เครดิต นิตยสารray, elle /เว็บไซส์ him-n-her-perfume ,sbuy.in.th
---------ว่ากันด้วยเรื่อง ประวัติศาสตร์------------
น้ำหอมถูกใช้ครั้งแรกเมื่อ4000ปีก่อน โดนชาวเมโสโปเตเมีย ซึ่งเป็นในรูปแบบการเผาให้เกิดกลิ่น สิ่งที่นำมาเผาคือ ยางไม้ เปลือกไม้ ขี้ผึ้ง กรรมวิธีนี้จะนำไปใช้ในพิธีกรรมต่างๆ แต่ถ้าใช้ในชีวิตประจำวัน จะนำยางไม่กลิ่นต่างๆมาผสมรวมกันแล้วทาตัว
ตามหลักฐานพบว่า ชาวอียิปต์รู้จักการเผาน้ำหอมตั้ง3000ปีก่อนคริสตกาล โดยราชินีอียิปต์ พระนามว่า Hatshepsut ทรงสนพระทัย และสนับสนุนให้มีการตามหาเปลือกไม้ดอกไม้กลิ่นต่างๆ เพื่อมาทำน้ำหอมใช้ส่วนพระองค์ โดยหลังจากที่พระนางสิ้นพระชนน์ ชาวอียิปต์ได้สร้างสวนไม้หอม และจารึกเรื่องราวของพระนางเกี่ยวกับการปรุงน้ำหอมลงศิลาจารึกเพื่อเป็นการสดุดี
ในช่วงแรกนั้น ผู้ที่มีสิทธิ์ได้ใช้น้ำหอมมีเพียงฟาร์โร และนักบวชที่นำน้ำหอมไปประกอบพิธีบูชาเทพเจ้า แต่ต่อมาเมื่อชาวอียิปต์สามารถผลิตน้ำหอมเองได้ น้ำหอมจึงเป็นที่นิยมใช้กันแพร่หลายทั้งอียิปต์ ถึงกับมีกฏหมายบังคับ ให้ชาวอียิปต์ต้องพรมน้ำหอมอย่างน้อยอาทิตย์ละครั้ง
Hatshepsut
ต่อมาเมื่อระเจ้าอล็กซานเดอร์มหาราช ได้บุกมาตีอียิปต์ ในศควรรษที่3 ถึงทำให้น้ำหอมแพร่หลายไปยังกรีก นักปรัชญาชาวกรีกได้ศึกษา เรื่องของกลิ่น กลไกลของกลิ่น การแพร่ของกลิ่นอย่างจริงจัง น้ำหอมถูกพัฒนาเป็นครั้งแรกในช่วงนั้น
กระบวนการของน้ำหอมได้เปลี่ยนไปจากการเผา เป็นการนำแอลกอฮอล์มาเป็นตัวทำลาย โดยคิดค้นขึ้นครั้งแรก เมื่อนักเคมีชาวอาหรับได้ค้นพบการกลั่นขึ้นเป็นครั้งแรก โดยน้ำหอมกลิ่นแรกของโลก ที่มาจากการกลั่นคือ น้ำหอมกลินกุหลาบ
จนศตวรรษที่16 น้ำหอมได้เข้าสู่ฝรั่งเศส ราชีนีของฝรั่งเศสชื่อ Catherine de' medici หลงใหลในกลิ่นหอม และให้ช่างปรุ่งน้ำหอมส่วนตัว สร้างห้องทดลองทำน้ำหอมขึ้นมาในราชวังศ์ หลังจากนั้นฝรั่งเศสก็เป็นจุกศูนย์กลางของน้ำหอมในยุโรป
เนื่องจากมีปัจจัยเอื้อต่อการผลิต เพราะเป็นทางผ่านทางการค้า และมีสภาพอากาศที่เหมาะแก่การเพาะปลูกกอดไม้นานนานพันธุ์ ที่เป็นวัตถุดิบในการผลิตน้ำหอม และยังมีการสนับสนุนจากเชื่อพระวงศ์อีกด้วย จึงทำให้อุตสากรรมน้ำหอม กำเนิดขึ้นที่นี่ เป็นที่แรกในโลก
Catherine de' medici of france
เมื่อเข้าสู่ศตวรรษที่19 น้ำหอมได้เข้าสู่กระบวนการอุตสากรรม และแฟชั่น โดยสุดยอดของน้ำหอมได้เกิดขึ้นในยุคนั้น
เมื่อปี1920 นักเดินทางชาวรัฐเซียได้เดินทางมาปารีส และนำเสนอน้ำหอมขายให้กับ แกลเบรียน ชาแนล หรือดีไซน์เนอร์ก้องโลกนามว่า โคโค่ ชาแนล น้ำหอมที่ถูกกล่าวขานว่าหอมที่สุดในโลก จึงกำเนิดขึ้น นั้นคือ Chanel NO.5
ส่วนผสมของchanel no.5
Top note คือกลิ่นของกระดังงาและต้นส้ม Meddle note คือมะลิ และกุหลาบ Base note คือกลิ่นไม้จันทร์ และหญ้าvetiver
-----------------ว่ากันด้วยเรื่อง Top note /Meddle note / Base note --------------------------
กลิ่นของน้ำหอมนั้นจะเปลี่ยนไปตามระยะเวลา
1.Top note หรือ Head note เป็นกลิ่นของหัวน้ำหอมที่ระเหยออกมาตัวแรกสุด มีกลิ่นที่โดดเด่น แต่เนื่องทำจากโมเลกุลขนาดเล็กทำให้กลินระเหยได้ง่าย จะมีกลิ่นหลังจากฉีดแล้ว 10-20 นาที
2.meddle note หรือ heart note เป็นกลิ่นของน้ำหอมตัวหลักของน้ำหอมกลิ่นนั้น จะมีกลิ่นที่กลมกลืนไปกับbase note จะมีกลิ่นติดทนหลังจากฉีด3-6ชั่วโมง
3.Base note หรือ Lase note เป็นกลิ่นน้ำหอม ที่ออกมาหลังจากกลิ่นก่อนหน้าแห้งระเหยไปแล้ว เบสโน็ตจะเป็นโมเลกุลใหญ่ทำให้ติดทนนานที่สุด แต่กลิ่นเจือจางมาก ความติดทนอาจอยู่นานถึง24ชั่วโมงเลยทีเดียว
4.Bridge เป็นกลิ่นสุดท้ายของ เบสโน็ต เป็นกลิ่นที่อ่อนไหวที่สุด เพราะเป็นกลิ่นของหัวน้ำหอมที่เจืองจางๆต่างมารวมตัวกันกับกลิ่นธรรมชาติของผู้ฉีด กลิ่นที่ออกมาจึงเป็นกลิ่นเฉพาะตัวของผู้ฉีดเอง
-------------------------ว่ากันด้วยเรื่อง ความเข้มข้นของน้ำหอม-------------------------
น้ำหอม ได้จากการนำ หัวน้ำมันหอมที่สกัดมาจาก กลิ่นหอมต่างๆตามธรรมชาติ หรือสารเคมี แล้วนำมาผสมกับ สารละลายซึ่งก็คือ แอลทิล หรือ แอลกอฮอลล์ โดยสัดส่วนต่างๆกัน โดยแต่ละอย่างจะเรียกกันตามปริมาณหัวน้ำหอมที่ผสม
1.Perfum จะมีปริมาณหัวน้ำหอมผสม 30-40%
2.Eau de Perfum มีปริมาณหัวน้ำหอมผสม 20-30%
3.Eau de Toileete มีปริมาณหัวน้ำหอมผสม10-20%
4.Eau de Cologne มีปริมาณหัวน้ำหอมผสม 3-5%
ความเข้มข้นนี้มีผลต่อการกระจายกลิ่น ยิ่งเข้มข้นมาก ยิ่งกระจายได้มาก ราคาของน้ำหอมจะถูกจะแพง จึงอยู่ที่ความเข้มข้นของหัวน้ำหอมเช่นกัน
หัวน้ำหอมที่นำมาผสมนั้นก็มีการจัดเรียงตามความเข้มข้นของหัวน้ำหอมไว้อีก
1.Absolute คือหัวน้ำหอมความเข้มข้นสูง 100%
2.Concrete คือหัวน้ำหอมความเข้มข้นสูง 80%
3.Essential oil คือหัวน้ำหอมความเข้มข้นสูง 60%
4.Pommed คือหัวน้ำหอมที่มีความเข้มข้นสูง30%
5.Tinctrue คือหัวน้ำหอมที่มีความเข้มข้นสูง 10%
เพราะฉะนั้นไม่แปลกถ้า Eau de Perfum บางขวด จะมีกลิ่นติดทนและเข้มข้นน้อยกว่า Eau de Toileete
ถ้าจากน้ำหอมEau de Toileete ขวดนั้นทำมาจากหัวน้ำหอมที่มีความเข้มข้นสูงกว่า
----------ว่ากันด้วยเรื่อง การเลือกซื้อน้ำหอม------------
การเลือกน้ำหอมที่ดีที่สุดคือการฉีดลงไปที่ผิว ไม่ใช้ดมที่กระดาษ!!
1. เพื่อการซื้อน้ำหอมกลิ่นที่ถูกใจเราควรไปลองด้วยตัวเอง ไม่ใช่ดมจากคนอื่น เพราะกลิ่นตัวของคน ทำให้กลิ่นของน้ำหอมออกมาแตกต่างกัน
2.ใน1วันควรลองฉีดน้ำหอมเพื่อลองดมกลิ่นไม่เกิน2กลิ่น โดยฉีดไปที่ข้อมือแต่ละข้าง เพื่อได้กลิ่นที่เสถียรที่สุด
3.ไม่ควรตัดสินใจซื้อน้ำหอมในตอนที่ลองเลย เพราะต้องให้เวลาน้ำหอมออกกลิ่นให้ครบ4สเต็ปก่อน เพื่อสรุปว่าชอบไหม
4.ก่อนไปลองที่เคาเตอร์ อาจศึกษาทางอินเตอร์เน็ตดูก่อน คือถามตัวเองว่าชอบกลิ่นสไตล์ไหน หวานๆ เซ็กซี่ หรือสดชื่น แล้วเสิร์ชหาว่ามีแบรนด์ใดผลิตกลิ่นที่ชอบออกมาบ้าง
----------------ว่ากันด้วยเรื่อง การใช้น้ำหอม-------------------
น้ำหอมนั้นจะติดทนนานถ้ามีความชื้นสูง เพราะอากาศที่มีความชื้นต่ำ จะทำให้น้ำหอมระเหยได้ง่าย
แต่มองอีกแง่ ความชื้นที่สูง หรืออากาศที่ร้อน จำทำให้กลิ่นของน้ำหอมรุนแรงขึ้นมาก อาจจะฉุนจนปวดหัวไปเลย
ในฤดูร้อน หรือคนที่ต้องทำงานท่ามกลางความร้อนชื้น ควรใช้น้ำหอมชนิด Eau de Toileete จะดีกว่า เพื่อกลิ่นน้ำหอมที่ไม่สูงจนเกินไป
ช่วงเวลาที่ดีที่สุดของการฉีดน้ำหอมคือ หลังอาบน้ำเสร็จใหม่ และฉีดในขณะที่ร่างเปลือยเปล่า การฉีดน้ำหอมก่อนการสวมเสื้อผ้าจะทำให้ติดทนนานกว่า และไม่ทำให้เสื้อผ้าหรือเครื่องประดับเป็นด่างด้วย
การฉีดน้ำหอมอย่างพอดี จะทำให้กลิ่นออกมาไม่ฉุนจนเกิน ควรฉีดห่างจากผิวไม่เกิน6นิ้ว 3จุดทั้งร่างกาย และเพียงครั้งเดียวใน1จุด
บริเวณที่ทำให้น้ำหอมติดทน คือ บริเวณที่มีอุณหภูมิสูงของร่างกาย ได้แก่ ซอกหู ซอกคอ ลำตัว ข้อพับแขน หัวเข่า
อุณหภูมิที่เหมาะแก่การเก็บน้ำหอมคือ 10-15 องศาเซลเซียส
-------------ว่ากันด้วยเรื่อง กลิ่นของน้ำหอม----------------
ปัจจุบันมีน้ำหอม ออกมาขายมากมาย แยกออกมาเป็นกลิ่นต่างๆ คือ
1. Floral เป็นกลิ่นน้ำหอมที่มีมากชนิดที่สุด ประกอบด้วยน้ำมันหอมระเหยที่ได้จากดอกไม้ชนิดต่างๆ ซึ่งอาจจะมีการแบ่งกลุ่มเป็น floral, floral-sweet, floral-fresh, floral fruity-fresh เหมาะสำหรับใช้ตอนกลางวัน หรือ ในฤดูร้อน
น้ำหอมกลิ่นนี้ที่โด่งดังก็มี
Chloe de Perfume

น้ำหอมกลิ่นกุหลาบอันโด่งดัง ที่ผลิตมาตั้งแต่ที2008 กลิ่นหอมชวนฝัน ที่เหมือนเดินอยู่ในสวนกุหลาบกลางกรุงปารีส
top note คือกลิ่นหอมสดชื่นของมะกรูด ตามมาด้วยMeddle note คือ Damark Rose และดอกแมกโนเลีย ปิดท้ายด้วยbase note คือดอกแอมแบอร์ และไวท์ มัคค์
miss dior Blooming Bouquet
กลิ่นหอมหวานของหญิงสาวผู้น่ารักเหมือนดอกพีโอนี่
top note คือกลิ่นส้มแมนดารินแสนสดชื่น ตามมาด้วย meddle note คือpink peony,appicot,peach,damascus rose และtop note คือ ไวท์ มัคค์
L'Eau d'Issey Florale
กลิ่นรวมๆของน้ำหอมขวดนี้ เรียบง่ายตรงไปตรงมา มีโน็ตอยู่ไม่กี่อย่าง ประกอบด้วย กุหลาบ ลิลลี่ ส้มแมนดามิน และไม้ไวท์ วู๊ด
เหมาะสำหรับคนที่ชอบกลิ่นหอมหวานของกุหลาบ แต่ไม่หนักหน่วงจนเกินไป ออกแนวสดชื่นๆ น่ารักกำลังดี
Marc Jacobs Daisy Eau So Fresh

แค่เห็นขวดก็ตกหลุมรักแล้ว!! Daisy Eau So Fresh จัดอยู่ในกลุ่ม floral -Fruity เปิดมาจะเป็นกลิ่นผลราชเบอร์รี่ลูกโตหวานฉ่ำผสมกับกลิ่เกรปฟลุตแสนสดชื่น meddle note เป็นกลิ่นดอกไวโอเล็ต ดอกแอบเปิ้ลเขียว ดอกมะลิและกุหลาบ เป็นกลิ่นดอกไม้นานาชนิดๆฟุ้งกระจาย ได้อารมณ์เด็กสาวแสนซน ช่วงสุดท้ายเป็นกลิ่น ลูกพรัม มัคค์และไม้ซีดา เป็นกลิ่นที่น่ารัก เหมาะกับอากาศร้อนๆ
flower by kenzo

ความหอมหวานแบบตะวันออกที่แสนคลาสสิก เป็นกลิ่นหอมของดอกกุหลาบบัคกาเรีย ผสมไวท์มัค เป็นกลิ่นหอมที่หวานอ่อนๆ แสนสะอาด
Miracle So Magic by Lancôme

ความหอมแสนมหัศจรรย์นี้เกิดขึ้นจาก ใบไม้สี่กลีบ ผสมผสานระหว่างดอกไม้สองชนิดคือ ด็อกโรสและนาร์ซิสซัส เสกสรรความกลมกลืนที่เปี่ยมความสดชื่นและเร่าร้อนส่วนผสมที่เหนือความคาดหมาย ไม้สามใบและกลิ่นหอมของความเขียวขจี สดชื่น สะท้อนความบางเบาจากกลิ่นหอมละเอียดอ่อนของวานิลลา
dior jadore
นี่เป็นน้ำหอมกลิ่น Floral ที่ให้กลิ่นแตกต่างจากยี่ห้ออื่นๆ โดยสิ้นเชิง!!!
จาร์ดอจะให้ความหรูหรา มีเสน่ห์มาแทนความน่ารักสดใสในแบบที่น้ำหอม floralขวดอื่นๆมี
เป็นน้ำหอมกลิ่นดอกไม้ แต่ทว่าให้อารมณ์หรูหรา มีระดับ อารมณ์ประมาณผู้หญิงรวย ฐานะรวย อยู่ในคฤหาสน์ เป็นน้ำหอมที่มีกลิ่นหวานเย้ายวนใจ
ช่วงแรกจะเป็นกลิ่นของมะกรูด ให้กลิ่นน่ารักแบบผลไม้หลายชนิด ที่ชัดเจนสุดคือลูกแพร์กับเลมอน ช่วงกลางเป็นกลิ่นของมวลดอกไม้ โดยมีดอกมะลินำทัพมาอย่างโดดเด่น ตามมาด้วยลิลลี่ และดอกไม้อื่นๆเป็นแบ็คหลังให้ ได้อารมณ์ อ่อนหวานนุ่มนวล ช่วงเบสโน็ตเป็นกลิ่นของวนิลาและมักค์
เป็นน้ำหอมมี่ที่กลิ่นหอมหวานเย้ายวนใจมาก แต่ค่อนข้างหนัก(ถ้าคนชอบหวานๆใสๆไม่โอแน่ๆ) เหมาะจะฉีดไปงานกลางคืน หรืออยู่ที่ๆมีอากาศเย็น
พักกินข้าวแป๊ปนะจ้ะ เดี้ยวมาต่อ
***คำภีร์น้ำหอม***
---------ว่ากันด้วยเรื่อง ประวัติศาสตร์------------
น้ำหอมถูกใช้ครั้งแรกเมื่อ4000ปีก่อน โดนชาวเมโสโปเตเมีย ซึ่งเป็นในรูปแบบการเผาให้เกิดกลิ่น สิ่งที่นำมาเผาคือ ยางไม้ เปลือกไม้ ขี้ผึ้ง กรรมวิธีนี้จะนำไปใช้ในพิธีกรรมต่างๆ แต่ถ้าใช้ในชีวิตประจำวัน จะนำยางไม่กลิ่นต่างๆมาผสมรวมกันแล้วทาตัว
ตามหลักฐานพบว่า ชาวอียิปต์รู้จักการเผาน้ำหอมตั้ง3000ปีก่อนคริสตกาล โดยราชินีอียิปต์ พระนามว่า Hatshepsut ทรงสนพระทัย และสนับสนุนให้มีการตามหาเปลือกไม้ดอกไม้กลิ่นต่างๆ เพื่อมาทำน้ำหอมใช้ส่วนพระองค์ โดยหลังจากที่พระนางสิ้นพระชนน์ ชาวอียิปต์ได้สร้างสวนไม้หอม และจารึกเรื่องราวของพระนางเกี่ยวกับการปรุงน้ำหอมลงศิลาจารึกเพื่อเป็นการสดุดี
ในช่วงแรกนั้น ผู้ที่มีสิทธิ์ได้ใช้น้ำหอมมีเพียงฟาร์โร และนักบวชที่นำน้ำหอมไปประกอบพิธีบูชาเทพเจ้า แต่ต่อมาเมื่อชาวอียิปต์สามารถผลิตน้ำหอมเองได้ น้ำหอมจึงเป็นที่นิยมใช้กันแพร่หลายทั้งอียิปต์ ถึงกับมีกฏหมายบังคับ ให้ชาวอียิปต์ต้องพรมน้ำหอมอย่างน้อยอาทิตย์ละครั้ง
Hatshepsut
ต่อมาเมื่อระเจ้าอล็กซานเดอร์มหาราช ได้บุกมาตีอียิปต์ ในศควรรษที่3 ถึงทำให้น้ำหอมแพร่หลายไปยังกรีก นักปรัชญาชาวกรีกได้ศึกษา เรื่องของกลิ่น กลไกลของกลิ่น การแพร่ของกลิ่นอย่างจริงจัง น้ำหอมถูกพัฒนาเป็นครั้งแรกในช่วงนั้น
กระบวนการของน้ำหอมได้เปลี่ยนไปจากการเผา เป็นการนำแอลกอฮอล์มาเป็นตัวทำลาย โดยคิดค้นขึ้นครั้งแรก เมื่อนักเคมีชาวอาหรับได้ค้นพบการกลั่นขึ้นเป็นครั้งแรก โดยน้ำหอมกลิ่นแรกของโลก ที่มาจากการกลั่นคือ น้ำหอมกลินกุหลาบ
จนศตวรรษที่16 น้ำหอมได้เข้าสู่ฝรั่งเศส ราชีนีของฝรั่งเศสชื่อ Catherine de' medici หลงใหลในกลิ่นหอม และให้ช่างปรุ่งน้ำหอมส่วนตัว สร้างห้องทดลองทำน้ำหอมขึ้นมาในราชวังศ์ หลังจากนั้นฝรั่งเศสก็เป็นจุกศูนย์กลางของน้ำหอมในยุโรป
เนื่องจากมีปัจจัยเอื้อต่อการผลิต เพราะเป็นทางผ่านทางการค้า และมีสภาพอากาศที่เหมาะแก่การเพาะปลูกกอดไม้นานนานพันธุ์ ที่เป็นวัตถุดิบในการผลิตน้ำหอม และยังมีการสนับสนุนจากเชื่อพระวงศ์อีกด้วย จึงทำให้อุตสากรรมน้ำหอม กำเนิดขึ้นที่นี่ เป็นที่แรกในโลก
Catherine de' medici of france
เมื่อเข้าสู่ศตวรรษที่19 น้ำหอมได้เข้าสู่กระบวนการอุตสากรรม และแฟชั่น โดยสุดยอดของน้ำหอมได้เกิดขึ้นในยุคนั้น
เมื่อปี1920 นักเดินทางชาวรัฐเซียได้เดินทางมาปารีส และนำเสนอน้ำหอมขายให้กับ แกลเบรียน ชาแนล หรือดีไซน์เนอร์ก้องโลกนามว่า โคโค่ ชาแนล น้ำหอมที่ถูกกล่าวขานว่าหอมที่สุดในโลก จึงกำเนิดขึ้น นั้นคือ Chanel NO.5
ส่วนผสมของchanel no.5
Top note คือกลิ่นของกระดังงาและต้นส้ม Meddle note คือมะลิ และกุหลาบ Base note คือกลิ่นไม้จันทร์ และหญ้าvetiver
-----------------ว่ากันด้วยเรื่อง Top note /Meddle note / Base note --------------------------
กลิ่นของน้ำหอมนั้นจะเปลี่ยนไปตามระยะเวลา
1.Top note หรือ Head note เป็นกลิ่นของหัวน้ำหอมที่ระเหยออกมาตัวแรกสุด มีกลิ่นที่โดดเด่น แต่เนื่องทำจากโมเลกุลขนาดเล็กทำให้กลินระเหยได้ง่าย จะมีกลิ่นหลังจากฉีดแล้ว 10-20 นาที
2.meddle note หรือ heart note เป็นกลิ่นของน้ำหอมตัวหลักของน้ำหอมกลิ่นนั้น จะมีกลิ่นที่กลมกลืนไปกับbase note จะมีกลิ่นติดทนหลังจากฉีด3-6ชั่วโมง
3.Base note หรือ Lase note เป็นกลิ่นน้ำหอม ที่ออกมาหลังจากกลิ่นก่อนหน้าแห้งระเหยไปแล้ว เบสโน็ตจะเป็นโมเลกุลใหญ่ทำให้ติดทนนานที่สุด แต่กลิ่นเจือจางมาก ความติดทนอาจอยู่นานถึง24ชั่วโมงเลยทีเดียว
4.Bridge เป็นกลิ่นสุดท้ายของ เบสโน็ต เป็นกลิ่นที่อ่อนไหวที่สุด เพราะเป็นกลิ่นของหัวน้ำหอมที่เจืองจางๆต่างมารวมตัวกันกับกลิ่นธรรมชาติของผู้ฉีด กลิ่นที่ออกมาจึงเป็นกลิ่นเฉพาะตัวของผู้ฉีดเอง
-------------------------ว่ากันด้วยเรื่อง ความเข้มข้นของน้ำหอม-------------------------
น้ำหอม ได้จากการนำ หัวน้ำมันหอมที่สกัดมาจาก กลิ่นหอมต่างๆตามธรรมชาติ หรือสารเคมี แล้วนำมาผสมกับ สารละลายซึ่งก็คือ แอลทิล หรือ แอลกอฮอลล์ โดยสัดส่วนต่างๆกัน โดยแต่ละอย่างจะเรียกกันตามปริมาณหัวน้ำหอมที่ผสม
1.Perfum จะมีปริมาณหัวน้ำหอมผสม 30-40%
2.Eau de Perfum มีปริมาณหัวน้ำหอมผสม 20-30%
3.Eau de Toileete มีปริมาณหัวน้ำหอมผสม10-20%
4.Eau de Cologne มีปริมาณหัวน้ำหอมผสม 3-5%
ความเข้มข้นนี้มีผลต่อการกระจายกลิ่น ยิ่งเข้มข้นมาก ยิ่งกระจายได้มาก ราคาของน้ำหอมจะถูกจะแพง จึงอยู่ที่ความเข้มข้นของหัวน้ำหอมเช่นกัน
หัวน้ำหอมที่นำมาผสมนั้นก็มีการจัดเรียงตามความเข้มข้นของหัวน้ำหอมไว้อีก
1.Absolute คือหัวน้ำหอมความเข้มข้นสูง 100%
2.Concrete คือหัวน้ำหอมความเข้มข้นสูง 80%
3.Essential oil คือหัวน้ำหอมความเข้มข้นสูง 60%
4.Pommed คือหัวน้ำหอมที่มีความเข้มข้นสูง30%
5.Tinctrue คือหัวน้ำหอมที่มีความเข้มข้นสูง 10%
เพราะฉะนั้นไม่แปลกถ้า Eau de Perfum บางขวด จะมีกลิ่นติดทนและเข้มข้นน้อยกว่า Eau de Toileete
ถ้าจากน้ำหอมEau de Toileete ขวดนั้นทำมาจากหัวน้ำหอมที่มีความเข้มข้นสูงกว่า
----------ว่ากันด้วยเรื่อง การเลือกซื้อน้ำหอม------------
การเลือกน้ำหอมที่ดีที่สุดคือการฉีดลงไปที่ผิว ไม่ใช้ดมที่กระดาษ!!
1. เพื่อการซื้อน้ำหอมกลิ่นที่ถูกใจเราควรไปลองด้วยตัวเอง ไม่ใช่ดมจากคนอื่น เพราะกลิ่นตัวของคน ทำให้กลิ่นของน้ำหอมออกมาแตกต่างกัน
2.ใน1วันควรลองฉีดน้ำหอมเพื่อลองดมกลิ่นไม่เกิน2กลิ่น โดยฉีดไปที่ข้อมือแต่ละข้าง เพื่อได้กลิ่นที่เสถียรที่สุด
3.ไม่ควรตัดสินใจซื้อน้ำหอมในตอนที่ลองเลย เพราะต้องให้เวลาน้ำหอมออกกลิ่นให้ครบ4สเต็ปก่อน เพื่อสรุปว่าชอบไหม
4.ก่อนไปลองที่เคาเตอร์ อาจศึกษาทางอินเตอร์เน็ตดูก่อน คือถามตัวเองว่าชอบกลิ่นสไตล์ไหน หวานๆ เซ็กซี่ หรือสดชื่น แล้วเสิร์ชหาว่ามีแบรนด์ใดผลิตกลิ่นที่ชอบออกมาบ้าง
----------------ว่ากันด้วยเรื่อง การใช้น้ำหอม-------------------
น้ำหอมนั้นจะติดทนนานถ้ามีความชื้นสูง เพราะอากาศที่มีความชื้นต่ำ จะทำให้น้ำหอมระเหยได้ง่าย
แต่มองอีกแง่ ความชื้นที่สูง หรืออากาศที่ร้อน จำทำให้กลิ่นของน้ำหอมรุนแรงขึ้นมาก อาจจะฉุนจนปวดหัวไปเลย
ในฤดูร้อน หรือคนที่ต้องทำงานท่ามกลางความร้อนชื้น ควรใช้น้ำหอมชนิด Eau de Toileete จะดีกว่า เพื่อกลิ่นน้ำหอมที่ไม่สูงจนเกินไป
ช่วงเวลาที่ดีที่สุดของการฉีดน้ำหอมคือ หลังอาบน้ำเสร็จใหม่ และฉีดในขณะที่ร่างเปลือยเปล่า การฉีดน้ำหอมก่อนการสวมเสื้อผ้าจะทำให้ติดทนนานกว่า และไม่ทำให้เสื้อผ้าหรือเครื่องประดับเป็นด่างด้วย
การฉีดน้ำหอมอย่างพอดี จะทำให้กลิ่นออกมาไม่ฉุนจนเกิน ควรฉีดห่างจากผิวไม่เกิน6นิ้ว 3จุดทั้งร่างกาย และเพียงครั้งเดียวใน1จุด
บริเวณที่ทำให้น้ำหอมติดทน คือ บริเวณที่มีอุณหภูมิสูงของร่างกาย ได้แก่ ซอกหู ซอกคอ ลำตัว ข้อพับแขน หัวเข่า
อุณหภูมิที่เหมาะแก่การเก็บน้ำหอมคือ 10-15 องศาเซลเซียส
-------------ว่ากันด้วยเรื่อง กลิ่นของน้ำหอม----------------
ปัจจุบันมีน้ำหอม ออกมาขายมากมาย แยกออกมาเป็นกลิ่นต่างๆ คือ
1. Floral เป็นกลิ่นน้ำหอมที่มีมากชนิดที่สุด ประกอบด้วยน้ำมันหอมระเหยที่ได้จากดอกไม้ชนิดต่างๆ ซึ่งอาจจะมีการแบ่งกลุ่มเป็น floral, floral-sweet, floral-fresh, floral fruity-fresh เหมาะสำหรับใช้ตอนกลางวัน หรือ ในฤดูร้อน
น้ำหอมกลิ่นนี้ที่โด่งดังก็มี
Chloe de Perfume
น้ำหอมกลิ่นกุหลาบอันโด่งดัง ที่ผลิตมาตั้งแต่ที2008 กลิ่นหอมชวนฝัน ที่เหมือนเดินอยู่ในสวนกุหลาบกลางกรุงปารีส
top note คือกลิ่นหอมสดชื่นของมะกรูด ตามมาด้วยMeddle note คือ Damark Rose และดอกแมกโนเลีย ปิดท้ายด้วยbase note คือดอกแอมแบอร์ และไวท์ มัคค์
miss dior Blooming Bouquet
กลิ่นหอมหวานของหญิงสาวผู้น่ารักเหมือนดอกพีโอนี่
top note คือกลิ่นส้มแมนดารินแสนสดชื่น ตามมาด้วย meddle note คือpink peony,appicot,peach,damascus rose และtop note คือ ไวท์ มัคค์
L'Eau d'Issey Florale
กลิ่นรวมๆของน้ำหอมขวดนี้ เรียบง่ายตรงไปตรงมา มีโน็ตอยู่ไม่กี่อย่าง ประกอบด้วย กุหลาบ ลิลลี่ ส้มแมนดามิน และไม้ไวท์ วู๊ด
เหมาะสำหรับคนที่ชอบกลิ่นหอมหวานของกุหลาบ แต่ไม่หนักหน่วงจนเกินไป ออกแนวสดชื่นๆ น่ารักกำลังดี
Marc Jacobs Daisy Eau So Fresh
แค่เห็นขวดก็ตกหลุมรักแล้ว!! Daisy Eau So Fresh จัดอยู่ในกลุ่ม floral -Fruity เปิดมาจะเป็นกลิ่นผลราชเบอร์รี่ลูกโตหวานฉ่ำผสมกับกลิ่เกรปฟลุตแสนสดชื่น meddle note เป็นกลิ่นดอกไวโอเล็ต ดอกแอบเปิ้ลเขียว ดอกมะลิและกุหลาบ เป็นกลิ่นดอกไม้นานาชนิดๆฟุ้งกระจาย ได้อารมณ์เด็กสาวแสนซน ช่วงสุดท้ายเป็นกลิ่น ลูกพรัม มัคค์และไม้ซีดา เป็นกลิ่นที่น่ารัก เหมาะกับอากาศร้อนๆ
flower by kenzo
ความหอมหวานแบบตะวันออกที่แสนคลาสสิก เป็นกลิ่นหอมของดอกกุหลาบบัคกาเรีย ผสมไวท์มัค เป็นกลิ่นหอมที่หวานอ่อนๆ แสนสะอาด
Miracle So Magic by Lancôme
ความหอมแสนมหัศจรรย์นี้เกิดขึ้นจาก ใบไม้สี่กลีบ ผสมผสานระหว่างดอกไม้สองชนิดคือ ด็อกโรสและนาร์ซิสซัส เสกสรรความกลมกลืนที่เปี่ยมความสดชื่นและเร่าร้อนส่วนผสมที่เหนือความคาดหมาย ไม้สามใบและกลิ่นหอมของความเขียวขจี สดชื่น สะท้อนความบางเบาจากกลิ่นหอมละเอียดอ่อนของวานิลลา
dior jadore
นี่เป็นน้ำหอมกลิ่น Floral ที่ให้กลิ่นแตกต่างจากยี่ห้ออื่นๆ โดยสิ้นเชิง!!!
จาร์ดอจะให้ความหรูหรา มีเสน่ห์มาแทนความน่ารักสดใสในแบบที่น้ำหอม floralขวดอื่นๆมี
เป็นน้ำหอมกลิ่นดอกไม้ แต่ทว่าให้อารมณ์หรูหรา มีระดับ อารมณ์ประมาณผู้หญิงรวย ฐานะรวย อยู่ในคฤหาสน์ เป็นน้ำหอมที่มีกลิ่นหวานเย้ายวนใจ
ช่วงแรกจะเป็นกลิ่นของมะกรูด ให้กลิ่นน่ารักแบบผลไม้หลายชนิด ที่ชัดเจนสุดคือลูกแพร์กับเลมอน ช่วงกลางเป็นกลิ่นของมวลดอกไม้ โดยมีดอกมะลินำทัพมาอย่างโดดเด่น ตามมาด้วยลิลลี่ และดอกไม้อื่นๆเป็นแบ็คหลังให้ ได้อารมณ์ อ่อนหวานนุ่มนวล ช่วงเบสโน็ตเป็นกลิ่นของวนิลาและมักค์
เป็นน้ำหอมมี่ที่กลิ่นหอมหวานเย้ายวนใจมาก แต่ค่อนข้างหนัก(ถ้าคนชอบหวานๆใสๆไม่โอแน่ๆ) เหมาะจะฉีดไปงานกลางคืน หรืออยู่ที่ๆมีอากาศเย็น
พักกินข้าวแป๊ปนะจ้ะ เดี้ยวมาต่อ