http://www.peopleunitynews.com/web02/2014/%E0%B8%82%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B8%B2%E0%B8%B0-%E0%B8%9A%E0%B8%B4%E0%B9%8A%E0%B8%81%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B8%A5-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%9B/
สำนักข่าวออนไลน์ พีเพิล ยูนิตี้ - สถานการณ์ทางการเมืองใกล้เดินทางมาถึง “ตอนจบ” เต็มที ส่วนจะจบแบบไหนระหว่างจบแบบเลือดท่วมจอ หรือจบแบบแฮปปี้เอ็นดิ้งแอบฮั้วกันหลังฉากก็ต้องดูกันต่อไป
เงื่อนไขทางการเมืองหลายอย่างที่เดินทางมาบรรจบกันในช่วงเวลานี้อย่างเหมาะเจาะย่อมไม่ใช่เรื่องบังเอิญอย่างแน่นอน หากแต่ผ่านการวางแผน และต่อรองเจรจากันมาแล้ว
ปรากฏการณ์ที่ทำให้สถานการณ์ใกล้ได้ข้อสรุปอย่างรวดเร็วไล่ตั้งแต่การที่ นายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย เอาชนะส.ว.ในสายทักษิณ เป็นว่าที่ประธานวุฒิสภา อย่างถล่มทลาย ย่อมไม่ใช่ปรากฏการณ์ที่ปกติแน่นอน โดยเฉพาะระดับคะแนนที่สามารถนำไปใช้ “ถอดถอน” บุคคลที่ ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดได้สบายๆ หรือกระทั่งนำไปสู่การโหวตเลือกนายกฯ ในสภา
ต่อจากนั้นจึงนำมาสู่การประชุมวุฒิสภานัดพิเศษ โดยเชิญทุกฝ่าย รวมทั้ง “กองทัพ” มาหาทางออกของประเทศจนได้ข้อสรุปสำคัญ 2 ประการ คือ
1.ข้อเรียกร้องให้ทุกฝ่าย โดยเฉพาะรัฐบาลพรรคเพื่อไทย และ นปช. มาร่วมพูดคุยหาทางออก ซึ่งในที่นี้ย่อมหมายถึงการบีบให้ นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล ลาออกนั่นเอง
2.การเตรียมสรรหานายกรัฐมนตรี และ ครม. ที่มีอำนาจเต็มเข้ามาแก้ปัญหาประเทศ ซึ่งในที่นี้จะรอให้รัฐบาลลาออกก่อนก็ได้ หรือถ้าเห็นว่าไม่ทันต่อสถานการณ์ก็ตั้งนายกฯได้เลย
อีกปรากฏการณ์สำคัญที่ทำให้จิ๊กซอว์ชัดขึ้น คือ แถลงการณ์ 7 ข้อของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. ที่ส่งสัญญาณไปถึงกลุ่มที่ก่อความรุนแรงต่อประชาชนผู้บริสุทธิ์
โดยเฉพาะการขีดเส้นใต้ว่า หากสถานการณ์ยังคงมีความรุนแรงต่อไป กองทัพอาจจำเป็นต้องใช้ “กำลังเต็มรูปแบบ” เข้าคลี่คลายสถานการณ์
ผนวกกับคำขู่ที่ว่า ผู้ที่กระทำความผิดอาจไม่สามารถเรียกร้องค่าเสียหายใดๆได้ ซึ่งในที่นี้ย่อมหมายถึงการประกาศใช้ “กฎอัยการศึก” เพื่อให้ทหารมีอำนาจเหนือพลเรือนนั่นเอง
กองทัพแถลงจุดยืน 7 ข้อเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม ก่อนที่วุฒิสภาจะประกาศจุดยืน 3 ข้อในวันที่ 16 พฤษภาคม โดยมีไฮไลต์อยู่ที่การเตรียมแต่งตั้ง “นายกฯคนกลาง” ขึ้นมาทำหน้าที่
เป็นสัญญาณที่เหมาะเจาะกันพอดิบพอดี เพราะการประกาศจะตั้งนายกฯคนกลาง หมายถึงการสร้างแรงกดดันไปยังรัฐบาล และ นปช. ที่ประกาศต้านนายกฯคนกลางมาตลอด
นปช.เคยประกาศว่า วันไหนที่มีนายกฯคนกลาง หรือนายกฯเถื่อนจะระดมพลออกมาต้านทันที ซึ่งต้องจับตาว่า วันที่วุฒิสภานัดสรรหานายกฯคนกลาง นปช.จะมาที่สภาหรือไม่
ถ้า นปช. เคลื่อนจากถนนอักษะ ข้ามแม่น้ำเจ้าพระยามาที่สภา ย่อมหมายถึงการเผชิญหน้ากับ กปปส. ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่เหมาะแก่การใช้ “กฎอัยการศึก” อย่างที่สุด
หรือถ้า นปช. เลี่ยงที่จะปะทะ เพื่อเล่นเกมยาวต้านนายกฯคนนอกทีหลัง ทหารก็คงเลี่ยงที่จะใช้กฎอัยการศึกได้ยากอยู่ดี เพราะ กปปส.เตรียมเผด็จศึกก่อนวันที่ 26 พฤษภาคมแล้ว
นั่นจึงนำมาสู่สัญญาณ “เจรจา” ของนายนิวัฒน์ธำรงที่ตอบรับนัดของวุฒิสภาในวันที่ 19 พฤษภาคมแล้ว ทั้งที่ก่อนหน้านี้ปฏิเสธการเจรจา และย้ำว่าจะเอาแต่การเลือกตั้งมาตลอด
การเข้ามาเจรจาด้วยของนายนิวัฒน์ธำรงแสดงให้เห็นว่ายุทธการ “ต้อนเข้ามุม” หรือกระชับพื้นที่ประสบผลแล้ว หลังจากได้บีบทางเดินและยื่นเงื่อนไข “ที่ปฏิเสธไม่ได้” ไปให้ระบอบทักษิณ
ซึ่งเงื่อนไขดังกล่าวคือ การหาช่องทางตามรัฐธรรมนูญตั้งนายกฯคนกลาง และใช้กรอบกฎหมายเพื่อควบคุมสถานการณ์ แทนการยึดอำนาจหรือใช้กำลังที่จะมีปัญหาตามมามากมาย
เป็นการบีบทางเดินให้เหลือทางเดียว ถ้าไม่เอาก็หมายถึงต้องไปเสี่ยงแพ้หมดหน้าตักเอาเอง
ซึ่ง “บิ๊กดีล” นี้เป็นทางรอดที่หยิบยื่นให้ ดีกว่าที่จะปิดทางออกทุกประตู อีกทั้งไม่ทำให้บ้านเมืองบอบช้ำมากกว่านี้
การไปสู้กับ “หมาจนตรอก” ย่อมไม่ใช่ความคิดที่ฉลาดเท่าใดนัก
โดย – เสมา พิทักษ์ราชัน
19 พฤษภาคม 2557
ข่าวเจาะ // “บิ๊กดีล” ที่ปฏิเสธไม่ได้ หลังยุทธการ “ต้อนเข้ามุม”
สำนักข่าวออนไลน์ พีเพิล ยูนิตี้ - สถานการณ์ทางการเมืองใกล้เดินทางมาถึง “ตอนจบ” เต็มที ส่วนจะจบแบบไหนระหว่างจบแบบเลือดท่วมจอ หรือจบแบบแฮปปี้เอ็นดิ้งแอบฮั้วกันหลังฉากก็ต้องดูกันต่อไป
เงื่อนไขทางการเมืองหลายอย่างที่เดินทางมาบรรจบกันในช่วงเวลานี้อย่างเหมาะเจาะย่อมไม่ใช่เรื่องบังเอิญอย่างแน่นอน หากแต่ผ่านการวางแผน และต่อรองเจรจากันมาแล้ว
ปรากฏการณ์ที่ทำให้สถานการณ์ใกล้ได้ข้อสรุปอย่างรวดเร็วไล่ตั้งแต่การที่ นายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย เอาชนะส.ว.ในสายทักษิณ เป็นว่าที่ประธานวุฒิสภา อย่างถล่มทลาย ย่อมไม่ใช่ปรากฏการณ์ที่ปกติแน่นอน โดยเฉพาะระดับคะแนนที่สามารถนำไปใช้ “ถอดถอน” บุคคลที่ ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดได้สบายๆ หรือกระทั่งนำไปสู่การโหวตเลือกนายกฯ ในสภา
ต่อจากนั้นจึงนำมาสู่การประชุมวุฒิสภานัดพิเศษ โดยเชิญทุกฝ่าย รวมทั้ง “กองทัพ” มาหาทางออกของประเทศจนได้ข้อสรุปสำคัญ 2 ประการ คือ
1.ข้อเรียกร้องให้ทุกฝ่าย โดยเฉพาะรัฐบาลพรรคเพื่อไทย และ นปช. มาร่วมพูดคุยหาทางออก ซึ่งในที่นี้ย่อมหมายถึงการบีบให้ นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล ลาออกนั่นเอง
2.การเตรียมสรรหานายกรัฐมนตรี และ ครม. ที่มีอำนาจเต็มเข้ามาแก้ปัญหาประเทศ ซึ่งในที่นี้จะรอให้รัฐบาลลาออกก่อนก็ได้ หรือถ้าเห็นว่าไม่ทันต่อสถานการณ์ก็ตั้งนายกฯได้เลย
อีกปรากฏการณ์สำคัญที่ทำให้จิ๊กซอว์ชัดขึ้น คือ แถลงการณ์ 7 ข้อของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. ที่ส่งสัญญาณไปถึงกลุ่มที่ก่อความรุนแรงต่อประชาชนผู้บริสุทธิ์
โดยเฉพาะการขีดเส้นใต้ว่า หากสถานการณ์ยังคงมีความรุนแรงต่อไป กองทัพอาจจำเป็นต้องใช้ “กำลังเต็มรูปแบบ” เข้าคลี่คลายสถานการณ์
ผนวกกับคำขู่ที่ว่า ผู้ที่กระทำความผิดอาจไม่สามารถเรียกร้องค่าเสียหายใดๆได้ ซึ่งในที่นี้ย่อมหมายถึงการประกาศใช้ “กฎอัยการศึก” เพื่อให้ทหารมีอำนาจเหนือพลเรือนนั่นเอง
กองทัพแถลงจุดยืน 7 ข้อเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม ก่อนที่วุฒิสภาจะประกาศจุดยืน 3 ข้อในวันที่ 16 พฤษภาคม โดยมีไฮไลต์อยู่ที่การเตรียมแต่งตั้ง “นายกฯคนกลาง” ขึ้นมาทำหน้าที่
เป็นสัญญาณที่เหมาะเจาะกันพอดิบพอดี เพราะการประกาศจะตั้งนายกฯคนกลาง หมายถึงการสร้างแรงกดดันไปยังรัฐบาล และ นปช. ที่ประกาศต้านนายกฯคนกลางมาตลอด
นปช.เคยประกาศว่า วันไหนที่มีนายกฯคนกลาง หรือนายกฯเถื่อนจะระดมพลออกมาต้านทันที ซึ่งต้องจับตาว่า วันที่วุฒิสภานัดสรรหานายกฯคนกลาง นปช.จะมาที่สภาหรือไม่
ถ้า นปช. เคลื่อนจากถนนอักษะ ข้ามแม่น้ำเจ้าพระยามาที่สภา ย่อมหมายถึงการเผชิญหน้ากับ กปปส. ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่เหมาะแก่การใช้ “กฎอัยการศึก” อย่างที่สุด
หรือถ้า นปช. เลี่ยงที่จะปะทะ เพื่อเล่นเกมยาวต้านนายกฯคนนอกทีหลัง ทหารก็คงเลี่ยงที่จะใช้กฎอัยการศึกได้ยากอยู่ดี เพราะ กปปส.เตรียมเผด็จศึกก่อนวันที่ 26 พฤษภาคมแล้ว
นั่นจึงนำมาสู่สัญญาณ “เจรจา” ของนายนิวัฒน์ธำรงที่ตอบรับนัดของวุฒิสภาในวันที่ 19 พฤษภาคมแล้ว ทั้งที่ก่อนหน้านี้ปฏิเสธการเจรจา และย้ำว่าจะเอาแต่การเลือกตั้งมาตลอด
การเข้ามาเจรจาด้วยของนายนิวัฒน์ธำรงแสดงให้เห็นว่ายุทธการ “ต้อนเข้ามุม” หรือกระชับพื้นที่ประสบผลแล้ว หลังจากได้บีบทางเดินและยื่นเงื่อนไข “ที่ปฏิเสธไม่ได้” ไปให้ระบอบทักษิณ
ซึ่งเงื่อนไขดังกล่าวคือ การหาช่องทางตามรัฐธรรมนูญตั้งนายกฯคนกลาง และใช้กรอบกฎหมายเพื่อควบคุมสถานการณ์ แทนการยึดอำนาจหรือใช้กำลังที่จะมีปัญหาตามมามากมาย
เป็นการบีบทางเดินให้เหลือทางเดียว ถ้าไม่เอาก็หมายถึงต้องไปเสี่ยงแพ้หมดหน้าตักเอาเอง
ซึ่ง “บิ๊กดีล” นี้เป็นทางรอดที่หยิบยื่นให้ ดีกว่าที่จะปิดทางออกทุกประตู อีกทั้งไม่ทำให้บ้านเมืองบอบช้ำมากกว่านี้
การไปสู้กับ “หมาจนตรอก” ย่อมไม่ใช่ความคิดที่ฉลาดเท่าใดนัก
โดย – เสมา พิทักษ์ราชัน
19 พฤษภาคม 2557