
ถ้าใครที่มองหาหนังที่เป็นแบบฉบับขนานแท้ของแนวเวิสเทิร์นอเมริกันแล้วล่ะก็ คุณคงไม่เลือกที่จะดู High Noon ผลงานการกำกับของซินเนมาน เพราะท่าจะพบกับสิ่งตรงข้ามกับที่ผมเพิ่งเอ่ยไป

รองเท้าบู๊ท เสื้อกั๊กหนังสีน้ำตาล หมวกสไตล์คาวบอย และบ้านเรือนของผู้คนที่ตั้งรกรากท่ามกลางภูมิอากาศอันแห้งแล้งแล้ว นั่นก็คงเพียงพอที่จะทำให้เราทราบได้ถึงความเป็นเวิสเทิร์น แต่ครั้นเมื่อเคนตัวเอกซึ่งเป็นตำรวจผู้ดำรงความยุติธรรมมาตลอดชั่วชีวิต ในบั้นปลายเขาเลือกที่จะ “วางปืน" แต่งงานกับคนที่เขารักผู้นับถือนิกายเคว็ก (ลัทธิหนึ่งในศาสนาคริสต์ที่ต่อต้านความรุนแรง) และกำลังมองหาหนทางเพื่อที่จะสร้างกิจการร้านค้าเป็นของตัวเอง กลับพบว่าผู้ร้ายที่เขาจับเข้าตารางไปหลายปีก่อนจะกลับมาเพื่อทวงแค้น ไม่เพียงแต่ตัวเขาเองหากแต่ชาวบ้านทั้งหมดก็ตกอยู่ในสภาวะอันไม่ต่างอะไรจากคอกม้าที่ถูกวางเพลิงและไฟกำลังลุกลามไปทั่ว
ทันทีที่ทราบข่าวเขาเริ่มมองหาพรรคพวกเพื่อช่วยเหลือ แต่ในท้ายที่สุดก็ไม่มีผู้ใดที่กล้าอาจหาญต่อก็กับความชั่วร้ายที่กำลังคุกคามในอีกไม่ช้า นั่นคงเหลือตัวเขาเพียงลำพังที่ต้องรับภาระหน้าที่สะสางสิ่งนี้ให้จบสิ้น เคนจึงกลายเป็นผู้ปลดปล่อย “ม้า” เหล่านั้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ (และแน่นอนว่าไม่ได้มีอะไรที่น่าเศร้าสลดขนาดนั้น เพราะในตอนท้ายภรรยาของเขาก็หลุดจากภาวะจำยอม และลุกขึ้นร่วมต่อสู้เคียงข้างตัวเอกด้วย)

อย่างปฏิเสธไม่ได้ว่าหนังเรื่องนี้มีความคล้ายคลึงกับ On the Waterfront, 1954 ของคาซาน อันเนื่องมาจากมีเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับการโหยหาเสรีภาพและการปลดแอกของตัวละครจากอำนาจบางอย่างที่ตัวละครถูกครอบงำ เหนือสิ่งอื่นใดสิ่งที่หนังคอยตั้งคำถามกับเราเสมอ นั่นคือ เราจะยังคงเพิกเฉยกับความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับขนบศีลธรรมอันดีงามที่เราสั่งสมกันมา กล่าวคือ กลายเป็นว่ายิ่งสิ่งรอบตัวเราวิวัฒนาไปเท่าไร จิตใจเราไม่กล้าที่จะธำรงไว้ซึ่งคุณงามความดี ในทางกลับกันยอมปล่อยให้ความเลวร้ายเจริญเติบโตต่อหน้าเรา
ร่วมพูดคุยเกี่ยวกับภาพยนตร์ทางเฟสได้เลยน่ะครับ มีรีวิวอีกหลายเรื่อง
https://www.facebook.com/survival.king
Tempy Movies Review วิจารณ์หนัง: High Noon {Fred Zinnemann}, 1952
ถ้าใครที่มองหาหนังที่เป็นแบบฉบับขนานแท้ของแนวเวิสเทิร์นอเมริกันแล้วล่ะก็ คุณคงไม่เลือกที่จะดู High Noon ผลงานการกำกับของซินเนมาน เพราะท่าจะพบกับสิ่งตรงข้ามกับที่ผมเพิ่งเอ่ยไป
รองเท้าบู๊ท เสื้อกั๊กหนังสีน้ำตาล หมวกสไตล์คาวบอย และบ้านเรือนของผู้คนที่ตั้งรกรากท่ามกลางภูมิอากาศอันแห้งแล้งแล้ว นั่นก็คงเพียงพอที่จะทำให้เราทราบได้ถึงความเป็นเวิสเทิร์น แต่ครั้นเมื่อเคนตัวเอกซึ่งเป็นตำรวจผู้ดำรงความยุติธรรมมาตลอดชั่วชีวิต ในบั้นปลายเขาเลือกที่จะ “วางปืน" แต่งงานกับคนที่เขารักผู้นับถือนิกายเคว็ก (ลัทธิหนึ่งในศาสนาคริสต์ที่ต่อต้านความรุนแรง) และกำลังมองหาหนทางเพื่อที่จะสร้างกิจการร้านค้าเป็นของตัวเอง กลับพบว่าผู้ร้ายที่เขาจับเข้าตารางไปหลายปีก่อนจะกลับมาเพื่อทวงแค้น ไม่เพียงแต่ตัวเขาเองหากแต่ชาวบ้านทั้งหมดก็ตกอยู่ในสภาวะอันไม่ต่างอะไรจากคอกม้าที่ถูกวางเพลิงและไฟกำลังลุกลามไปทั่ว
ทันทีที่ทราบข่าวเขาเริ่มมองหาพรรคพวกเพื่อช่วยเหลือ แต่ในท้ายที่สุดก็ไม่มีผู้ใดที่กล้าอาจหาญต่อก็กับความชั่วร้ายที่กำลังคุกคามในอีกไม่ช้า นั่นคงเหลือตัวเขาเพียงลำพังที่ต้องรับภาระหน้าที่สะสางสิ่งนี้ให้จบสิ้น เคนจึงกลายเป็นผู้ปลดปล่อย “ม้า” เหล่านั้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ (และแน่นอนว่าไม่ได้มีอะไรที่น่าเศร้าสลดขนาดนั้น เพราะในตอนท้ายภรรยาของเขาก็หลุดจากภาวะจำยอม และลุกขึ้นร่วมต่อสู้เคียงข้างตัวเอกด้วย)
อย่างปฏิเสธไม่ได้ว่าหนังเรื่องนี้มีความคล้ายคลึงกับ On the Waterfront, 1954 ของคาซาน อันเนื่องมาจากมีเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับการโหยหาเสรีภาพและการปลดแอกของตัวละครจากอำนาจบางอย่างที่ตัวละครถูกครอบงำ เหนือสิ่งอื่นใดสิ่งที่หนังคอยตั้งคำถามกับเราเสมอ นั่นคือ เราจะยังคงเพิกเฉยกับความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับขนบศีลธรรมอันดีงามที่เราสั่งสมกันมา กล่าวคือ กลายเป็นว่ายิ่งสิ่งรอบตัวเราวิวัฒนาไปเท่าไร จิตใจเราไม่กล้าที่จะธำรงไว้ซึ่งคุณงามความดี ในทางกลับกันยอมปล่อยให้ความเลวร้ายเจริญเติบโตต่อหน้าเรา
ร่วมพูดคุยเกี่ยวกับภาพยนตร์ทางเฟสได้เลยน่ะครับ มีรีวิวอีกหลายเรื่อง https://www.facebook.com/survival.king