โดย...น่องน้อย ไบค์
เช้า 26 เมษายน 2557 หลังสายฝนได้เทกระหน่ำเกือบตลอดค่ำคืน ทำให้อากาศที่ร้อนระอุกลับชุ่มเย็น คล้ายจะเป็นใจให้กับกลุ่มก๊วนขบวนนักปั่นจาก ชมรมเทคนิค ไบค์ 101 ที่บุกบั่นตั้งใจมาเริ่มออกสตาร์ท ที่อำเภอเขาสวนกวาง จังหวัดขอนแก่น บ้านเกิดของ “ครูโต้” ซึ่งทริปนี้รับเป็นเจ้าภาพจัดหาที่พักสุดสวยบรรยากาศดีมากท่ามกลางไร่อ้อย อีกทั้งข้าวปลาอาหารสุดแซ๊บ

7.30 น. ล้อเริ่มหมุนเบาๆมุ่งตรงเข้าหา “สวนสัตว์ ขอนแก่น” โดยก่อนนี้เรียกสวนสัตว์เขาสวนกวาง ที่ตั้งตระหง่านรอให้ขึ้นมาเยือน แลดูสองข้างทางขนาบด้วยไร่อ้อยเขียวขจีสุดลูกหูลูกตา ทำให้ปั่นไปเพลิดเพลินจำเริญตาจำเริญใจ เผลอเดี๋ยวเดียวต้องปลดเปลี่ยนเกียร์เตรีมขึ้นเขาที่ดูจะลาดชันและทอดยาวพอสมควร ใช้เวลาไม่มากก็สามารถปั่นขึ้นมาชักภาพเป็นจุดแรก จากนั้นพากันปล่อยให้จักรยานไหลร่อนลงเนินลาด แล้วออกแรงปั่นต่อได้สักพักก็มาโผล่ถนนมิตรภาพ มองเห็นกลุ่มควันลอยล่องทั้งสองข้างทาง เสียงแม่ค้าไก่ย่างทักทายและเชิญชวนให้ลองลิ้มรสไก่ย่างเขาสวนกวาง ทำให้ชาวคณะต้องแวะพักไม่รอช้า พร้อมกับแบกกระติ๊บข้าวสองกล่องใหญ่วางบนโต๊ะ ไ ม่นานไก่ย่างกลิ่นหอมฉุยก็มานอนรอพร้อมตำบักหุ่งรสแซ๊บหลาย งานนี้ต้องขอขอบคุณ “ครูตี๋” ที่อาสาบรรทุกกระติ๊บ


ข้าวไว้บริการตลอดทาง หลังจากหาช่องว่างที่จะเติมลงในกระเพาะอาหารไม่ได้อีกต่อไปจึงยุติกิจกรรมอันแสนสำราญในรสขาติ แล้วพากันขี้นควบนั่ง หันล้อหน้าชี้เข้าหา อำเภอน้ำพอง เพื่อใช้เป็นเส้นทางผ่านสู่สันเขื่อน น่องน้อยๆอย่างกระผมที่เพิ่งออกทริปปั่นเป็นครั้งแรกรู้สึกได้ว่าประหวั่นอยู่พอควร หัวใจเริ่มสั่นเต้นรัวแต่ก็ไม่กลัวเพราะมีพ้องเพื่อนร่วมทางที่ทั้งให้กำลังใจและให้ความรู้รวมทั้งเทคนิคต่างๆนาๆ ทำให้การปั่นเลื่อนไหลไปได้เรื่อยๆ เหงื่อเริ่มหยดย้อยรินไหลตามรายทางจวบจนถึงสามแยกปากทางเข้า อำเภออุบลรัตน์ พวกเราต่างเลี้ยวขวาเพื่อตรงเข้าหาเป้าหมายคือ “เขื่อนอุบลรัตน์” แต่ถูกดักให้ลดความเร็วลงโดยเนินชันในด่านแรก ทำให้ผมปอดแหกอยู่พักหนึ่งแต่ก็เรียกสติกลับคืนได้


เมื่อสามารถขึ้นถึงหลังเนิน จากนั้นก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของแรงโน้มถ่วงดูดวงล้อให้หมุนติ้วไหลลงตามทางลาด ครั้นเงยหน้าอีกทีหัวใจแทบวาย ก็มันอีกหลายเนินที่นอนขวางเรียงรายดูคล้ายลูกระนาดยักษ์ที่คอยดักทำลายจิตใจให้ถ้อถอย แสงแดดเริ่มทวีความร้อนทำให้ทุกคนชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อ หลังพากันข้ามเนินแล้วเนินเล่าจนผมรู้สึกว่ารูจมูกมันเล็กเกินไปจึงเริ่มใช้ปากช่วยสูดและเป่าพ่น ก้มหน้าก้มตามถีบปั่นจนลืมเวลาว่ามันผ่านไปกี่นาทีกี่ชั่วโมง
ขณะที่เรี่ยวแรงจะใกล้หมด ยินเสียงแว่วๆบอกให้แวะจอดปั๊ม ปตท.ข้างหน้า ทำให้ผมงงงวยแวะทำไมจะจอดเติมน้ำมันหรือไง นี่มันจักรยานนะครับ แต่สักพักก็ได้ยินเสียงตระโกนบอกชัดๆว่า “พักดื่มน้ำ” ก่อนที่จะเข้าตัวอำเภออุบลรัตน์ ใจมันชื้นขึ้นทันที “นี่มันจะถึงเขื่อนแล้วรึ” เรี่ยวแรงที่ล้ากลับฟื้นคืนอีกที รีบออกแรงเร่งปั่นหวังได้พักเพราะตอนนี้กระหายน้ำเป็นยิ่งนัก พักดื่มกินอยู่สักพักก็พากันออกปั่นมุ่งสู่สันเขื่อน ใช้เวลาไม่นานต่างพากันพิชิตเป้าหมายอันเป็นภารกิจหลักได้สำเร็จและพากันเที่ยวชมความงามของบรรยากาศรอบๆจนเป็นที่พอใจจึงออกเดินทางหาที่รับประทานอาหารเที่ยง โดยได้ร้านริมทางที่จะขึ้นเขาขาดบรรยากาศใช้ได้ มื้อนี้มีทั้งอ่อมบ่าง ต้มปลา ผัดเผ็ดหมูป่าและตำบักหุ่ง ซึ่งพวกเราต่างช่วยกันจัดการจนเกลี้ยงชาม แล้วเอนพักรอข้าวเรียงเมล็ดสบายอุรา


จากนั้น “ครูแค็ท” บอกให้ออกปั่นขึ้นไปชมบรรยากาศบนเขาขาด ต่างพากันพุ่งทยานออกปั่นอย่างรวดเร็วด้วยใจหมายหวังพิชิตก่อนใครเพื่อน ออกแรงปั่นได้สักพักความเร็วรถก็สะดุด จากการปั่นที่ตอนนี้ดูเหมือนจะเป็นการตระเกรียกตระกลายถีบเสียมากกว่า เพราะเส้นทางมันชันแบบสุดๆทำให้มือใหม่อย่างกระผมต้องจอดเป็นระยะ ใจเริ่มถอด น่องมันล้า หมดเรี่ยวแรง แล้วทิ้งก้นลงนั่งถามใจตัวเอง “ถอยไม่ถอยๆ...” และสุดท้ายตัดสินใจ “ไม่ถอยโว๊ย!” ไม่ได้ด้วยฝีจักรก็เอามันด้วยฝีเท้านี่แหล่ะตัดสินใจสูดลมหายใจลึกๆเข้าเต็มปอดแล้วรวบรวมสรรพกำลังทั้งหมดทั้งมวลที่เหลืออยู่ “จูงสิครับ” ถึงจนได้ยอดเขาขาด บรรยากาศสุดยอดคุ้มค่าสมราคาที่แรกมาด้วยหยาดเหงื่อ ชมความงามได้สักพักจนหายเหนื่อยจึงพากันขึ้นควบนั่งปล่อยให้รถมันไหลแล่นลงอย่างสุขสรรค์ ดูคล้ายได้กลับมาอายุ “สิบสี่” อีกครั้ง ทั้งๆ ที่รวมกันทั้งก๊วนน่าจะ “ครึ่งพัน”




ขากลับปั่นตัดผ่านทางห้วยเสือเต้น บรรยากาศขนาบด้วยทุ่งนาซึ่งต่างจากขามาที่ไม่ค่อยมีทางลาดชันมากนัก แสงแดดเริ่มอ่อนทำให้ปั่นสบายขึ้น พอข้ามห้วยเสือเต้นได้พักใหญ่จึงชวนกันแวะจอดดื่มน้ำเติมพลัง ทำให้ได้เห็นน้ำใจงามๆจากคุณยายร้านชำข้างทางที่ท่านมอบน้ำเย็นๆสองกระติกใหญ่ให้ดื่มกิน ก่อนจากลาคุณยายยังบอกให้กรอกน้ำใส่กระบอกเผื่อหิวจะได้ไว้ดื่มกินดับกระหาย
“คุณยายครับ...ทุกหยดทุกหยาดมันช่างชุ่มจิตชุ่มใจจริงๆ”
ตะวันเริ่มคล้อยต่างพากันเร่งฝีเท้าแข่งกับแสงตะวันจนตัดขึ้นขอบถนนมิตรภาพ เงยหน้ามองหนทางข้างหน้าอันเป็นเป้าหมายสุดท้าย ที่ดูแสนจะลาดชันและทอดยาวเหลือเกิน รอบแล้วรอบเล่าของวงล้อสลับกับเสียงหอบหายใจ ก่อนที่ลำแสงสุดท้ายจะหมดจากฟากฟ้า พวกเราก็พากันกลับสู่จุดสตาร์ทได้สำเร็จราบรื่นและม่วนซื้นโฮแซว ส่วนผม...
“ทุลักทุเล” แต่ในใจม่วนซื้น มากกว่าใครๆ กับความสำเร็จที่ไม่เคยได้ลองทำเกือบครึ่งค่อนชีวิต...บัดนี้ทำได้แล้ว 115 กม.
ฝ่ากำแพงใจไปเขื่อนอุบลรัตน์
เช้า 26 เมษายน 2557 หลังสายฝนได้เทกระหน่ำเกือบตลอดค่ำคืน ทำให้อากาศที่ร้อนระอุกลับชุ่มเย็น คล้ายจะเป็นใจให้กับกลุ่มก๊วนขบวนนักปั่นจาก ชมรมเทคนิค ไบค์ 101 ที่บุกบั่นตั้งใจมาเริ่มออกสตาร์ท ที่อำเภอเขาสวนกวาง จังหวัดขอนแก่น บ้านเกิดของ “ครูโต้” ซึ่งทริปนี้รับเป็นเจ้าภาพจัดหาที่พักสุดสวยบรรยากาศดีมากท่ามกลางไร่อ้อย อีกทั้งข้าวปลาอาหารสุดแซ๊บ
7.30 น. ล้อเริ่มหมุนเบาๆมุ่งตรงเข้าหา “สวนสัตว์ ขอนแก่น” โดยก่อนนี้เรียกสวนสัตว์เขาสวนกวาง ที่ตั้งตระหง่านรอให้ขึ้นมาเยือน แลดูสองข้างทางขนาบด้วยไร่อ้อยเขียวขจีสุดลูกหูลูกตา ทำให้ปั่นไปเพลิดเพลินจำเริญตาจำเริญใจ เผลอเดี๋ยวเดียวต้องปลดเปลี่ยนเกียร์เตรีมขึ้นเขาที่ดูจะลาดชันและทอดยาวพอสมควร ใช้เวลาไม่มากก็สามารถปั่นขึ้นมาชักภาพเป็นจุดแรก จากนั้นพากันปล่อยให้จักรยานไหลร่อนลงเนินลาด แล้วออกแรงปั่นต่อได้สักพักก็มาโผล่ถนนมิตรภาพ มองเห็นกลุ่มควันลอยล่องทั้งสองข้างทาง เสียงแม่ค้าไก่ย่างทักทายและเชิญชวนให้ลองลิ้มรสไก่ย่างเขาสวนกวาง ทำให้ชาวคณะต้องแวะพักไม่รอช้า พร้อมกับแบกกระติ๊บข้าวสองกล่องใหญ่วางบนโต๊ะ ไ ม่นานไก่ย่างกลิ่นหอมฉุยก็มานอนรอพร้อมตำบักหุ่งรสแซ๊บหลาย งานนี้ต้องขอขอบคุณ “ครูตี๋” ที่อาสาบรรทุกกระติ๊บ
ข้าวไว้บริการตลอดทาง หลังจากหาช่องว่างที่จะเติมลงในกระเพาะอาหารไม่ได้อีกต่อไปจึงยุติกิจกรรมอันแสนสำราญในรสขาติ แล้วพากันขี้นควบนั่ง หันล้อหน้าชี้เข้าหา อำเภอน้ำพอง เพื่อใช้เป็นเส้นทางผ่านสู่สันเขื่อน น่องน้อยๆอย่างกระผมที่เพิ่งออกทริปปั่นเป็นครั้งแรกรู้สึกได้ว่าประหวั่นอยู่พอควร หัวใจเริ่มสั่นเต้นรัวแต่ก็ไม่กลัวเพราะมีพ้องเพื่อนร่วมทางที่ทั้งให้กำลังใจและให้ความรู้รวมทั้งเทคนิคต่างๆนาๆ ทำให้การปั่นเลื่อนไหลไปได้เรื่อยๆ เหงื่อเริ่มหยดย้อยรินไหลตามรายทางจวบจนถึงสามแยกปากทางเข้า อำเภออุบลรัตน์ พวกเราต่างเลี้ยวขวาเพื่อตรงเข้าหาเป้าหมายคือ “เขื่อนอุบลรัตน์” แต่ถูกดักให้ลดความเร็วลงโดยเนินชันในด่านแรก ทำให้ผมปอดแหกอยู่พักหนึ่งแต่ก็เรียกสติกลับคืนได้
เมื่อสามารถขึ้นถึงหลังเนิน จากนั้นก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของแรงโน้มถ่วงดูดวงล้อให้หมุนติ้วไหลลงตามทางลาด ครั้นเงยหน้าอีกทีหัวใจแทบวาย ก็มันอีกหลายเนินที่นอนขวางเรียงรายดูคล้ายลูกระนาดยักษ์ที่คอยดักทำลายจิตใจให้ถ้อถอย แสงแดดเริ่มทวีความร้อนทำให้ทุกคนชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อ หลังพากันข้ามเนินแล้วเนินเล่าจนผมรู้สึกว่ารูจมูกมันเล็กเกินไปจึงเริ่มใช้ปากช่วยสูดและเป่าพ่น ก้มหน้าก้มตามถีบปั่นจนลืมเวลาว่ามันผ่านไปกี่นาทีกี่ชั่วโมง
ขณะที่เรี่ยวแรงจะใกล้หมด ยินเสียงแว่วๆบอกให้แวะจอดปั๊ม ปตท.ข้างหน้า ทำให้ผมงงงวยแวะทำไมจะจอดเติมน้ำมันหรือไง นี่มันจักรยานนะครับ แต่สักพักก็ได้ยินเสียงตระโกนบอกชัดๆว่า “พักดื่มน้ำ” ก่อนที่จะเข้าตัวอำเภออุบลรัตน์ ใจมันชื้นขึ้นทันที “นี่มันจะถึงเขื่อนแล้วรึ” เรี่ยวแรงที่ล้ากลับฟื้นคืนอีกที รีบออกแรงเร่งปั่นหวังได้พักเพราะตอนนี้กระหายน้ำเป็นยิ่งนัก พักดื่มกินอยู่สักพักก็พากันออกปั่นมุ่งสู่สันเขื่อน ใช้เวลาไม่นานต่างพากันพิชิตเป้าหมายอันเป็นภารกิจหลักได้สำเร็จและพากันเที่ยวชมความงามของบรรยากาศรอบๆจนเป็นที่พอใจจึงออกเดินทางหาที่รับประทานอาหารเที่ยง โดยได้ร้านริมทางที่จะขึ้นเขาขาดบรรยากาศใช้ได้ มื้อนี้มีทั้งอ่อมบ่าง ต้มปลา ผัดเผ็ดหมูป่าและตำบักหุ่ง ซึ่งพวกเราต่างช่วยกันจัดการจนเกลี้ยงชาม แล้วเอนพักรอข้าวเรียงเมล็ดสบายอุรา
จากนั้น “ครูแค็ท” บอกให้ออกปั่นขึ้นไปชมบรรยากาศบนเขาขาด ต่างพากันพุ่งทยานออกปั่นอย่างรวดเร็วด้วยใจหมายหวังพิชิตก่อนใครเพื่อน ออกแรงปั่นได้สักพักความเร็วรถก็สะดุด จากการปั่นที่ตอนนี้ดูเหมือนจะเป็นการตระเกรียกตระกลายถีบเสียมากกว่า เพราะเส้นทางมันชันแบบสุดๆทำให้มือใหม่อย่างกระผมต้องจอดเป็นระยะ ใจเริ่มถอด น่องมันล้า หมดเรี่ยวแรง แล้วทิ้งก้นลงนั่งถามใจตัวเอง “ถอยไม่ถอยๆ...” และสุดท้ายตัดสินใจ “ไม่ถอยโว๊ย!” ไม่ได้ด้วยฝีจักรก็เอามันด้วยฝีเท้านี่แหล่ะตัดสินใจสูดลมหายใจลึกๆเข้าเต็มปอดแล้วรวบรวมสรรพกำลังทั้งหมดทั้งมวลที่เหลืออยู่ “จูงสิครับ” ถึงจนได้ยอดเขาขาด บรรยากาศสุดยอดคุ้มค่าสมราคาที่แรกมาด้วยหยาดเหงื่อ ชมความงามได้สักพักจนหายเหนื่อยจึงพากันขึ้นควบนั่งปล่อยให้รถมันไหลแล่นลงอย่างสุขสรรค์ ดูคล้ายได้กลับมาอายุ “สิบสี่” อีกครั้ง ทั้งๆ ที่รวมกันทั้งก๊วนน่าจะ “ครึ่งพัน”
ขากลับปั่นตัดผ่านทางห้วยเสือเต้น บรรยากาศขนาบด้วยทุ่งนาซึ่งต่างจากขามาที่ไม่ค่อยมีทางลาดชันมากนัก แสงแดดเริ่มอ่อนทำให้ปั่นสบายขึ้น พอข้ามห้วยเสือเต้นได้พักใหญ่จึงชวนกันแวะจอดดื่มน้ำเติมพลัง ทำให้ได้เห็นน้ำใจงามๆจากคุณยายร้านชำข้างทางที่ท่านมอบน้ำเย็นๆสองกระติกใหญ่ให้ดื่มกิน ก่อนจากลาคุณยายยังบอกให้กรอกน้ำใส่กระบอกเผื่อหิวจะได้ไว้ดื่มกินดับกระหาย“คุณยายครับ...ทุกหยดทุกหยาดมันช่างชุ่มจิตชุ่มใจจริงๆ”
ตะวันเริ่มคล้อยต่างพากันเร่งฝีเท้าแข่งกับแสงตะวันจนตัดขึ้นขอบถนนมิตรภาพ เงยหน้ามองหนทางข้างหน้าอันเป็นเป้าหมายสุดท้าย ที่ดูแสนจะลาดชันและทอดยาวเหลือเกิน รอบแล้วรอบเล่าของวงล้อสลับกับเสียงหอบหายใจ ก่อนที่ลำแสงสุดท้ายจะหมดจากฟากฟ้า พวกเราก็พากันกลับสู่จุดสตาร์ทได้สำเร็จราบรื่นและม่วนซื้นโฮแซว ส่วนผม...“ทุลักทุเล” แต่ในใจม่วนซื้น มากกว่าใครๆ กับความสำเร็จที่ไม่เคยได้ลองทำเกือบครึ่งค่อนชีวิต...บัดนี้ทำได้แล้ว 115 กม.