เอาบทความเก่าๆมาให้อ่านครับเผื่อนักลงทุนรุ่นใหม่ที่ยังไม่เคยผ่านเหตุการณ์ที่ผ่านมา
.................................................................................................................
http://www.stock2morrow.com/showthread.php?t=11174
หุ้นไทย....ในเคส ยุบสภา ปฏิวัติ หรือเกิดความวุ่นวาย !!
ย้อนรอยการชุมนุมกับตลาดหุ้น "ยุบสภา"
ฉุดหุ้นแรงกว่ารัฐประหาร
อภิญญา มั่นช้อย
ต้องยอมรับตลาดหุ้นกับการเมืองมีความสัมพันธ์กันทั้งในแง่ของข่าวในเชิงบวกและเชิงลบ สะท้อนได้จากในช่วงที่ผ่านมา ดัชนีหุ้นไทยจะมีความอ่อนไหวกับสถานการณ์การเมืองมาตลอด แต่ขณะเดียวกัน หากมองย้อนกลับไปในช่วง 3 ทศวรรษที่ผ่านมา จะพบว่าเหตุการณ์ทางการเมืองในแต่ละครั้ง ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว ตรงกันข้ามเศรษฐกิจยังสามารถขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง จากการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชน รวมทั้งการส่งออกที่ขยายตัวได้อย่างดี
ทั้งนี้ ฝ่ายวิเคราะห์ บล.ฟินันเซียไซรัส เปิดเผยว่า โดยในช่วง 35 ปีที่ผ่านมา นับตั้งแต่ก่อตั้งตลาดหลักทรัพย์ ได้ผ่านเหตุการณ์ รัฐประหาร 5 ครั้ง ยุบสภาอีก 7 ครั้ง แต่อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจหรือจีดีพี ก็ยังเติบโตอย่างต่อเนื่อง สะดุดเพียง 2 ครั้ง คือ ในปี 2540 ที่เกิดวิกฤติต้มยำกุ้ง และปี 2550-2551 ในวิกฤติซับไพร์มและเลแมนบราเดอร์ส ซึ่งล้วนเป็นปัจจัยทางเศรษฐกิจ
ชื่อ: S2M-240.gif
ครั้ง: 1376
ขนาด: 22.3 กิโลไบต์
สำหรับดัชนีตลาดหุ้น ในช่วงที่การเมืองรุนแรงที่สุด คือ ช่วงพฤษภาทมิฬระหว่าง 17-19 พ.ค. 2535 ดัชนีตลาดหุ้นในช่วง 1 เดือนก่อนหน้านั้นปรับลง 19% แต่ทันทีที่เหตุการณ์สงบลง ดัชนีปรับขึ้น 13% ในช่วง 1 เดือนหลังจากนั้น
ขณะที่เหตุการณ์ รัฐประหาร รัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เมื่อวันที่ 19 ก.ย. 2549 ดัชนีปรับลงมากสุดเพียง 3% เพียง 1 สัปดาห์เศษหลังการรัฐประหาร แต่หลังจากนั้น ปรับขึ้นอย่างต่อเนื่อง 3 เดือน แต่ก่อนหน้าการรัฐประหาร ซึ่งมีความวุ่นวายและข่าวคราวอย่างมากในตลาด ตลาดหุ้นซึ่งลง 10% อยู่ประมาณ 4 เดือน
อย่างไรก็ตาม หลังจากการรัฐประหารกลุ่มเสื้อแดงมีการนัดชุมนุมทั้งใหญ่และย่อยหลายครั้ง โดยในปี 2552 มีการชุมนุมครั้งใหญ่ไม่ต่ำกว่า 5 ครั้ง แต่หลังจากการชุมนุมในแต่ละครั้ง รวมทั้งเหตุการณ์ในเดือน เม.ย. ดัชนีแทบจะปรับขึ้นในทันที พร้อมด้วยนักลงทุนต่างชาติที่ซื้อสุทธิถึง 3.8 หมื่นล้านบาท ในปีที่ผ่านมา
ขณะที่บทวิเคราะห์ บล.ซิกโก้ ประเมินสถานการณ์การเมืองไว้ 3 กรณี
1. ยุบสภา
2. ปฏิวัติรัฐประหาร
และ 3. เกิดความวุ่นวายเหมือนเดือน เม.ย. 2552 แต่จะลากยาวออกไปถึงการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลในปลายเดือน
โดยใน 3 กรณีนี้ จะกระทบต่อตลาดหุ้นต่างกัน
กรณีแรก คือ การยุบสภา สถิติตัวเลขที่ผ่านมา จะส่งผลต่อตลาดหุ้นมากกว่ากรณีของรัฐประหารและความไม่สงบทางการเมืองอื่นๆ จากข้อมูลในอดีตที่มีการยุบสภา 4 ครั้ง คือ ในเดือน เม.ย. 2531 พ.ค. 2538 ก.ย. 2539 และ ก.พ. 2549 ปรากฏว่าหลังการยุบสภา 1 เดือน 3 เดือน และ 6 เดือน ดัชนีจะปรับตัวลง -3.9% -8.8% และ -9.3% ตามลำดับ
ขณะที่กรณีที่ 2 คือ การปฏิวัติรัฐประหาร ซึ่งเกิดขึ้น 4 ครั้งเหมือนกัน การตอบสนองของดัชนีหลังจากนั้น คือ 1-3-6 เดือนต่อมา จะปรับตัวลงประมาณ -1.5% -1.8% และ -5.3%
ส่วนในกรณีที่ 3 เกิดความวุ่นวาย ปรากฏว่าหลังจากนั้น 1-3-6 เดือน ดัชนีปรับตัวขึ้น โดยวิกฤติการเมืองในประเทศไทยทั้งหมด 14 ครั้ง เฉลี่ยแล้วจะส่งผลต่อดัชนี ในช่วง 1-3-6 เดือนต่อมา คือ -0.8% +2% และ -1.1% ซึ่งถือว่าน้อยมาก
หุ้นไทย....ในเคส ยุบสภา ปฏิวัติ หรือเกิดความวุ่นวาย !!
.................................................................................................................
http://www.stock2morrow.com/showthread.php?t=11174
หุ้นไทย....ในเคส ยุบสภา ปฏิวัติ หรือเกิดความวุ่นวาย !!
ย้อนรอยการชุมนุมกับตลาดหุ้น "ยุบสภา"
ฉุดหุ้นแรงกว่ารัฐประหาร
อภิญญา มั่นช้อย
ต้องยอมรับตลาดหุ้นกับการเมืองมีความสัมพันธ์กันทั้งในแง่ของข่าวในเชิงบวกและเชิงลบ สะท้อนได้จากในช่วงที่ผ่านมา ดัชนีหุ้นไทยจะมีความอ่อนไหวกับสถานการณ์การเมืองมาตลอด แต่ขณะเดียวกัน หากมองย้อนกลับไปในช่วง 3 ทศวรรษที่ผ่านมา จะพบว่าเหตุการณ์ทางการเมืองในแต่ละครั้ง ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว ตรงกันข้ามเศรษฐกิจยังสามารถขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง จากการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชน รวมทั้งการส่งออกที่ขยายตัวได้อย่างดี
ทั้งนี้ ฝ่ายวิเคราะห์ บล.ฟินันเซียไซรัส เปิดเผยว่า โดยในช่วง 35 ปีที่ผ่านมา นับตั้งแต่ก่อตั้งตลาดหลักทรัพย์ ได้ผ่านเหตุการณ์ รัฐประหาร 5 ครั้ง ยุบสภาอีก 7 ครั้ง แต่อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจหรือจีดีพี ก็ยังเติบโตอย่างต่อเนื่อง สะดุดเพียง 2 ครั้ง คือ ในปี 2540 ที่เกิดวิกฤติต้มยำกุ้ง และปี 2550-2551 ในวิกฤติซับไพร์มและเลแมนบราเดอร์ส ซึ่งล้วนเป็นปัจจัยทางเศรษฐกิจ
ชื่อ: S2M-240.gif
ครั้ง: 1376
ขนาด: 22.3 กิโลไบต์
สำหรับดัชนีตลาดหุ้น ในช่วงที่การเมืองรุนแรงที่สุด คือ ช่วงพฤษภาทมิฬระหว่าง 17-19 พ.ค. 2535 ดัชนีตลาดหุ้นในช่วง 1 เดือนก่อนหน้านั้นปรับลง 19% แต่ทันทีที่เหตุการณ์สงบลง ดัชนีปรับขึ้น 13% ในช่วง 1 เดือนหลังจากนั้น
ขณะที่เหตุการณ์ รัฐประหาร รัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เมื่อวันที่ 19 ก.ย. 2549 ดัชนีปรับลงมากสุดเพียง 3% เพียง 1 สัปดาห์เศษหลังการรัฐประหาร แต่หลังจากนั้น ปรับขึ้นอย่างต่อเนื่อง 3 เดือน แต่ก่อนหน้าการรัฐประหาร ซึ่งมีความวุ่นวายและข่าวคราวอย่างมากในตลาด ตลาดหุ้นซึ่งลง 10% อยู่ประมาณ 4 เดือน
อย่างไรก็ตาม หลังจากการรัฐประหารกลุ่มเสื้อแดงมีการนัดชุมนุมทั้งใหญ่และย่อยหลายครั้ง โดยในปี 2552 มีการชุมนุมครั้งใหญ่ไม่ต่ำกว่า 5 ครั้ง แต่หลังจากการชุมนุมในแต่ละครั้ง รวมทั้งเหตุการณ์ในเดือน เม.ย. ดัชนีแทบจะปรับขึ้นในทันที พร้อมด้วยนักลงทุนต่างชาติที่ซื้อสุทธิถึง 3.8 หมื่นล้านบาท ในปีที่ผ่านมา
ขณะที่บทวิเคราะห์ บล.ซิกโก้ ประเมินสถานการณ์การเมืองไว้ 3 กรณี
1. ยุบสภา
2. ปฏิวัติรัฐประหาร
และ 3. เกิดความวุ่นวายเหมือนเดือน เม.ย. 2552 แต่จะลากยาวออกไปถึงการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลในปลายเดือน
โดยใน 3 กรณีนี้ จะกระทบต่อตลาดหุ้นต่างกัน
กรณีแรก คือ การยุบสภา สถิติตัวเลขที่ผ่านมา จะส่งผลต่อตลาดหุ้นมากกว่ากรณีของรัฐประหารและความไม่สงบทางการเมืองอื่นๆ จากข้อมูลในอดีตที่มีการยุบสภา 4 ครั้ง คือ ในเดือน เม.ย. 2531 พ.ค. 2538 ก.ย. 2539 และ ก.พ. 2549 ปรากฏว่าหลังการยุบสภา 1 เดือน 3 เดือน และ 6 เดือน ดัชนีจะปรับตัวลง -3.9% -8.8% และ -9.3% ตามลำดับ
ขณะที่กรณีที่ 2 คือ การปฏิวัติรัฐประหาร ซึ่งเกิดขึ้น 4 ครั้งเหมือนกัน การตอบสนองของดัชนีหลังจากนั้น คือ 1-3-6 เดือนต่อมา จะปรับตัวลงประมาณ -1.5% -1.8% และ -5.3%
ส่วนในกรณีที่ 3 เกิดความวุ่นวาย ปรากฏว่าหลังจากนั้น 1-3-6 เดือน ดัชนีปรับตัวขึ้น โดยวิกฤติการเมืองในประเทศไทยทั้งหมด 14 ครั้ง เฉลี่ยแล้วจะส่งผลต่อดัชนี ในช่วง 1-3-6 เดือนต่อมา คือ -0.8% +2% และ -1.1% ซึ่งถือว่าน้อยมาก