{ดู{หนัง} วิธ มายเซลฟ์} X-Men: Days of Future Past | พิธีกรรมรวมพลัง Mutant เนื่องในวาระแห่งการ "แก้กรรม"

ด้วยความที่ไม่ได้เขียนบทความยาวๆ มานานพอสมควร.. เลยอยากจะขออนุญาต ชาวพันทิพ ให้ผมได้เคาะสนิมกันสักหน่อย ด้วยรีวิวจากหนังที่หลายๆคนคงจะไปดูกันมาแล้ว เท่



หลังดูหนังเรื่องนี้จบปุ๊บ ก็เกิดนิมิตรคิดถึงนิยามบางอย่าง ด้วยคำหนึ่งคำที่ มันอาจจะดูสั้น และบอกอะไรได้ไม่มาก (หากมองว่ามันจะทำให้เราเข้าใจหนังได้ทะลุปรุโปร่ง) แต่มันก็ชัดเจนมากพอจะครอบคลุมหนังทั้งเรื่องเอาไว้กับ คำๆนี้ได้ นั่นคือ “แก้กรรม”

ความจริงมันก็น่าสงสัยมาตั้งแต่ ประกาศว่า ภาคต่อของ “X-Men: First Class” จะมีพลอตที่ว่าด้วยเรื่อง การย้อนเวลาหาอดีต โดยอ้างอิงจากคอมมิคในชุดที่มีเส้นเรื่องชื่อ “Days of Future Past”.. แม้จะยอมรับได้ตรงๆว่าส่วนตัวก็ไม่ใช่แฟนคอมมิคอะไรเสียด้วย (อันนี้นับรวมทั้งจักรวาลของ Marvel โดยไม่แบ่งพรรคแบ่งพวก ก๊กนั้นเหล่านี้เลย) แต่พอไปอ่านเรื่องที่(น่าจะ)เกิด ก็มีทั้งอารมณ์ตื่นเต้น สนใจ กับชักหวั่นว่ามันจะกลับไปสู่ภาวะจะสิ้นใจอีกหรือไม่?
เพราะกับ ตระกูล X-Men นี้ ยอมรับว่ายังเข็ดจากความบ้องตื้นของ “The Last Stand”..และรู้สึกหมดหวังกับการเห็นหนังของคาแรกเตอร์มาเดี่ยว ที่แยกแบบเอกเทศ อย่าง “The Wolverine” ทั้งสองครั้งสองครา จะเป็นภาคปฐม หรือขอแค่รีบูท ก็ไม่รอดทั้งคู่

แต่เพียงเพราะว่า “แมธธิว วอห์น” ได้ทิ้งความหลังที่น่าจดจำใน First Class เอาไว้ดีมากๆ จึงทำให้เรากลับมากล้าคาดหวังกับหนังชุดนี้อีกครั้ง โดยที่ก็มีขอให้รู้สึกว่า เอาวะ!! ถ้าจะไม่รอด ก็ขอแค่หนังมันยังดูเอาสนุก แบบหนังซัมเมอร์พิมพ์นิยมอีกเรื่องหนึ่งได้เป็นพอ

แต่ด้วยเหตุว่า นี่คือ ความพยายามท้าทายทฤษฎีใหม่ๆ ของหนังในตระกูลนี้ ที่คือการหยิบจับสิ่งที่เป็นรากเหง้า Original มาชนกันกับ จุดเริ่มต้นของจักรวาล Mutant ทั้งมวล.. มันจึงเป็นการยั่วเย้าให้เรายังมีหวังลึกๆ คือ ถ้าคนทำมันไม่แน่จริง มันคงไม่มีความจำเป็นต้องเกิดเหตุแน่แท้
ถ้างานนี้ ไม่ได้มาเพื่อจะ แก้กรรม ก็คงเป็นการก่อ กรรม(เวร)อันใหม่ ขึ้นมาแทนที่สินะ

แต่แล้ว มันก็ได้พบว่า.. Days of Future Past นี่คือ วาระแห่งการแก้กรรม โดยไม่หวังพึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ คุณไสย หรือว่าอะไรที่มันลี้ลับ สัมผัสไม่ได้ แต่ใช้สิ่งที่มีอยู่จริงในจักรวาล Mutant มาจัดการก่อให้เกิดเป็นพิธีกรรมในครั้งนี้

สิ่งที่ทำให้การแก้กรรม ในครั้งนี้ มันน่าเชื่อถือที่สุด ล้วนเกี่ยวข้องกับการเขียนบท ซึ่งมีทุกสิ่งรองรับเอาไว้ ทั้งทางทฤษฎีและทางปฏิบัติ.. แม้จะดูเข้าข่าย เว่อร์เกินจริง ในโลกมนุษย์ที่เราอาศัยอยู่ แต่พอมองว่าหากบนโลกนี้มี Mutant อยู่ด้วย นี่ก็คือความเป็นไปได้ที่เราจะเจอ และบทก็ยังฉลาดมากพอ จะไม่ดึงสายตาเราเองไปให้มองเห็นจุดโหว่ ที่ชวนให้จับผิด ทั้งที่หนังซึ่งดูจะทำตัว จับฉ่าย แบบนี้ มีโอกาสอยู่สูงมาก จะเกิดความโหว่ ที่ทันตาเห็น

แล้วหนังก็ยังวางตัวเองอยู่บนพื้นฐานความเป็นจริงที่ ตั้งใจจะซีเรียส ..แม้จะมีช่วงให้เราได้หัวเราะ หรือยิ้มๆ โผล่มาเป็นระยะๆ  แต่สุดท้ายหนังก็ คงระดับความตึงเครียด ได้อย่างน่าจับจด คือ ไม่ถึงกับเส้นเลือดจะปูดแตกตายให้ได้ แต่เราก็ยังมีลูกกังวลแซมออกมาขณะกำลังนึกคิดไปตามสิ่งที่หนังบอกเรา
อาจจะไม่ต้องใช้ความพยายามสูง ในการคิดตามหนัง เพราะหนังก็ไม่ได้วางเหตุให้เล่าเรื่องที่ซับซ้อนอะไรมาก (คือ ถึงนาทีนี้ ก็ยังคงไม่มีหนังซูเปอร์ฮีโร่ เรื่องไหน ที่จะมีโครงสร้างใหญ่โต และเล่าเหตุอย่างอหังการแบบ “The Dark Knight” ได้ทำเอาไว้) แต่พอคิดอย่างลึก ลองแล่นไปตามความคิดของตัวละคร ก็กลายเป็น เราจะไปมีความกดดันกับ สิ่งที่คนเหล่านั้นทำ มันจะออกผลลัพธ์มาในรูปแบบไหน? มันคือเรื่องดี หรือคือเรื่องเลว!!?

ด้วยความที่หนังวาง Pattern ของตัวละครกลุ่ม X-Men ทั้งรุ่น Original และ รุ่น First Class เอาไว้อย่างดี มันทำให้หนังแทบไม่มีจังหวะจะเสียเวลาตอกย้ำ ปมเด่น ปมด้อยของแต่ละตัวละคร ด้วยการเล่าผ่านการออกเสียง.. แต่เราเห็นมันได้จากการกระทำของบุคคลเหล่านั้น ที่ทำให้เราต้องย้อนนึกไปถึงวันวานของเขาเหล่านี้ สิ่งนี้เขาทำได้ สิ่งนี้คือความอันตรายของคนๆนี้ ภาพที่ว่าคุ้นเคยมันช่วยสมองรีรัน Memory ให้เราโดยอัตโนมัติ

[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

ขณะเดียวกัน กลุ่มรุ่น Original ก็อาจจะลางเลือนกับบทบาทที่ตัวเองเคยทำไว้มานานพอสมควร (คนเล่นก็คงต้องทำการบ้าน เคาะสนิมกันพอตัว ส่วนคนดูก็ต้องมานั่งนึกว่า เอ๊! เราเคยเจอกันหรือไม่ เจอครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่) แต่การต่อติดก็ยังง่าย เพราะเหมือนพวกเขาจำขึ้นใจแล้ว ว่าพวกเขาเป็นใคร และควรจะแสดงในทิศทางไหน เราจึงใช้เวลา Connect กับพวกเขาได้รวดเร็ว

นอกจากจะเป็นการ Reunion ของแก็งค์รุ่นบุกเบิกเอาให้หายคิดถึง และยังได้เห็นความเข้มข้นจากบทบาทของยุค First Class.. Days of Future Past มันก็คือการกลับมา แก้กรรม ให้กับหนังในตระกูล X-Men/ผู้กำกับ/คนเขียนบท หนำซ้ำยังช่วย ‘สืบชะตา’ ชีวิตของ X-Men นี้ยังมีลมหายใจในโลกของภาพยนตร์ได้อีกยืนยาว (จน Fox คงมั่นใจว่า แฟรนไชส์นี้ ได้อยู่กับพวกเขาไปอีกนานแน่ๆ Marvel ฝั่ง Disney คงไม่ได้เอื้อมเอากลับมาในเวลาอันใกล้)



แก้กรรม (1).. ให้กับ สิ่งที่เคยเกิดขึ้น และเป็นไปในหนังชุด X-Men โดยเฉพาะกับภาค 3 The Last Stand และหนังแยกของ Wolverine ที่ทั้งเป็นความน่าผิดหวังของแฟนๆ และยังเป็นความอดสูของค่ายหนัง ที่หนังตัวเองดันแป้ก! จนส่งผลต่อเครดิต X-Men มีรวน ไปกันหมด (และทำให้การมารวมพลังของ “The Avengers” กลายเป็นสิ่งที่ชอบธรรม เพราะมันมาเพื่อทำให้หนังรวมซูเปอร์ฮีโร่หลากพันธุ์ กลายเป็นเรื่องราวที่โคตรมันส์ได้อีกครั้ง)

จากที่ ภาค 3 ฆ่าตัวละครนี่นั่น ถมความสามารถคนนั้นคนนี้ จนพลังความเป็นหนังซูเปอร์ฮีโร่รวมพลังในช่วงท้ายหายกันไปหมด.. และพอแยกเป็นเรื่องของ วูล์ฟเวอรีน ก็กลายเป็นเรื่องเล่าขนาดยาวที่น่าเบื่อ เพราะเรื่องราวโดยส่วนตัวของพี่แก ก็ไม่ได้ดูเข้มข้นอะไรมาก นอกจากออกมาทำภารกิจเสริมเพื่อตัวเองก็เท่านั้น

ภาคนี้ มันคือ การลบล้างความผิดที่เคยก่อมาทั้งหมด และสถาปนาเรื่องราวใหม่ๆ ใส่ลงไปในจักรวาลของ X-Men ที่ทำให้เราต้องกลับมามองหนังชุดนี้ ในมุมใหม่ๆได้อีกครั้ง และทำให้เราต้องกลั้นใจรอเซอร์ไพรส์ใหม่ๆ ที่จะมีตามมาอีกของหนังเรื่องหน้า ได้รู้สึกกลับมาสนุกคิดกับหนังเรื่องนี้กันอีกครั้งหนึ่ง
นี่จึงเป็นพิธีกรรมที่ช่วย สืบชะตา ไปด้วย ไม่ว่าคนร่วมในพิธีจะรู้ตัวหรือไม่รู้ก็ตามทีเถอะ

**รบกวน อ่านต่อคอมเมนท์ข้างล่างครับ..อาจจะยาวนิดนึง** หลิ่วตา
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่