
เนื่องจากเมื่อ เมษา ที่ผ่านมา เรามีโอกาสได้ไป "Lost & Found in Japan" มาหลายวัน ซึ่งถึงแม้จะไปถึงญี่ปุ่นก็ยังไม่วายกระ

กระสนเข้าโรงหนังอีกจนได้ ส่วนเรื่องที่ได้ดูก็เนี่ย Cabin in the Woods ที่ได้ดูในไทยไปตั้งแต่ปีที่แล้ว แต่ก็ต้องดูเพราะอยากสัมผัสประสบการณ์ดูหนังในญี่ปุ่น โพสท์นี้แทนที่จะวิวหนังจึงขอเป็นวิวโรงหนังและเรื่องราวเล็กๆ น้อยๆ เกี่ยวกะโรงหนังในญี่ปุ่นละกัน
1. ไม่น่าเชื่อว่าญี่ปุ่นที่มีตลาดภาพยนตร์ใหญ่เป็นอันดับที่ 2 ของโลกรองจากฮอลลีวูด(แต่เพิ่งโดนจีนแซงหน้าไปไม่นาน) จะมีรอบการฉายสุดท้ายแค่ 21.30 น. นี่ที่โอซา่กานะ ส่วนย่านเศรษฐกิจอย่างโตเกียวกลับมีแค่รอบ 20.45 น. เป็นรอบฉายสุดท้าย(รอบที่ได้ดูนี่ล่ะ) ผิดกับประเทศไทยที่รอบฉายสุดท้ายไปจบที่ประมาณตี 1 (อาจดึกกว่านั้นกรณีมีหนังที่มีคนดูเยอะ)
2. โรงหนังค่อนข้างเคร่งครัดกะเวลาเข้าโรงฯ มาก เท่าที่เจอแค่ 10 นาทีนี่ปิดช่องขายตั๋วแล้ว ผู้เขียนต้องไปเคาะที่ช่องขายตั๋วและขอซื้อบัตรจนได้ดูเนี่ยแหละ
3. ที่นั่งในโรงฯ ที่ช่องขายตั๋วมีแบ่งเป็นสี(เหมือนของไทย) แต่พอถามราคาก็บอกราคาเดียวกันหมดที่ 1,200 เยน(ที่โอซาการาคาอยู่ที่ 1,800 เยน) แล้วพี่เค้าจะแบ่งเป็นสีเป็นโซนทำเพื่อ ?
4. ทางเดินเข้าโรงหนังอย่าหวังว่าจะโอ่โถงเหมือนของไทย คือเป็นแบบทางเดินไปเข้าโรงฯ เลยแถมโรงฯ ที่ผู้เขียนได้ดูต้องเดินลงไปใต้ดินถึงสองชั้น เรียกว้าดูหนังสยองขวัญแต่กลับรู้สึกสยองตั้งแต่ทางเดินเข้า
5. อย่างที่บอกเค้าค่อนข้างเคร่งครัดกะเวลาขนาดผู้เขียนเข้าช้าไปแค่ 10 นาทีหนังก็ได้ฉายไปประมาณนึงแล้วเลยไม่ได้รู้เลยว่าก่อนฉายหนังเค้ามีอะไรมั่ง ผิดกะไทยที่บังคับคนดูให้ต้องดูโฆษณาในโรงฯ ซะเกือบครึ่งชั่วโมง(แต่ปัจจุบันเนื่องจากโดนกระแสคัดค้านจากคนดูเยอะขึ้น เลยปรับปรุงเหลือแค่ประมาณ 15 นาที)
6. จากที่เคยคิดว่าริ่มเก่ง หูเริ่มกระดิกภาษาอังกฤษ คิดในใจว่าน่าจะฟังทัน เอาเข้าจริงไปไม่เป็น ดูหนังภาษาอังกฤษ ซับฯ ญี่ปุ่น(เงิบ-) นี่ถ้าไม่เคยดูมาก่อนคงเอ๋อหนักกว่านี้(ที่จริงตั้งใจจะดูหนังที่เป็นเสียงญี่ปุ่น ซับฯ อังกฤษนะ คราวหน้าต้องดูให้ได้)
7. ที่นั่งในโรงฯ เป็นแค่แบบนั่งดูหนังจริงๆ ไม่จำเป็นต้องมี Honeymoon Seat, Emperor Seat, Platinum Seat ฯลฯ แบบไทยให้ยุ่งยากที่ก็ไม่รู้ว่าจะเข้าไปดูหนัง หรือเข้าไปนอน เอ๊ะ! หรือว่าเค้าเข้าไปนอนดูหนังกัน
8. ค่อนข้างชอบมากกะมารยาทการดูหนังของคนญี่ปุ่น คือหนังจบเค้าจะไม่ลุกกันพรึ่บพรับ(มีบ้างที่ลุกออกไป คาดว่าน่าจะมีธุระปะปัง) แต่จะรอดูจนจบ end credit เพื่อเป็นการให้เกียรติคนทำหนัง ผิดกะของไทยที่พอคาดว่าหนังน่าจะจบปุ๊บ ลุกกันจนคนที่ต้องการดื่มด่ำไปกะหนังต้องเสียฟีล ประมาณว่ากูลุกก่อน กูฉลาดเพราะหนังจบแล้วส่วนคนที่ยังนั่งอยู่

โง่ ไม่รู้รึไงว่าหนังจบแล้วน่ะ(จริงๆ ส่วนหนึ่งต้องโทษพนักงานเปิดประตูด้วย สังเกตุได้ช่วงก่อนหนังจบซัก 5 นาทีพี่เค้าจะเดินมาเลียบๆ เคียงๆ ที่ประตูและเหมือนเป็นการบอกอ้อมๆ ว่าพวกรีบๆ ลุกกันไปได้และกูจะรีบเคลียร์โรง ซึ่งหากใครลุกช้าจะต้องโดนมองและคาดว่าน่าจะโดนด่าในใจแน่(อันนี้ผู้เขียนโดนมาบ่อย)
9. ไปดูตู้ขายตั๋วมา(แต่ยังไม่มีโอกาสได้ใช้เพราะเค้าปิดก่อน) มีแต่ภาษาญี่ปุ่นไม่มีรูปภาพประกอบด้วย แล้วงี้เค้าจะเลือกดูหนังถูกมั้ยอ่ะ ? ยังไงคราวหน้าต้องไปลองให้ได้ ให้มันรู้กันไป
พอนึกออกแค่นี้ล่ะที่ไปเจอมา แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นไม่อาจสรุปในภาพรวมได้นะเพราะผู้เขียนมีโอกาสได้ดูแค่โรงฯ เดียวรอบเดียว อันนี้เป็นแค่ความเห็นส่วนตัวต่อโรงภาพยนตร์ของญี่ปุ่นเฉยๆ ครับผม
ความแตกต่างระหว่าง โรงหนังไทย กะ โรงหนังญี่ปุ่น
เนื่องจากเมื่อ เมษา ที่ผ่านมา เรามีโอกาสได้ไป "Lost & Found in Japan" มาหลายวัน ซึ่งถึงแม้จะไปถึงญี่ปุ่นก็ยังไม่วายกระ
1. ไม่น่าเชื่อว่าญี่ปุ่นที่มีตลาดภาพยนตร์ใหญ่เป็นอันดับที่ 2 ของโลกรองจากฮอลลีวูด(แต่เพิ่งโดนจีนแซงหน้าไปไม่นาน) จะมีรอบการฉายสุดท้ายแค่ 21.30 น. นี่ที่โอซา่กานะ ส่วนย่านเศรษฐกิจอย่างโตเกียวกลับมีแค่รอบ 20.45 น. เป็นรอบฉายสุดท้าย(รอบที่ได้ดูนี่ล่ะ) ผิดกับประเทศไทยที่รอบฉายสุดท้ายไปจบที่ประมาณตี 1 (อาจดึกกว่านั้นกรณีมีหนังที่มีคนดูเยอะ)
2. โรงหนังค่อนข้างเคร่งครัดกะเวลาเข้าโรงฯ มาก เท่าที่เจอแค่ 10 นาทีนี่ปิดช่องขายตั๋วแล้ว ผู้เขียนต้องไปเคาะที่ช่องขายตั๋วและขอซื้อบัตรจนได้ดูเนี่ยแหละ
3. ที่นั่งในโรงฯ ที่ช่องขายตั๋วมีแบ่งเป็นสี(เหมือนของไทย) แต่พอถามราคาก็บอกราคาเดียวกันหมดที่ 1,200 เยน(ที่โอซาการาคาอยู่ที่ 1,800 เยน) แล้วพี่เค้าจะแบ่งเป็นสีเป็นโซนทำเพื่อ ?
4. ทางเดินเข้าโรงหนังอย่าหวังว่าจะโอ่โถงเหมือนของไทย คือเป็นแบบทางเดินไปเข้าโรงฯ เลยแถมโรงฯ ที่ผู้เขียนได้ดูต้องเดินลงไปใต้ดินถึงสองชั้น เรียกว้าดูหนังสยองขวัญแต่กลับรู้สึกสยองตั้งแต่ทางเดินเข้า
5. อย่างที่บอกเค้าค่อนข้างเคร่งครัดกะเวลาขนาดผู้เขียนเข้าช้าไปแค่ 10 นาทีหนังก็ได้ฉายไปประมาณนึงแล้วเลยไม่ได้รู้เลยว่าก่อนฉายหนังเค้ามีอะไรมั่ง ผิดกะไทยที่บังคับคนดูให้ต้องดูโฆษณาในโรงฯ ซะเกือบครึ่งชั่วโมง(แต่ปัจจุบันเนื่องจากโดนกระแสคัดค้านจากคนดูเยอะขึ้น เลยปรับปรุงเหลือแค่ประมาณ 15 นาที)
6. จากที่เคยคิดว่าริ่มเก่ง หูเริ่มกระดิกภาษาอังกฤษ คิดในใจว่าน่าจะฟังทัน เอาเข้าจริงไปไม่เป็น ดูหนังภาษาอังกฤษ ซับฯ ญี่ปุ่น(เงิบ-) นี่ถ้าไม่เคยดูมาก่อนคงเอ๋อหนักกว่านี้(ที่จริงตั้งใจจะดูหนังที่เป็นเสียงญี่ปุ่น ซับฯ อังกฤษนะ คราวหน้าต้องดูให้ได้)
7. ที่นั่งในโรงฯ เป็นแค่แบบนั่งดูหนังจริงๆ ไม่จำเป็นต้องมี Honeymoon Seat, Emperor Seat, Platinum Seat ฯลฯ แบบไทยให้ยุ่งยากที่ก็ไม่รู้ว่าจะเข้าไปดูหนัง หรือเข้าไปนอน เอ๊ะ! หรือว่าเค้าเข้าไปนอนดูหนังกัน
8. ค่อนข้างชอบมากกะมารยาทการดูหนังของคนญี่ปุ่น คือหนังจบเค้าจะไม่ลุกกันพรึ่บพรับ(มีบ้างที่ลุกออกไป คาดว่าน่าจะมีธุระปะปัง) แต่จะรอดูจนจบ end credit เพื่อเป็นการให้เกียรติคนทำหนัง ผิดกะของไทยที่พอคาดว่าหนังน่าจะจบปุ๊บ ลุกกันจนคนที่ต้องการดื่มด่ำไปกะหนังต้องเสียฟีล ประมาณว่ากูลุกก่อน กูฉลาดเพราะหนังจบแล้วส่วนคนที่ยังนั่งอยู่
9. ไปดูตู้ขายตั๋วมา(แต่ยังไม่มีโอกาสได้ใช้เพราะเค้าปิดก่อน) มีแต่ภาษาญี่ปุ่นไม่มีรูปภาพประกอบด้วย แล้วงี้เค้าจะเลือกดูหนังถูกมั้ยอ่ะ ? ยังไงคราวหน้าต้องไปลองให้ได้ ให้มันรู้กันไป
พอนึกออกแค่นี้ล่ะที่ไปเจอมา แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นไม่อาจสรุปในภาพรวมได้นะเพราะผู้เขียนมีโอกาสได้ดูแค่โรงฯ เดียวรอบเดียว อันนี้เป็นแค่ความเห็นส่วนตัวต่อโรงภาพยนตร์ของญี่ปุ่นเฉยๆ ครับผม