[๒๖๙]
อินทรียปโรปริยัตตญาณของพระตถาคตเป็นไฉน ฯ
ในอินทรียปโรปริยัตตญาณนี้
พระตถาคตย่อมทรงเห็นสัตว์ทั้งหลาย
ผู้มีกิเลสธุลีน้อยในปัญญาจักษุ
มีกิเลสธุลีมากในปัญญาจักษุ
มีอินทรีย์แก่กล้า
มีอินทรีย์อ่อน
มีอาการดี
มีอาการชั่ว
พึงให้รู้แจ้งได้โดยง่าย
พึงให้รู้แจ้งได้โดยยาก
บางพวกมีปกติเห็นปรโลกและโทษโดยความเป็นภัย
บางพวกมิได้เห็นปรโลกและโทษโดยความเป็นภัย ฯ
[๒๗๐]
คำว่า มีกิเลสธุลีน้อยในปัญญาจักษุ มีกิเลสธุลีมากในปัญญาจักษุ
ความว่า บุคคลผู้มีศรัทธา เป็นคนมีกิเลสธุลีน้อยในปัญญาจักษุ
บุคคลผู้ไม่มีศรัทธา เป็นคนมีกิเลสธุลีมากในปัญญาจักษุ
บุคคลผู้ปรารภความเพียร เป็นคนมีกิเลสธุลีน้อยในปัญญาจักษุ
บุคคลผู้เกียจคร้าน เป็นคนมีกิเลสธุลีมากในปัญญาจักษุ
บุคคลผู้มีสติตั้งมั่น เป็นคนมีกิเลสธลีน้อยในปัญญาจักษุ
บุคคลผู้มีสติหลงลืม เป็นคนมีกิเลสธุลีมากในปัญญาจักษุ
บุคคลผู้มีจิตตั้งมั่น เป็นคนมีกิเลสธุลีน้อยในปัญญาจักษุ
บุคคลผู้มีจิตไม่ตั้งมั่น เป็นคนมีกิเลสธุลีมากในปัญญาจักษุ
บุคคลผู้มีปัญญา เป็นคนมีกิเลสธุลีน้อยในปัญญาจักษุ
บุคคลผู้มีปัญญาทราม เป็นคนมีกิเลสธุลีมากในปัญญาจักษุ ฯ
[๒๗๑]
คำว่า มีอินทรีย์แก่กล้า มีอินทรีย์อ่อน
ความว่า บุคคลผู้มีศรัทธา...เป็นคนมีอินทรีย์แก่กล้า
บุคคลผู้ไม่มีศรัทธา...เป็นคนมีอินทรีย์อ่อน ...
บุคคลผู้มีปัญญา...เป็นคนมีอินทรีย์แก่กล้า
บุคคลผู้มีปัญญาทราม...เป็นคนมีอินทรีย์อ่อน ฯ
[๒๗๒]
คำว่า มีอาการดี มีอาการชั่ว
ความว่า บุคคลผู้มีศรัทธาเป็นคนมีอาการดี
บุคคลผู้ไม่มีศรัทธา เป็นคนมีอาการชั่ว ...
บุคคลผู้มีปัญญา เป็นคนมีอาการดี
บุคคลผู้มีปัญญาทราม เป็นคนมีอาการชั่ว ฯ
[๒๗๓]
คำว่า พึงให้รู้แจ้งได้โดยง่าย พึงให้รู้แจ้งได้โดยยาก
ความว่า บุคคลผู้มีศรัทธา เป็นคนพึงให้รู้แจ้งได้โดยง่าย
บุคคลผู้ไม่มีศรัทธา เป็นคนพึงให้รู้แจ้งได้โดยยาก
บุคคลผู้มีปัญญา เป็นคนพึงให้รู้แจ้งได้โดยง่าย
บุคคลผู้มีปัญญาทราม เป็นคนพึงให้รู้แจ้งได้โดยยาก ฯ
[๒๗๔]
คำว่า
บางพวกมีปกติเห็นปรโลกและโทษโดยความเป็นภัย บางพวกมิได้เห็นปรโลกและโทษโดยความเป็นภัย
ความว่า บุคคลผู้มีศรัทธาเป็นคนมีปกติเห็นปรโลกและโทษโดยความเป็นภัย
บุคคลผู้ไม่มีศรัทธา เป็นคนมิได้เห็นปรโลกและโทษโดยความเป็นภัย
บุคคลผู้มีปัญญา เป็นคนมีปกติเห็นปรโลกและโทษโดยความเป็นภัย
บุคคลผู้มีปัญญาทราม เป็นคนมิได้เห็นปรโลกและโทษโดยความเป็นภัย ฯ
[๒๗๕] ชื่อว่าโลก คือ ขันธโลก ธาตุโลก อายตนโลก
โลกคือภพวิบัติ โลก คือ สมภพวิบัติ โลกคือภพสมบัติ โลกคือสมภพสมบัติ
โลก ๑ คือสัตว์ทั้งปวงดำรงอยู่ได้เพราะอาหาร
โลก ๒ คือ นามและรูป
โลก ๓ คือเวทนา ๓
โลก ๔ คืออาหาร ๔
โลก ๕ คือ อุปาทานขันธ์ ๕
โลก ๖ คือ อายตนะภายใน ๖
โลก ๗ คือ ภูมิเป็นที่ตั้งวิญญาณ ๗
โลก ๘ คือ โลกธรรม ๘
โลก ๙ คือ ภพเป็นที่อาศัยอยู่ของสัตว์ ๙
โลก ๑๐ คือ อายตนะ ๑๐
โลก ๑๒ คือ อายตนะ ๑๒
โลก ๑๘ คือ ธาตุ ๑๘ ฯ
[๒๗๖] ชื่อว่าโทษ คือ กิเลสทั้งปวง ทุจริตทั้งปวง อภิสังขารทั้งปวง กรรมอันเป็นเหตุให้สัตว์ไปสู่ภพทั้งปวง เป็นโทษ
ความสำคัญในโลกนี้และโทษนี้ว่าเป็นภัยอันแรงกล้า ปรากฏแล้วด้วยประการดังนี้ เหมือนความสำคัญในศัตรูผู้เงื้อดาบเข้ามาจะฆ่าฉะนั้น
พระตถาคตย่อมทรงรู้ ทรงเห็น ทรงทราบชัด ทรงแทงตลอดซึ่งอินทรีย์ ๕ ประการนี้ ด้วยอาการ ๕๐ นี้
นี้เป็นอินทรียปโรปริยัตตญาณของพระตถาคต ฯ
---------------------------
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๓๑ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๒๓ ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค
เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๓๑ บรรทัดที่ ๓๐๓๕ - ๓๐๗๘. หน้าที่ ๑๒๔ - ๑๒๖.
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v.php?B=31&A=3035&Z=3078&pagebreak=0
ศึกษาอรรถกถานี้ ได้ที่ :-
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=31&i=269
อินทรียปโรปริยัตตญาณของพระตถาคต
ในอินทรียปโรปริยัตตญาณนี้ พระตถาคตย่อมทรงเห็นสัตว์ทั้งหลาย
ผู้มีกิเลสธุลีน้อยในปัญญาจักษุ มีกิเลสธุลีมากในปัญญาจักษุ
มีอินทรีย์แก่กล้า มีอินทรีย์อ่อน
มีอาการดี มีอาการชั่ว
พึงให้รู้แจ้งได้โดยง่าย พึงให้รู้แจ้งได้โดยยาก
บางพวกมีปกติเห็นปรโลกและโทษโดยความเป็นภัย บางพวกมิได้เห็นปรโลกและโทษโดยความเป็นภัย ฯ
[๒๗๐] คำว่า มีกิเลสธุลีน้อยในปัญญาจักษุ มีกิเลสธุลีมากในปัญญาจักษุ
ความว่า บุคคลผู้มีศรัทธา เป็นคนมีกิเลสธุลีน้อยในปัญญาจักษุ
บุคคลผู้ไม่มีศรัทธา เป็นคนมีกิเลสธุลีมากในปัญญาจักษุ
บุคคลผู้ปรารภความเพียร เป็นคนมีกิเลสธุลีน้อยในปัญญาจักษุ
บุคคลผู้เกียจคร้าน เป็นคนมีกิเลสธุลีมากในปัญญาจักษุ
บุคคลผู้มีสติตั้งมั่น เป็นคนมีกิเลสธลีน้อยในปัญญาจักษุ
บุคคลผู้มีสติหลงลืม เป็นคนมีกิเลสธุลีมากในปัญญาจักษุ
บุคคลผู้มีจิตตั้งมั่น เป็นคนมีกิเลสธุลีน้อยในปัญญาจักษุ
บุคคลผู้มีจิตไม่ตั้งมั่น เป็นคนมีกิเลสธุลีมากในปัญญาจักษุ
บุคคลผู้มีปัญญา เป็นคนมีกิเลสธุลีน้อยในปัญญาจักษุ
บุคคลผู้มีปัญญาทราม เป็นคนมีกิเลสธุลีมากในปัญญาจักษุ ฯ
[๒๗๑] คำว่า มีอินทรีย์แก่กล้า มีอินทรีย์อ่อน
ความว่า บุคคลผู้มีศรัทธา...เป็นคนมีอินทรีย์แก่กล้า
บุคคลผู้ไม่มีศรัทธา...เป็นคนมีอินทรีย์อ่อน ...
บุคคลผู้มีปัญญา...เป็นคนมีอินทรีย์แก่กล้า
บุคคลผู้มีปัญญาทราม...เป็นคนมีอินทรีย์อ่อน ฯ
[๒๗๒] คำว่า มีอาการดี มีอาการชั่ว
ความว่า บุคคลผู้มีศรัทธาเป็นคนมีอาการดี
บุคคลผู้ไม่มีศรัทธา เป็นคนมีอาการชั่ว ...
บุคคลผู้มีปัญญา เป็นคนมีอาการดี
บุคคลผู้มีปัญญาทราม เป็นคนมีอาการชั่ว ฯ
[๒๗๓] คำว่า พึงให้รู้แจ้งได้โดยง่าย พึงให้รู้แจ้งได้โดยยาก
ความว่า บุคคลผู้มีศรัทธา เป็นคนพึงให้รู้แจ้งได้โดยง่าย
บุคคลผู้ไม่มีศรัทธา เป็นคนพึงให้รู้แจ้งได้โดยยาก
บุคคลผู้มีปัญญา เป็นคนพึงให้รู้แจ้งได้โดยง่าย
บุคคลผู้มีปัญญาทราม เป็นคนพึงให้รู้แจ้งได้โดยยาก ฯ
[๒๗๔] คำว่า
บางพวกมีปกติเห็นปรโลกและโทษโดยความเป็นภัย บางพวกมิได้เห็นปรโลกและโทษโดยความเป็นภัย
ความว่า บุคคลผู้มีศรัทธาเป็นคนมีปกติเห็นปรโลกและโทษโดยความเป็นภัย
บุคคลผู้ไม่มีศรัทธา เป็นคนมิได้เห็นปรโลกและโทษโดยความเป็นภัย
บุคคลผู้มีปัญญา เป็นคนมีปกติเห็นปรโลกและโทษโดยความเป็นภัย
บุคคลผู้มีปัญญาทราม เป็นคนมิได้เห็นปรโลกและโทษโดยความเป็นภัย ฯ
[๒๗๕] ชื่อว่าโลก คือ ขันธโลก ธาตุโลก อายตนโลก
โลกคือภพวิบัติ โลก คือ สมภพวิบัติ โลกคือภพสมบัติ โลกคือสมภพสมบัติ
โลก ๑ คือสัตว์ทั้งปวงดำรงอยู่ได้เพราะอาหาร
โลก ๒ คือ นามและรูป
โลก ๓ คือเวทนา ๓
โลก ๔ คืออาหาร ๔
โลก ๕ คือ อุปาทานขันธ์ ๕
โลก ๖ คือ อายตนะภายใน ๖
โลก ๗ คือ ภูมิเป็นที่ตั้งวิญญาณ ๗
โลก ๘ คือ โลกธรรม ๘
โลก ๙ คือ ภพเป็นที่อาศัยอยู่ของสัตว์ ๙
โลก ๑๐ คือ อายตนะ ๑๐
โลก ๑๒ คือ อายตนะ ๑๒
โลก ๑๘ คือ ธาตุ ๑๘ ฯ
[๒๗๖] ชื่อว่าโทษ คือ กิเลสทั้งปวง ทุจริตทั้งปวง อภิสังขารทั้งปวง กรรมอันเป็นเหตุให้สัตว์ไปสู่ภพทั้งปวง เป็นโทษ
ความสำคัญในโลกนี้และโทษนี้ว่าเป็นภัยอันแรงกล้า ปรากฏแล้วด้วยประการดังนี้ เหมือนความสำคัญในศัตรูผู้เงื้อดาบเข้ามาจะฆ่าฉะนั้น
พระตถาคตย่อมทรงรู้ ทรงเห็น ทรงทราบชัด ทรงแทงตลอดซึ่งอินทรีย์ ๕ ประการนี้ ด้วยอาการ ๕๐ นี้
นี้เป็นอินทรียปโรปริยัตตญาณของพระตถาคต ฯ
---------------------------
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๓๑ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๒๓ ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค
เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๓๑ บรรทัดที่ ๓๐๓๕ - ๓๐๗๘. หน้าที่ ๑๒๔ - ๑๒๖.
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v.php?B=31&A=3035&Z=3078&pagebreak=0
ศึกษาอรรถกถานี้ ได้ที่ :-
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=31&i=269