 จากเรื่องราวที่เขาเล่ามา ผมมีความสนใจที่จะรับเขาเข้ามาทำ case review  
และวันสุดท้ายในการฝึกงานภาคปฏิบัติของหน่วยงานแห่งนี้ ก่อนที่จะต้องทำรายงานนำเสนอต่อคณาจารย์ที่มหาวิทยาลัย ... พี่คนนี้ได้เขียนจดหมายเกี่ยวกับเรื่องราวสิ่งที่เขาอยากจะฝากถึงสังคมภายนอกได้รับรู้และเข้าใจกับสิ่งที่เขาอยากจะเล่า แต่ไม่มีโอกาส
ข้อความดังต่อไปนี้เป็นจดหมายจากผู้ต้องขังคนหนึ่งที่อยากจะให้สังคมภายนอกได้รับรู้

"สำหรับข้อความนี้ พี่ก็จะให้น้องลองเอาไปอ่านดูเผื่อว่ามันอาจจะช่วยน้องในการส่งงานวิจัยของน้องได้บ้างไม่มากก็น้อย พี่ก็ขอบอกเลยนะว่าเรื่องการที่เราต้องการที่จะเพิ่มศักยภาพความสามารถ ความรู้ของผู้ต้องขังเนี่ย หรือว่าฟื้นฟูแก้ไขผู้ต้องขังเมื่อเขาพ้นโทษออกไปแล้ว และจะไม่หวนกลับมากระทำผิดซ้ำอีกนั้น มันก็เป็นเรื่องที่ไม่ง่ายสักเท่าไหร่ ตรงกันข้ามมันก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกเช่นกัน  พี่อยากให้น้องลองมองดูสังคมภายนอกด้วยว่า  เขายอมเปิดรับ และให้โอกาสกับผู้ต้องขังที่เคยผ่านการใช้ชีวิตในนี้รึเปล่า? เพราะส่วนใหญ่ผู้ต้องขังที่ได้รับการอบรมหรือฝึกวิชาชีพต่างๆ เมื่อพ้นโทษออกไปแล้ว เขาก็ไปสมัครงานตามที่ต่างๆ บริษัท,โรงงาน แต่พอรู้ว่าเคยติดคุกมาแล้ว หรือว่าเพิ่งพ้นโทษออกไปแล้ว เขาก็ไม่รับ ทั้งๆที่พวกเขาต้องการที่จะกลับตัวเป็นคนดี ทำงานสุจริต แต่สังคมภายนอกกลับไม่ยอมรับพวกเขา ทีนี้พอไม่มีงานทำ คนเราก็ต้องกินใช้ บ้านก็ต้องเช่า ข้าวก็ต้องซื้อ บางคนมีทั้งลูกน้อยลูกโต และภรรยา ที่จะต้องรับผิดชอบเลี้ยงดู สุดท้ายไปสมัครงานที่ไหนก็ไม่มีใครรับ พวกเขาก็ต้องกลับมาสู่เส้นทางเดิม ก็คือ ขายยา,ปล้น,จี้,ชิง,วิ่งราว นี่แหละคือปัญหาที่สังคมภายนอกยังไม่ยอมรับ แต่ก็มีบางคนที่เขามีพื้นฐานดีแล้ว เพียบพร้อม มีเงินเก็บ มีเงินทุนสำรอง มีคนภายนอกคอยช่วยเหลืออยู่นั่นก็คือครอบครัวของพวกเขานั่นเอง พวกนี้เมื่อพ้นโทษออกมาเขาก็สามารถนำหลักสูตรวิชาความรู้ความสามารถที่ได้ฝึกฝนร่ำเรียนมา และก็มาเปิดกิจการร้านค้าหรือไม่ก็ลงทุนเปิดทำธุรกิจส่วนตัวเป็นของตัวเองได้โดยที่ไม่ต้องไปพึ่งพาหน่วยงานอื่นๆ แล้วสำหรับคนที่เขาไม่มีล่ะ? สุดท้ายในเมื่อสังคมภายนอกไม่ยอมเปิดโอกาสให้บุคคลเหล่านี้ พวกเขาก็ต้องกลับเข้ามาสู่เส้นทางเดิม วังวนเดิมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ นี่แหละคือปัญหาใหญ่ ถึงแม้จะฟื้นฟูแก้ไข อบรม ฝึกฝนวิชาชีพ พัฒนาจิตใจ เพิ่มขีดความสามารถศักยภาพเท่าใด พวกเขาก็ไม่สามารถนำความรู้เหล่านี้ไปหางานทำได้ เพราะไม่มีใครรับพวกเขาเข้าทำงานนั่นเอง
สำหรับตัวของพี่เองที่ได้เข้ามาใช้ชีวิตอยู่ข้างในนี้มันก็ด้วยเหตุสุดวิสัยโดยที่มันไม่น่าจะเกิด ก็เหมือนกับคนอื่นๆอีกมากมายหลายชีวิตที่ต้องเข้ามาใช้ชีวิตอยู่ในนี้ ไม่ว่าจะเป็นทหาร,ตำรวจ,หมอ,ครูและประชาชนคนธรรมดา รวมไปถึงพวกนักการเมือง, อบต., กำนัน, ผู้ใหญ่บ้าน ก็หลายคนที่ใช้ชีวิตอยู่ในนี้ทั้งที่เป็นแพะรับบาป ทั้งที่ทำไปโดยไม่ได้ตั้งใจ ทั้งที่ทำไปโดยความประมาทรู้เท่าไม่ถึงกาล ทั้งที่ทำโดยตั้งใจหรือเจตนาก็มี แต่ในเมื่อพวกเขาถูกศาลพิพากษาลงโทษตามกฎหมายและต้องเข้ามาใช้ชีวิตอยู่ในนี้ พวกเขาเหล่านี้ก็ต้องกลายเป็นคนที่ถูกสังคมภายนอกรังเกียจว่าเป็นคนขี้คุก เคยติดตะรางมา พี่ก็อยากบอกน้องว่าคนเราทุกคนย่อมมีโอกาสที่จะทำผิดพลาดกันได้ทั้งนั้น ไม่ใช่ว่าเมื่อเข้ามาอยู่ในนี้แล้ว และเมื่อพ้นโทษออกไปแล้วก็จะต้องกลายเป็นโจรผู้ร้ายไปตลอดชีวิต มันไม่ใช่ พี่บอกได้เต็มปากเลยนะว่าแทบจะทุกคนเลยก็ว่าได้ที่พวกเขาได้รับการอบรม ได้รับการฝึกวิชาชีพต่างๆที่ทางเรือนจำจัดหามาให้แก่ผู้ต้องขัง ไม่ว่าจะเป็นช่างไฟฟ้า,ช่างเชื่อม,ซ่อมเครื่องยนต์, จนจบหลักสูตรและสามารถนำไปเป็นอาชีพเลี้ยงตนเองได้ แต่พอพวกเขาไปสมัครงานถนัดจริงๆ กลับไม่ยอมรับพวกเขาเข้าทำงาน นี่แหละคือปัญหาใหญ่ที่ผู้ต้องขังเขากังวล แม้กระทั่งพวกเขาที่เรียนจบในนี้ ได้รับใบประกาศ ได้รับวุฒิการศึกษาในนี้ เรียนจบในนี้ ไม่ว่าจะเป็น ม.6,ปวช, ปวส แม้กระทั่งวุฒิปริญญาตรี แต่พอนำวุฒิพวกนี้ไปสมัครงาน เขาก็ดันไม่รับอีก เหตุผลเพียงแค่ว่าเรียนจบในเรือนจำ อันนี้คือเรื่องจริงที่พี่ได้รู้และจากปากผู้ต้องขังด้วยกันเองที่เขาได้ไปเจอเหตุการณ์กับตัวเองมา
สำหรับตัวของพี่เองที่ได้เข้ามาใช้ชีวิตอยู่ข้างในนี้ มันก็เป็นบทเรียนอีกอย่างหนึ่งที่ได้รู้ได้เห็นว่าคุก,ตะราง, หรือเรือนจำ มันไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คนภายนอกคิด และไม่ได้เลวร้ายอะไรเลย และระหว่างที่พี่ได้เข้ามาใช้ชีวิตข้างในเป็นเวลา 2 ปี ที่พี่ถูกศาลตัดสิน ตอนแรกก็รู้สึกว่าท้อ เบื่อหน่ายกับชีวิต แต่พอพี่คิดไปคิดมา และได้พบได้เห็นกับผู้ต้องขังด้วยกันร้อยพ่อพันแม่ที่ต้องเข้ามาใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน ทั้งที่ผิดจริงทั้งที่ผิดไม่จริง บางคนเมื่อเข้ามาอยู่ในนี้แล้วก็ต้องพบความสูญเสีย, สูญเสียครอบครัว, สูญเสียภรรยาคนที่เรารัก สูญเสียหน้าที่การงาน บางคนพ่อ,แม่,ปู่,ย่า,ตา,ยาย เสียชีวิตก็ไม่มีโอกาสได้ออกไปร่วมไว้อาลัยหรือเห็นพวกเขาเป็นครั้งสุดท้ายก็มี แต่พวกเขาก็สามารถปรับเปลี่ยนตัวเองให้อยู่ได้,สู้,ยิ้มได้,หัวเราะได้,ไม่ท้อถอยต่ออุปสรรค เพื่อที่จะรอวันกลับออกไปใช้ชีวิตภายนอก สิ่งเหล่านี้มันจึงเป็นแรงผลักดันแรงบันดาลใจให้พี่สู้และไม่ท้อถอยต่ออุปสรรคปัญหาที่กำลังเผชิญอยู่ ถึงแม้ว่า แฟน,ภรรยา คนที่เรารักจะจากเราไปแล้วด้วยเหตุผลอะไรก็แล้วแต่ แต่เราก็ยังมีลมหายใจ ยังมีชีวิตอยู่ เราก็ต้องอยู่สู้เพื่อตัวของเราเอง และระหว่างที่พี่ใช้ชีวิตในนี้พี่ก็ได้ศึกษาหาความรู้ทางด้านกฎหมาย,คดีความ จากคนที่ไม่เคยรู้เรื่องทางด้านกฎหมายเลย แต่ตอนนี้กลับปลายเป็นคนที่รู้ที่เก่งทางด้านกฎหมาย และมันก็สามารถนำเอาไปใช้ได้จริงกับชีวิตประจำวัน รู้เท่าทันคน รู้เล่ห์เหลี่ยมของตำรวจ และสามารถให้คำปรึกษากับคนที่เขาไม่รู้เรื่องทางด้านกฎหมาย,คดีความได้ และนี่ก็เป็นวิชาความรู้ที่พี่ได้ติดตัวเพิ่มเติมระหว่าง 2 ปี กับการใช้ชีวิตข้างในนี้ อย่างน้อย 2 ปี พี่ก็ไม่ได้ปล่อยเวลาให้เสียไปโดยเปล่าประโยชน์ คนเราไม่สามารถเลือกเกิดได้ แต่คนเราสามารถเลือกทางเดินชีวิต และกำหนดเส้นทางชีวิตของเราให้ไปในทางที่ดีได้ จะดีจะชั่วมันก็อยู่ที่ตัวของเราเอง ในเมื่อเราพลาดแล้ว ผิดแล้ว หรือว่าไม่ได้ตั้งใจก็แล้วแต่ เราก็จะเอาบทเรียนที่ผ่านมาคอยย้ำเตือนเป็นเครื่องเตือนสติเตือนใจเรา ให้คอยระวังไว้ตลอดเวลา และพี่ก็เชื่อว่าไม่นานหรอก สังคมภายนอกที่เคยปิดกั้นปิดโอกาส เขาก็ต้องยอมรับเราได้ถ้าเรามุ่งมั่นที่จะกลับตัวกลับใจ เป็นคนดีของสังคมจริงๆ ถึงแม้ว่ามันจะต้องใช้เวลาสักหน่อย แต่มันก็คุ้มค่านะกลับการที่เราจะเปลี่ยนแปลงชีวิตของตัวเราเองให้เป็นคนดีของสังคม ของพ่อแม่ ของพี่น้อง รวมไปถึงคนที่เรารัก ไม่มีใครหรอกที่จะอยากจะใช้ชีวิตอยู่ในสถานที่ที่คนภายนอกเรียกว่าคุก,ตะราง,เรือนจำ หรือสถานกักกันไปตลอดชีวิต และนี่ก็เป็นความรู้สึกของพี่ ที่พี่ได้รู้ ได้เห็น ได้สัมผัสกับความเป็นจริงทั้งหมด และก็เป็นความรู้สึกของพี่จริงๆ และเมื่อพี่พ้นโทษออกไปแล้ว พี่ก็จะไปทำงานตามที่พี่ได้ตั้งใจไว้ และพี่ก็จะเป็นคนดีของสังคม และจะไม่หวนกลับมาเข้ามาในนี้อีก บทเรียนก็มีแล้ว
ขออย่างเดียว อย่าท้อ อย่าถอย สักวันเราก็จะผ่านอุปสรรคไปได้ด้วยดี ฟ้าหลังฝนย่อมสดใสเสมอ ขอเพียงเราเชื่อมั่นและตั้งใจจริง...."

จากพี่... แดน 8
เรือนจำกลางคลองเปรม
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่