ใช้ปืนอัดลมดักยิงนกพิราบโดยแอบหลังพระประธานในโบสถ์ : วีรกรรมตอนวัยรุ่นที่ไม่เคยลืมเลือน

กระทู้สนทนา
สวัสดีครับ
คืออยากจะสารภาพว่าเมื่อตอนเป็นเด็กๆ ผมจะชอบยิงหนังสติ๊กมาก แล้วก็ยิ่งแม่นมากๆด้วย ผมยิงนกกระจิบได้ตัวแรกตอนอยู่ ป.1
ปกติก็หายิงนกแถวๆบ้านตลอด พอยิงได้ก็เอามาอบกินตามประสาของเด็กชนบทที่ไม่ค่อยมีอันจะกิน
พอโตมาหน่อย อายุประมาณ 15 -16 ซื้อปืนอัดลมไทยประดิษฐ์มากระบอกนึง ตอนนั้นรู้สึกว่าจะซื้อมาราคา 400 บาท(ซื้อรุ่นพี่ที่รู้จัก)
กะว่าจะเอามาใช้ล่านกแทนหนังสติ๊ก(เริ่มพัฒนา) จริงๆปืนที่ซื้อมามันก็ใช้ยิงได้ในระดับหนึ่งนะครับ แต่ไม่ค่อยดีเท่าไร คุณภาพก็ตามราคานั่นแหละ
พอมีปืนอัดลม ก็หายิงนกตามต้นไม้ใกล้ๆบ้านตามปกติ ส่วนมากจะเน้นตามต้นไม้ที่มีผลไม้เป็นหลัก เช่น ต้นมะขามเทศ ต้นไทร ฯลฯ
บางครั้งก็ไปหายิงนกกระยางตามทุ่งนาบ้าง ตอนใช้หนังสติ๊กไม่มีโอกาสเข้าใกล้มันหรอกครับ แต่ปืนอัดลมมันส่องไกลได้
มีช่วงหนึ่งเคยไปยิงนกพิราบในวัด เพราะบ้านอยู่ไม่ห่างวัด(ห่างไม่กี่ร้อยเมตร)
ขอบอกก่อนว่าวัดนี้ไม่ได้ห้ามการยิงนกพิราบนะครับ ออกแนวสนับสนุนซะอีก
เมื่อก่อนเคยได้ยินพวกผู้ใหญ่บอกว่ามันสกปรก ชอบขี้เรี่ยราดตามพื้นศาลา ทำความสะอาดยาก
บางครั้งยังให้เด็กๆปีนหลังคาเมรุไปรื้อรังนกพิราบโยนทิ้งเลยครับ ส่วนลูกนกหรือไข่ก็ให้โยนทิ้งลงมาให้หมด(ผมก็เคยเป็นฝ่ายไล่ที่เหมือนกัน)
วันนั้นไปหายิงนกพิราบในวัด กะว่าจะมาผัดกะเพรากินซะหน่อย เน้นยิงตัวที่นอนในรัง(ไม่ชอบเป้าบิน)
ซึ่งที่วัดจะมีโบสถ์หลังเก่าๆ สร้างมานานมาก ตอนนั้นมีโบสถ์หลังใหม่แล้ว แต่ก็ยังไม่ได้รื้อหลังเก่าทิ้ง
แต่ปัจจุบันรื้อไปแล้ว ตอนขุดลูกนิมิตร ผมยังไปเก็บเหรียญเก่าๆที่คนสมัยนั้นโยนไว้ในหลุมก่อนฝังลูกนิมิตรเลย แต่ตอนนี้หายไปไหนหมดก็ไม่รู้(เสียดาย)
โดยตัวโบสถ์มีลักษณะด้านข้างเปิดโล่งทั้งสี่ด้าน คล้ายๆกับศาลาพักผ่อนข้างๆทางนั่นแหละครับ ในโบสถ์ก็มีพระประธานองค์ใหญ่ๆ 1 องค์
แต่ขอบอกว่านกพิราบเป้าหมายผมมันเปรียวมาก(คำว่า เปรียว ในความหมายของผมคือ ไม่เชื่อง, มีความระมัดระวังภัย, เข้าใกล้ไม่ได้)
สรุปว่าแทบไม่ได้ยิงเลยครับ แค่ถือปืนอัดลม มันก็รู้แล้วว่าจะมายิงมัน(ก็แน่ล่ะ ใครๆก็รักชีวิตกันทั้งนั้นแหละ)
นกมันเผ่นกันหมดตั้งแต่ได้ยินเสียงผมสูบลมแล้ว(ปืนอัดลมก็ต้องสูบลม เผื่อบางท่านไม่เข้าใจ)
แต่พรานอย่างผมก็ฉลาดนะครับ เลยใช้วิธีดักซุ่มตามต้นพิกุลกับต้นหว้าใกล้ๆโบสถ์
แต่นกก็ไม่ค่อยบินกลับรัง บินวนไปมา พอเห็นผมก็บินเผ่นแนบไปอีก แถมระยะยิงหวังผลก็ยังไกลอีกตะหาก
พอดีตอนนั้นมันเริ่มเย็นแล้ว ก็คิดว่ายังไงนกพิราบก็จะบินเข้ารัง(รังมันจะอยู่ใต้รังคาในโบสถ์)
แต่มันก็ยังเปรียวอยู่ดีนั่นแหละ ผมเลยใช้วิธีขยับเข้าไปใกล้เป้าหมายอีกหน่อย โดยการไปหลบอยู่หลังพระประธาน!!!!!
ซึ่งรังนกเป้าหมาย มันจะอยู่ฝั่งด้านหน้าพระประธาน เพราะพระประธานจะอยู่ชิดกับอีกฝั่งหนึ่ง จุดด้านหลังพระประธานเลยเป็นจุดยุทธศาสตร์เลย
วิธีการก็คือจะสูบลมปืนอัดลมแล้วก็บรรจุลูกปืนให้พร้อม แล้วเอาปืนวางพาดไปที่พระประธานบริเวณช่วงเอวกับตัก ในลักษณะพร้อมยิงทันที
จะได้ไม่เก้ๆกังๆขยับไปมาให้เป้าหมายรู้ตัว(นี่มันสไน๊เปอร์ชัดๆ) แล้วผมก็ทำตัวนิ่งๆอยู่หลังพระประธานนั่นแหละ
ซึ่งนกบางตัวมันเห็นผมเพราะมันเป็นอาคารเปิดโล่งทั้ง 4 ด้าน มันก็จะไม่เข้ามาเหมือนเดิม แต่บางตัวมันก็ไม่เห็น รึไม่ก็ได้เวลากลับรังมั๊ง
ก็เลยโดนผมส่องครับ สรุปว่ายิงโดนเป้าหมายครับ(ขนกระจุย) แต่มันไม่ตาย พอโดนยิงแล้วมันก็บินหนีไป
คือต้องบอกก่อนนะครับว่านกพิราบมันจะอึด ถ้าไม่โดนหัว มันจะไม่ตายทันที ส่วนมากจะบินไปตายที่อื่น
สรุปว่า วันนั้นไม่ได้กินนกพิราบผัดกะเพรา (>_<")
พอผมอายุประมาณ 19-20 ปี (สมัยเรียนมหาลัย) ไม่คิดฆ่าสัตว์เลยแม้กระทั่งมด ส่วนยุงก็จะใช้วิธีเป่า แต่บางครั้งก็เผลอทำมันตายโดยไม่ตั้งใจก็มี
มาถึงทุกวันนี้อายุ 32 ปีแล้ว ผมยังจำภาพนั้นอยู่เลย ยังคิดเสมอว่าทำไปทำไม แต่ก็คิดเข้าข้างตัวเองว่าเราไม่ได้ล่าเป็นเกมกีฬานี่ เราล่ามากิน
แต่ก็อดคิดถึงบาปกรรมไม่ได้อยู่ดี ทุกวันนี้เวลาทำบุญก็จะนึกถึงเจ้ากรรมนายเวรพวกนั้นตลอดๆ แล้วก็จะช่วยเหลือสัตว์ทุกตัวที่มีโอกาส

อยากทราบว่าวีรกรรมของผมมันบาปมากมั๊ยครับ ที่ใช้พระประธานในโบสถ์เป็นเครื่องอำนวยความสะดวกในการฆ่าสัตว์ที่มาขออยู่ในโบสถ์
ทุกสิ่งที่เล่ามาเป็นเรื่องจริงทั้งหมด ขอบคุณครับ

ปล. ขอแท็กอาวุธยุทโธปกรณ์ด้วย เนื่องจากมีหนังสติ๊กและปืนอัดลมเข้ามาเกี่ยวข้อง
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่