รู้สึกสิ้นหวังกับอนาคตวงการ IT บ้านเราเพราะ HR ครับ

ข้อมูลเบื้องต้นครับ

จขกท. ทำงานเป็น System Engineer ระดับ Senior ดูงานระบบด้าน Network และ Server เป็นกิจกรรมหลักครับ
งานรองก็จับไวรัสบ้าง แก้ปัญหาจุกจิกบ้าง ตามแต่จะว่างหรือไม่ว่าง ด้วยความคุ้นเคยกับผู้ใช้งาน
และงานใหญ่ๆ คือดูด้านระบบความปลอดภัย เขียนนโยบายและทำ ISO ด้าน ICT Security
เขียนและวางแผนนโยบายด้าน IT และ BCP รวมไปจนถึงจัดหา Solution ใหม่ๆ เพื่อมาตอบโจทย์กับเป้าประสงค์หลัก
ตามยุทธศาสตร์ใหม่ๆ รวมถึงมีอำนาจในการตัดสินใจจัดซื้ออุปกรณ์และเครื่องมือในภาคส่วนของ IT ภายในองค์กร
เรียกง่ายๆ ได้ว่าเป็นลูกกระจ๊อกขององค์กร ระดับผู้ชำนาญการ
อีกทั้งยังเป็นที่ปรึกษาให้กับหน่วยงานและบริษัทอื่นอีก 2-3 แห่ง แบบไม่รับค่าตอบแทน
โดยประสบการณ์แล้ว จขกท.จับงานทาง IT มาจริงๆ ตั้งแต่ยังไม่จบตรี (CS) จนตอนนี้ได้คลาส Master (IT) มาถือครอง
รวมๆ ระยะเวลาของการหมกมุ่นในสายงาน IT ก็เกือบ 10 ปีได้

**************************************************************************************

ช่วงนี้ผมอยู่ในฤดูหางานใหม่ครับ ด้วยปัจจัยหลายๆ ด้าน ไม่ใช่ว่าที่ทำงานที่ทำอยู่ทุกวันนี้ไม่ดี
ทั้งเจ้านาย ทั้งเพื่อนร่วมงาน ทั้งสถานที่ และสวัสดิการต่างๆ ถือว่าดีทีเดียว แต่ตกไปเรื่องเดียวคือเงินเดือน
โดยส่วนตัวแล้วผมถือว่าเป็นคนทุ่มเทให้กับงานและรักองค์กรคนหนึ่งทีเดียว (จริงๆ นะ)
แต่ที่อยากหางานใหม่เพราะรู้สึกเบื่อหน่ายกับงานที่ทำ และสิ้นหวังกับระบบราชการไทย

เกริ่นมาเยอะขออนุญาตตัดตอนเข้าเล่าเรื่องเลยละกันครับ หลังจากที่ผมหางานมาสักพัก ไปสัมภาษณ์มาก็หลายที่
มีทั้งดี มีทั้งดราม่า แต่ก็ไม่ได้เก็บมาเป็นอารมณ์เท่าไหร่ เพราะส่วนใหญ่ผมคิดว่าเป็นประสบการณ์
แต่อาทิตย์ก่อนผมถูกบริษัทจัดหางานแห่งหนึ่งนัดไปสัมภาษณ์กับบริษัทในเครือสัญชาติญี่ปุ่น
ที่มาตั้งอยู่ในไทย และมีขนาดใหญ่พอควร

เริ่มแรกผมก็ถูกชักจูงเข้าสู่กระบวนการการตรวจสอบประวัติจากทางบริษัทจัดหางานก่อน
โดยบริษัทคงเผลอไปคุ้ยเจอประวัติผมในเว็บหางานทั่วไป ซึ่งการพูดคุยผ่านไปด้วยดีไม่มีอะไร
จนบริษัทจัดหางานได้นัดผมให้ไปสู่มิติที่ทำให้ผมรู้สึกสิ้นหวังกับการหางานด้าน IT เป็นอย่างมาก

ผมเองได้ถามบริษัทจัดหางานก่อนแล้วว่าเป็นงานลักษณะไหน มีเนื้องานยังไง บริษัทจัดหางานก็ไม่สามารถตอบผมได้
ได้แต่บอกว่าทางบริษัทในเครือสัญชาติญี่ปุ่นให้ข้อมูลมาน้อย บอกเพียงแต่เป็นหัวหน้างาน
คุมโปรเจคที่จะเกิดใหม่ มีลูกทีม และต้องอบรมก่อนไปทำงานจริงไม่ต้องห่วง
และถามผมว่าเคยคุมโปรเจคหรือจับโปรเจคด้านระบบเมล์มาไหม
ผมบอกว่าผมจับมาในส่วนของ IBM ไม่ได้จับ MS แต่ให้เรียนรู้คงไม่ใช่ปัญหา
เพราะ MS ง่ายกว่า IBM เยอะ และผมก็ตอบไปตามประสบการณ์ในการจับของจริงมา
โดยที่ผมไม่รู้เลยว่าประโยคที่ตอบไปนี้จะนำพาความรู้สึกท้อแท้มาให้กับตัวเอง
.
.
.
.
เพราะไม่ว่าจะเนื่องด้วยความกระหายค่าตอบแทนจากการค้ามนุษย์ในฐานะบริษัทจัดหางาน
หรือด้วยความที่บริษัทจัดหางานไม่เข้าใจถึงองค์ประกอบและเนื้อหาของประโยคที่ผมตอบไปหรือไม่ก็ตามแต่
จึงทำให้ผมได้มาโผล่ยังบริษัทในเครือสัญชาติญี่ปุ่นที่ว่า
แต่ก่อนหน้าที่ผมจะวาร์ปลงดัน ผมได้ทำการส่ง Resume ตัวเต็มบรรยายถึงเนื้องาน และประสบการณ์ทั้งหมด
ในชีวิตการทำงานของผมอย่างย่อ แต่ละเอียดลึกซึ้ง แม้ไม่กัดกินใจก็ตามแต่ ให้บริษัทจัดหางาน
ซึ่งใน Resume นั้นหาก HR บริษัทในเครือสัญชาติญี่ปุ่น หรือบริษัทจัดหางานอ่านสักนิดจะเข้าใจดีว่าผมถนัดด้านไหน
ทำงานอะไร และมีตำแหน่งระดับใดในตอนนี้

โดยการสัมภาษณ์ครั้งนี้ผมได้ทำการคุยโดยตรง ซึ่งน่าจะเป็นกรรมการหรือผู้อำนวยการฝ่าย คนญี่ปุ่น แบบ 1:1
แน่ละว่าผมทำการบ้านมาดี ใส่สูท แต่งตัว ซ้อมภาษาญี่ปุ่นในการทักทายมาเล็กน้อยเพื่อสร้างความประทับใจ
เพราะการสัมภาษณ์กับคนญี่ปุ่นนั้นสิ่งสำคัญมากไม่แพ้ประสบการณ์และประวัติการทำงาน คือมารยาทและภาษา
แต่กลับเป็นผมเองที่ตกใจอย่างมากเพราะคนญี่ปุ่นที่สัมภาษณ์ผมนั้นเข้าใจวัฒนธรรมไทยเป็นอย่างดี
แถมยังให้เกียรติกับผู้สัมภาษณ์หน้าตี๋ๆ อย่างผมมากๆ และภาษาอังกฤษก็สำเนียงดีมากครับ

จนมาถึงประโยคเด็ดที่ผลิกสถานะการณ์ให้ผมติดคลิเล็ก โดยทางผู้สัมภาษณ์ได้บอกผม
ว่ากำลังจะมีโปรเจคทางด้านระบบเมล์ของ MS เกิดขึ้น ให้ผมอธิบายระบบที่ว่าให้ฟังหน่อย
ผมก็ตอบไปตามตรงว่า โอ๊ะ ผมไม่ได้ผ่านงานระบบเมล์ MS มานะ จับแต่ของ IBM มา
MS เคยจับเล่นๆ และไม่เคยใช้งานจริง มาถึงจุดนี้ทางผู้สัมภาษณ์ได้เกิดอาการตะลึงพอควร
และบอกผมว่า แต่ในใบประวัติในมือเขาที่ส่งมาจากบริษัทจัดหางานผมเขียนมาแบบนั้นนะ
ผมก็ตกใจและขอดู แล้วบอกทันทีเลยว่า ไม่นะ ผมไม่ได้ผ่านงานแบบนั้นมาเลย
เพราะ Resume ในมือเขาอีกใบซึ่งเป็นของผมจริงๆ นั้น ผมไม่ได้เขียนเลยว่าได้จับ MS มา
ถึงตรงนี้ผู้สัมภาษณ์ทำหน้าเหวอทันที แล้วก้มหน้าก้มตาเครียดมากๆ พร้อมกับหลุดบ่นเป็นภาษาญี่ปุ่นออกมา
ว่าแย่แล้วแบบนี้ แย่มากๆ เลย ประมาณว่ารู้สึกผิดต่อผมมาก และขอตัวผมสักครู่ ผมก็บอกว่าไม่เป็นไรครับเชิญตามสบาย
ซึ่งนั่นเป็นการจากลาที่ผมคิดว่าคงไม่ได้เจอเขาอีกและก็เป็นตามคาดจริงๆ
.
.
.
.
ผ่านไปสัก 10 นาทีที่ยาวนานของคนคอย HR บริษัทในเครือสัญชาติญี่ปุ่น
ก็เข้ามาคุยกับผมว่าคุณสมบัติของผมนั้นไม่ตรงกับที่บริษัทต้องการ
แต่ประวัติผมน่าสนใจอย่างมาก จะส่งให้ฝ่ายงานอื่นพิจารณาและเรียกผม มาสัมภาษณ์ใหม่อีกครั้ง
และประโยคเด็ดติดคลิใหญ่ แถมสตั้นก็ถูกพ่นออกมาว่าบริษัทเรา ถ้าผู้สมัครจบวิทย์ฯคอม (CS) หรือไอที (IT) มา
เราจะให้ไปเป็นพนักงานขาย หรือไม่ก็ Helpdesk เท่านั้น ส่วนด้านวิศวกรระบบต้องให้ผู้จบจากวิศวะตรงๆ มาทำ

.... อืมมมม HR ตอบแบบนี้ทำให้รู้ว่าชีวิตผมอยู่ผิดที่ผิดทางมาตลอดเกือบ 10 ปีสินะ ที่จบ IT ออกมา
แล้วทุกวันนี้ดันแย่งงานคนที่จบทางวิศวะและมาเป็น System Engineer อีก
ผมจึงตอบไปทันทีว่างั้นผมคงไม่สมัครครับ เพราะตำแหน่งที่ผมทำอยู่ทุกวันนี้ก็น้องๆ Manager แล้ว
ซึ่ง HR ท่านนั้นคงนึกอะไรขึ้นได้ว่าอาจจะเอ่ยอะไรที่ไม่ควรออกมา และบอกผมว่าแบบผมจะพิจารณาให้มาเป็นหัวหน้าทีมแทน
แต่คงต้องลงไปช่วยงานลูกทีมด้วยตามเนื้องาน โดยผมก็บอกไม่มีปัญหาอะไร เพราะส่วนตัวผมก็ทำแบบนั้นอยู่แล้ว แถมไม่มีโอทีด้วย
และก็แน่ๆ แหล่ะ ผมรู้สึกว่าโดนสาดน้ำใส่หน้าเต็มๆ ตั้งแต่ประโยคว่าจบ IT มาจะให้ไปเป็นพนักงานขายหรือ Support
.
.
.
.
ออกตัวก่อนว่าส่วนตัวผมไม่ได้ต่อต้านการสอบ cert แม้จะรู้สึกว่าถูกหลอกหากินจากค่าเรียนค่าสอบ
เมื่อมีใครถามก็ตาม ผมมักจะสนับสนุนให้ไปสอบเอาไว้ก่อน และให้คิดเสมอว่า cert เป็นเหมือนใบขับขี่
ที่เอาไว้ใช้หากิน และรองรับว่าเราไม่ได้เป็นคนเถื่อนมาขับวินหน้าปากซอยนะ
แต่ว่าโดยความเป็นจริงในสายงาน IT ไทย ณ ตอนนี้แล้ว ตามบริบทและหน้าที่ของแต่ละคนที่เรียนและทำงานมา
ส่วนใหญ่ก็ไปตามสายที่ตัวเองถนัดและไปถูกที่ถูกทางตามทิศที่จบ ไม่ว่าจะเป็น Coding, Network, System ต่างๆ นาๆ
แต่ก็ยังมีบางส่วนจบวิศวะมาตรงๆ แถมมีใบ cert IT ตัวที่สามารถสอบได้ตั้งแต่ยังไม่ได้ทำงานหลายใบ และพอให้ทำงานจริง ทำไม่ได้
อันนี้ประสบการณ์ตรงของหลายๆ คนรอบข้าง รวมทั้งส่วนตัวผมที่สัมภาษณ์และรับเด็กๆ เข้ามาทำงาน
แต่ไม่ใช่ทั้งหมด เพราะที่เคยพบเจอมาก็มีของจริงนะครับ ลุยได้หมด และไปได้ไกลจริงๆ
ในทางกลับกันหลายคนจบด้านอื่นๆ ที่ไม่ใช่ IT มา ถึงจะเป็นส่วนน้อย แต่ก็สามารถคิดวิเคราะห์ แก้ปัญหา
และใช้เครื่องมือในสาย IT ได้คล่องอย่างไม่น่าเชื่อ แม้ไม่ได้จบตรง และไม่มีใบ cert
แต่ขอเพียงแค่โอกาสได้ทำ ซึ่งน้อยครั้งที่จะได้รับ

*ขออธิบายเพิ่มในส่วนของ cert หน่อยครับ
ทุกท่านเชื่อไหมครับว่าการสอบ cert สาย IT ตอนนี้นั้น ถ้าเป็นในส่วนของระบบทำข้อสอบออนไลน์
ตัวคำตอบนั้นมีให้ท่องก่อนสอบอยู่ทั่วไปบนอินเทอร์เน็ต ขอเน้นย้ำว่าท่องนะครับ ไม่ได้แนะแนว
ซึ่งโดยส่วนตัวผมเองพบว่าเฉลยเหล่านั้นกว่า 80% ทั้งคำถามและคำตอบเหมือนกับข้อสอบครับ
และนี่คือคำตอบ(ที่ผมตอบเอง แต่อาจไม่ถูกทั้งหมด) ว่าทำไมเด็กรุ่นใหม่ๆ ถึงได้ cert สาย IT มาครองในมือ
เพราะผมดันได้คูปองฟรีไปสอบ และถามวิธีพิชิตขจัดพาลฯ จากคนในแวดวง IT
.
.
.
.
ณ ตอนนี้แม้จะผ่านไปหลายคืน เห็นจันทราหลายครา แต่ตัวผมไม่สามารถลบความรู้สึกที่ว่า ออกไปจากหัวใจดวงน้อยนี้ได้

กลับกลายเป็นว่าอนาคตของคนที่ทำงานด้าน IT ถูก HR หรือนโยบายบริษัท ตัดสินชีวิต-อนาคต
และความสามารถจากสาขาที่จบมา หรือปริมาณใบ cert ที่ครอบครองเท่านั้นใช่ไหม

กลายเป็นว่าประสบการณ์ที่เคยสะสมมา หรือความรู้ที่เคยหยิบจับสัมผัสมาของแต่ละคน
ไม่ได้ถูกนำมาวัดและตัดสินเพื่อให้คนที่รักและอยากทำงานด้าน IT ได้ทำในสิ่งที่พวกเขาถนัดและฝันจะเป็นใช่ไหม

บริษัทหลายๆ แห่งที่ต้องการทำมาตรฐานและบังคับให้พนักงานมีใบ cert ประกอบ ผมยังพอเข้าใจ
และจากการไปสมัครงานมาหลายๆ ที่ ผมก็พยายามคิดให้ครบ 360 องศา ถึงเหตุผลและความจำเป็นต่างๆ
ของ HR แต่ล่ะองค์กรนั้นๆ ตามตรรกะที่อาจารย์หลายท่านได้สอนสั่งมาให้ใช้ชีวิตอยู่บนเหตุผลและความเข้าอกเข้าใจในผู้อื่น
แต่ผมแปลกใจอย่างมากว่าทำไม HR ของบริษัทหลายๆ แห่งไม่วิเคราะห์ แยกแยะ จับจุด
และทำตัวเสมือนดั่งเป็นเครื่องกลั่นกรองและคัดแยก โดยใช้มุมมองหรือเครื่องมืออื่นมาเสริมให้การจำแนกคนทางด้าน IT
โดยเฉพาะในด้านของเนื้องานและความสามารถ ให้เป็นระบบระเบียบอิงตามความเป็นจริงในปัจจุบัน
และเข้ากับบริบทของสังคมไทย ที่มีคนทำงานด้าน IT อยู่หลากหลายบ้างละครับ
ผมว่าการปรับกระบวนทัศน์นอกจากจะมีประโยชน์ต่อองค์กรที่ HR สังกัด เนื่องด้วยได้คนที่มีความสามารถและทำงานได้จริงๆ แล้ว
ยังเป็นประโยชน์ต่อผู้สมัครงานสายงาน IT ในฐานะพนักงานกินเงินเดือนเหมือนตำแหน่งงานอื่นด้วยนะครับ

แต่ ณ ตอนนี้ผมไม่สามารถหาคำตอบได้เลย
ส่วนตัวยอมรับว่ามองเห็นทางลูกรังผสมดินโคลนที่มีแต่หมอกปกคลุม เมื่อได้ผ่านการสัมภาษณ์งานในที่แห่งนี้
และเมื่อเอามาเล่าให้คนรอบข้างในสายงาน IT ฟัง ข้อมูลหลายๆ สิ่งที่ถูกแต่ละคนพร่ำบ่นออกมาก็สะท้อนให้เห็น
ว่าการจะฟักออกมาเป็นตัวและโบยบินอยู่บนเส้นทางการทำงานของสายงาน IT
ถ้าเกิดเจอ HR หรือบริษัท ทุกๆ ที่คิดแบบที่พูดกับผม ผมว่าไม่แปลกใจเลยที่หลายๆ คนในวงการ (โดยเฉพาะคนเก่งๆ)
จะหันหลังออกมาและก่อตั้งตัวเป็นซุ้มมือปืนรับจ้างเอง
ดีกว่าการที่จะต้องถูกดูแคล้นและตัดโอกาสโดยที่ไม่ได้เป็นแม้แต่ตัวสำรองข้างสนาม
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่