ถ้าไม่ยอมรับความจริง ก็จะไม่รู้จักพุทธศาสนาระดับสูง

พุทธศาสนามีคำสอน ๒ ระดับ คือ ศีลธรรม กับ ปรมัตถธรรม

ศีลธรรมเป็นคำสอนระดับพื้นฐาน ที่สอนเรื่องการละชั่ว ทำดี โดยมีผลเป็นความปกติสุข เช่น ละเว้นอบายมุข มีศีล เสียสละ ให้อภัย ช่วยเหลือผู้อื่น เป็นต้น

ปรมัตถธรรม เป็นคำสอนระดับสูง ที่สอนเรื่องการดับทุกข์ในปัจจุบันของจิตใจมนุษย์ ที่เรียกว่า หลักอริยสัจ ๔

หลักอริยสัจ ๔ นี้เป็นหลักในการปฏิบัติเพื่อให้จิตใจของเราในปัจจุบันไม่มีความทุกข์ (นิพพาน) หรือให้มีน้อยที่สุด ทั้งอย่างชั่วคราวและถาวร โดยหลักการปฏิบัตินี้จะตรงกับหลักวิทยาศาสตร์ คือ มีเหตุผล พิสูจน์ได้ มีระบบ และไม่เชื่องมงาย

เหตุผล คือ การพิจารณาถึง สิ่งที่ทำ และ ผลที่เกิดขึ้นจากสิ่งที่ทำ จากความจริงที่เราทุกคนสามารถสัมผัสได้จริงในปัจจุบัน

การพิสูจน์ ก็คือ ต้องทดลองปฏิบัติด้วยตนเองจริงๆ จนพบความจริง

มีระบบ คือ มีหลักในการศึกษาที่ชัดเจน เป็นระเบียบ สามารถสรุปให้สั้นลงได้ หรือขยายให้กว้างขึ้นได้อย่างเป็นละเอียด

ไม่เชื่องมงาย ก็คือ จะไม่เชื่อหลักการหรือทฏษฎีใดๆล่วงหน้าว่าถูกต้องหรือเป็นความจริง จนกว่าจะได้พิสูจน์จนเห็นผลอย่างแน่ชัดก่อนเท่านั้น

หลักการนี้แสดงถึงว่าพุทธศาสนาระดับสูงนี้เป็นการสอนเรื่อง ความจริง โดยใช้เหตุใช้ผล

ดังนั้นผู้ที่จะศึกษาอริยสัจ ๔ ก็ต้องเปิดใจฟังเหตุผลและยอมรับความจริง ถ้าไม่ฟังเหตุผล หรือไม่ยอมบรับความจริง ก็จะศึกษาอริยสัจ ๔ ไม่รู้เรื่อง

โดยความจริงพื้นฐานที่สุดก็คือ "สรุปแล้วความทุกข์ของจิตใจเราคือปัญหาที่ใหญ่หลวงที่สุด"  ถ้าใครไม่ยอมรับความจริงข้อนี้ ก็จะศึกษาอริยสัจ ๔ ไม่รู้เรื่อง หรือไม่รู้จักพุทธศาสนาระดับสูง เพราะพระพุทธเจ้าจะสอนเฉพาะเรื่องที่เป็นประโยชน์สูงสุดสำหรับมนุษย์เท่านั้น ซึ่งเรื่องที่เป็นประโยชน์สูงสุดสำหรับมนุษย์ทุกคนก็คือ การปฏิบัติเพื่อให้จิตใจของเราไม่มีทุกข์ ส่วนเรื่องที่ไม่ใช่ประโยชน์แก่การดับทุกข์ จะไม่ทรงสอน เช่น เรื่องทำดีแล้วขึ้นสวรรค์ หรือทำอย่างไรจึงจะเกิดมาสุขสบาย เพราะนี่เป็นแค่เพียงการสอนให้ทำความดีเท่านั้น แต่ยังไม่พ้นทุกข์ ซึ่งเรื่องพวกนี้เป็นคำสอนของศาสนาพรามหณ์ที่ปลอมปนเข้ามาอยู่ในคำสอนของพุทธศาสนามาช้านานแล้วโดยชาวพุทธไม่รู้ตัว

ส่วนความจริงที่เราต้องยอมรับต่อไปก็คือ "ต้องยอมรับว่าไม่มีอะไรที่จะเกิดขึ้นมาได้เองลอยๆโดยไม่มีเหตุ (แม้เหตุเองก็ต้องเป็นผลมาจากเหตุอื่นด้วยเหมือนกัน)"

ส่วนความจริงที่เราต้องยอมรับต่อไปก็คือ "ต้องยอมรับว่า แม้จิตของเราก็ต้องมาจากเหตุ คือมีร่างกายเป็นเหตุให้เกิดการรับรู้ (วิญญาณ) และมีความจำจากสมองเป็นปัจจัย (ปัจจัย คือเหตุย่อยๆ) จึงเกิดจิตที่รู้สึกว่ามีเรานี้ขึ้นมา"

และความจริงสุดท้ายก็คือต้องยอมรับว่า "ถ้าไม่มีร่างกาย จิตก็จะไม่มี และถ้าไม่มีความทรงจำจากสมอง จิตก็จะไม่สามารถคิดอะไรได้ เหมือนจิตเด็กที่เพิ่งเกิดมาใหม่ๆที่ว่างเปล่า"

นี่คือความจริงที่เราต้องยอมรับ ถ้าใครไม่ยอมรับก็เท่ากับเป็นคนไม่ยอมรับความจริง หรือเป็นคนดื้อรั้น ไม่ฟังเหตุผล ไม่ยอมรับความจริง จะเอาแต่ความเชื่อมายึดถือเพียงอย่างเดี่ยว (เช่น เชื่อตามตำรา หรือเชื่อตามครูอาจารย์ หรือเชื่อตามสามัญสำนึกของตัวเอง เป็นต้น) เมื่อไม่ยอมรับความจริง แล้วจะพบความจริงสูงสุดเรื่องนิพพาน (ความสงบเย็นของจิตเมื่อไม่มีความทุกข์ตามหลักอริยสัจ ๔ ของพระพุทธเจ้า) ได้อย่างไร? แต่ถ้ายอมรับความจริง จึงจะมีโอกาสได้พบความจริงสูงสุดหรือนิพพานได้
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่