ณ หมู่บ้านในชนบทแห่งหนึ่ง มีงานประเพณีในวันขึ้นสิบห้าค่ำเดือนห้า ของทุกปี ชาวบ้านทุกคนจะรวมตัวกันช่วยกันจับปลา ปลาที่ได้ในวันนั้นทั้งหมด ชาวบ้านจะออกเสียงกันว่ายกให้คนที่ช่วยเหลือชาวบ้านทั้งหลายมาเป็นอย่างดีตลอดทั้งปี ปีนี้ก็เช่นเดียวกันเมื่อชาวบ้านช่วยกันจับปลาได้ก็เอามาใส่เข่งรวมกันเพื่อออกเสียงเหมือนเคย แต่ปีนี้ ตานา ซึ่งมีชาวบ้านบางส่วนเสนอชื่อ แต่ไม่เคยได้รับการออกเสียงให้ชนะเลย ได้คบคิดกับพระลูกวัดประจำหมู่บ้าน ขึ้นไปนั่งทับเข่งปลาเอาไว้ แล้วตะโกนด้วยเสียงอันดังว่า “ทุกๆปี ออกเสียงทีไร ยายอินก็ชนะ เอาปลาไปกินคนเดียว ปีนี้เรามาเปลี่ยนกติกากันใหม่ก่อนเถอะ” ชาวบ้านส่วนใหญ่ได้ยินก็ส่งเสียงเอะอะไม่ยินยอม บอกให้ตานาลุกออกไป ตานาก็ไม่ยอมลุกออกจากเข่งปลา เดือนร้อนพ่อเฒ่าประจำหมู่บ้านมาตัดสิน พ่อเฒ่าเดินโขยกเขยกขึ้นเวที ครุ่นคิดสักครู่ พ่อเฒ่าก็บอกด้วยเสียงอันสั่นเครือว่า “ยายอินได้ปลาไปกินติดต่อกันหลายปีแล้ว ปีนี้ขอตัดสิทธิ์ยายอิน “ ชาวบ้ายส่วนใหญ่โห่ร้องแสดงความไม่พอใจ จึงเยื้อยุดกันอยู่ ตาตู่ ชรบ. ประจำหมู่บ้าน กระโดดขึ้นเวที ยิงปืนขึ้นฟ้า แล้วบอกว่า “พวกท่านตกลงกันไม่ได้ซักที ขอเชิญทั้งยายอิน ตานา มาตกลงกันใต้เวที” ครั้นเมื่อลงมาใต้เวที ตาตู่ก็จับทั้งยายอิน ตานามัดไว้ใต้เวที แล้วขึ้นเวทีไปประกาศว่า “พวกท่านตกลงกันเองไม่ได้ ช้าไปปลาก็จะเน่าเสียหมด ตีกันก็จะบาดเจ็บ เอางี้ ปลาเข่งนี้ยกให้เป็นของข้าก็แล้วกัน“ พลางกวาดปืนไปยังกลุ่มชาวบ้าน แล้วถามต่อว่า “ มีใครจะคัดค้านไหม?”
เรื่องราวทั้งหมดเป็นนิทาน ที่เกิดในหมู่บ้านชนบท แห่งหนึ่งที่ห่างไกลความเจริญมากๆๆ
บทละครมักสะท้อนสังคม
นิทานมักเป็นเรื่องนิยายปะรำปะราเล่าขานต่อๆกันไป……
นิทาน ยายอิน ตานา และ ตาตู่
เรื่องราวทั้งหมดเป็นนิทาน ที่เกิดในหมู่บ้านชนบท แห่งหนึ่งที่ห่างไกลความเจริญมากๆๆ
บทละครมักสะท้อนสังคม
นิทานมักเป็นเรื่องนิยายปะรำปะราเล่าขานต่อๆกันไป……