มนุษย์เงินเดือนไทยในฮ่องกง (ภาค 2) : เมื่อฉันโดนเลย์ออฟ

ตอน: โอกาส

เมื่อสองสามวันก่อนฉันได้รับอีเมลจากเพื่อนรุ่นน้องคนหนึ่ง เธอเป็นสาวไทยหน้าตาสะสวยซึ่งไปใช้ชีวิตและทำงานเป็นพนักงานต้อนรับภาคพื้นดินอยู่ที่ประเทศเยอรมนี เธอเล่าให้ฟังว่าเพิ่งจะได้งานใหม่

ฉันเพิ่งคุยกับเธอไปเมื่อเร็ว ๆ นี้นี่เอง เรื่องที่เธอกำลังจะย้ายไปอยู่เมืองอื่น ต้องหางานใหม่ เธอยังเกรงอยู่เลยว่าคงจะหาลำบาก ฉันให้กำลังใจเธอไปว่า เธอยังโชคดีที่มีประสบการณ์การทำงานในเยอรมนีมาก่อน อย่างน้อยก็มีภาษีกว่าคนที่ไม่เคยทำงานหรือไม่มีประสบการณ์การทำงานเลย ซึ่งในสภาพเศรษฐกิจผันผวนอย่างในปัจจุบันนี้ คงไม่มีใครอยากจ้างคนที่ไม่รู้งานหรอก ฉันจบอีเมลนั้นด้วยการอวยพรเธอไปว่า ขอให้ได้งานใหม่ในเร็ววัน

เธอเล่ามาในอีเมลว่าไปสมัครงานที่บริษัทคู่แข่งของบริษัทเก่า เรียกว่างานตำแหน่งเดียวกันกับที่เธอมีประสบการณ์มาแล้วนั่นแหละ ผ่านการสัมภาษณ์เสร็จเรียบร้อย บริษัทแจ้งว่าถ้าเธอได้รับการคัดเลือกบริษัทจะติดต่อกลับไป

เธอรอฟังข่าวอยู่หลายวัน จนในที่สุดเธอตัดสินใจติดต่อทางบริษัทเพื่อสอบถามถึงผลการสัมภาษณ์ ทางบริษัทบอกว่าเนื่องจากปัญหาเศรษฐกิจ จึงทำให้มีการชะลอการรับพนักงานเพิ่ม และถ้าบริษัทสามารถรับพนักงานเพิ่มได้อีกเมื่อไหร่ ก็จะติดต่อเธอกลับไป หลังจากนั้นไม่นานเธอก็ได้รับข่าวดี บริษัทเรียกให้เข้าไปทำสัญญาจ้างงานกันเลย

ฉันเชื่อว่าหญิงไทยส่วนใหญ่ที่ติดตามสามีมาอยู่ต่างประเทศนั้น สามีของพวกเธอคงเตรียมใจเอาไว้ก่อนแล้วว่า ภรรยาคงหางานไม่ได้ง่าย ๆ นัก หรือถ้าหางานกันไม่ได้จริง ๆ สามีก็คงเลี้ยงดูปูเสื่อกันไหว อย่างน้อยมาเป็นคู่ชีวิต ช่วยดูแลสามี ดูแลบ้านและลูกน้อย (ถ้ามี) กันไป  

การเป็นแม่บ้านนั้น ต้องใช้ทั้งศาสตร์และศิลป์เหมือนกับการทำงานนอกบ้านนั่นแหละ บางบ้านอาจจะได้รับเงินค่าใช้จ่ายจากสามีน้อย บางบ้านอาจจะได้มาก จะว่าไปก็เหมือนกับการทำงานเป็นมนุษย์เงินเดือนในบริษัทอย่างไรอย่างนั้น

ภาษาและวัฒนธรรมเป็นอุปสรรคสำคัญอย่างยิ่งในการหางานในต่างประเทศ ยิ่งประเทศที่ไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาราชการแล้วล่ะก็ ยิ่งเป็นเรื่องยากเข้าไปใหญ่ ยกตัวอย่างที่ฮ่องกง หากไปเปิดหนังสือพิมพ์หรือเว็บไซต์หน้าการรับสมัครงานดู จะเห็นว่างานในสำนักงานส่วนใหญ่นั้น ต้องการคนที่พูดได้ 3 ภาษากันทั้งนั้น นั่นคือ ภาษาจีนกวางตุ้ง ภาษาจีนกลาง และภาษาอังกฤษ

การที่คนต่างชาติซึ่งเคยเป็นเพียงมนุษย์เงินเดือนธรรมดาสามัญในเมืองไทยมาก่อนอย่างพวกเรานั้นจะสามารถหางานทำในต่างประเทศได้ต้องอาศัยองค์ประกอบหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นบุคลิกภาพ ประสบการณ์การทำงาน และสุดท้ายที่ฉันว่าสำคัญมากนั่นคือ โชคหรือดวง (สังเกตไหมว่า ฉันไม่ได้พูดถึงความรู้หรือความสามารถเลย)

มนุษย์เงินเดือนอย่างเรานั้น หากปล่อยชีวิตให้โชคชะตานำทาง หรือรอให้โอกาสก้าวเข้ามาหา เราคงจะพลาดอะไรดี ๆ ไปอย่างน่าเสียดาย ฉันเชื่ออย่างสุดใจขาดดิ้นว่า โอกาสไม่มีขาและเดินมาหาเราไม่ได้

ตัวฉันเองก็เคยมีประสบการณ์ในการเดินไปหาโอกาสในทำนองนี้อยู่ถึง 2 ครั้ง

ครั้งแรก ฉันเพิ่งจะได้งานใหม่ในตำแหน่งพนักงานแผนกสำรองห้องพักของโรงแรมแห่งหนึ่งในจังหวัดภูเก็ต หลังจากนั้นอีกอาทิตย์กว่า ทางบริษัทเปิดรับสมัครผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายการตลาด ฉันเคาะประตูเดินเข้าไปหาเจ้านาย ซึ่งจริง ๆ แล้วยังไม่สนิทกันเลย เพราะฉันเพิ่งจะเป็นพนักงานใหม่เข้าไปทำงานได้ไม่ถึงสองสัปดาห์
  
ฉันบอกนายว่าสนใจจะทำงานในตำแหน่งนี้และฉันมั่นใจว่าฉันสามารถทำได้ ฉันแค่อยากให้นายพิจารณาฉันเป็นตัวเลือกในฐานะผู้สมัครอีกคนหนึ่ง นายก็รับฟังอย่างใจเย็น

ตกเย็นนายเรียกฉันเข้าไปพบแล้วบอกว่า ได้พิจารณาแล้วให้ฉันได้เลื่อนตำแหน่งจากพนักงานธรรมดาไปเป็นผู้ช่วยผู้จัดการเลย

ครั้งที่สอง ฉันไปสมัครงานที่โรงแรมอีกแห่งหนึ่ง ตอนสัมภาษณ์ ฉันรู้สึกมั่นใจและตอบคำถามได้ค่อนข้างดี ตอนนั้นในใจคิดแต่ว่า ฉันต้องได้งานนี้แน่ ๆ

เวลาผ่านไปหนึ่งอาทิตย์ ทางโรงแรมไม่ติดต่อกลับ ฉันตัดสินใจโทรศัพท์ไปสอบถาม และได้คุยกับผู้อำนวยการฝ่ายทรัพยากรมนุษย์ ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้สัมภาษณ์ฉันในวันนั้น เธอบอกว่า ฉันเป็นผู้สมัครที่โดดเด่นคนหนึ่งเลยทีเดียว แต่ฉันเรียกเงินเดือนสูงไปนิด

ฉันได้ฟังที่เธอพูดก็รู้สึกเสียดายขึ้นมาจับจิตที่ทางบริษัทไม่ยอมต่อรองเงินเดือนกับฉัน เพราะความจริงแล้วฉันอยากทำงานที่นี่ แล้วก็ไม่ได้จริงจังกับเรื่องเงินเดือนมากมายนัก ฉันแค่อยากได้เงินเดือนเพิ่มเมื่อเปลี่ยนงานใหม่เท่านั้น  

แต่หลังจากนั้นอีกสองเดือน ฉันก็ได้รับการติดต่อจากบริษัทนั้นให้ไปทำงานโดยที่ไม่ได้ส่งใบสมัครเข้าไปใหม่แต่อย่างใด เสียดายที่เข้าไปทำได้แค่ไม่กี่เดือน สามีของฉันก็ได้งานใหม่ที่ฮ่องกง  

เมื่อฉันมาได้งานแรกที่ฮ่องกงในตำแหน่งเลขานุการผู้บริหาร แรก ๆ อนาคตก็ดูสดใสดีหรอกค่ะ ทางบริษัทมีโรงงานอยู่ในเมืองจีน 2 แห่ง ออเดอร์สินค้าในช่วงนั้นเข้ามาจนล้น โรงงานทั้งสองผลิตสินค้าส่งลูกค้าแทบไม่ทัน จนนายต้องขยายกำลังผลิต และตัดสินใจมาเปิดโรงงานใหม่ในจังหวัดสมุทรปราการ

ฉันได้บินมาเมืองไทยพร้อมนายทุกเดือน กลางวันทำงาน ตกค่ำถ้าไม่ติดประชุม ก็นัดพบปะกับเพื่อนฝูง ช่วงนั้นถือเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดในชีวิตมนุษย์เงินเดือนอย่างฉันเลยก็ว่าได้  

แต่ทำงานไปได้แค่ปีกว่า ๆ ก็เกิดปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำขึ้นทั่วโลก คนที่เคยอยู่ในวงการท่องเที่ยวอย่างฉันเคยเจอกับปรากฏการณ์ "ชาวโลกหยุดเที่ยว" เมื่อเกิดเหตุการณ์สึนามิ เมื่อมาทำงานให้บริษัทผลิตกระเป๋าหนังระดับไฮเอนด์ซึ่งเป็นสินค้าฟุ่มเฟือย ก็ต้องมาเจอกับปรากฏการณ์ "ชาวโลกหยุดซื้อ" เมื่อเศรษฐกิจฟุบกันอีก

ทางบริษัทเริ่มเลย์ออฟพนักงานแผนกนั้นแผนกนี้ไปเดือนละคนสองคน แถมปิดโรงงานเมืองไทยเสียอีก ฉันคาดเดาไว้แล้วว่า ไม่ช้าคงถึงเวลาของฉัน  ความรู้สึกตอนนั้นคงเหมือนนักโทษประหารที่เข้าคิวรอการประหารนั่นแหละ  

ใจหนึ่งก็บอกตัวเองว่าจะอยู่รอให้เค้าไล่ออกให้เสียประวัติทำไม ชิงลาออกไปเสียก่อน แต่อีกใจก็แย้งว่า อยู่ไปจนเค้าไล่ อย่างน้อยก็ยังได้เงินเดือนอีกเดือนหนึ่งนะ

ระหว่างนั้นฉันก็ส่งใบสมัครงานในตำแหน่งล่าม/นักแปลของศูนย์ให้บริการทางภาษาแห่งหนึ่งซึ่งเป็นหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ งานดังกล่าวไม่ใช่งานประจำทางศูนย์จะเรียกตัวเมื่อมีงานเข้า

รออยู่ไม่นานนักทางศูนย์ก็เรียกไปสัมภาษณ์ คุยเรื่องค่าตอบแทนซึ่งจ่ายเป็นชั่วโมงแล้ว ฉันก็ได้แต่ส่ายหน้า เพราะมันไม่คุ้มเลยหากฉันได้ทำงานแค่ชั่วโมงเดียว นอกจากนี้ยังต้องผ่านการอบรมและสอบก่อนได้รับการบรรจุกันอีก ตารางเวลาอบรมก็โหดมากตั้งแต่หกโมงเย็นจนถึง 4 ทุ่มในวันธรรมดา และช่วงกลางวันของวันเสาร์และวันอาทิตย์เป็นเวลาทั้งหมด 2 สัปดาห์ วันธรรมดานั้นฉันไปอบรมกับเขาไม่ทันแน่ ๆ เพราะเลิกงานหกโมงเย็น กว่าจะเดินทางไปถึงอีกล่ะ ในที่สุดฉันก็ตอบปฏิเสธข้อเสนอของศูนย์ไปด้วยความเสียดายนิดหน่อย (นิดเดียวนะ)

ช่วงนั้นมันเหมือนกับชีวิตล่องลอย ฉันปล่อยให้ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปตามบุญตามกรรม และดูเหมือนจะเป็นคิวของกรรมนั่นแหละ ที่มาเยือนกันก่อน

ตกบ่ายวันศุกร์สุดท้ายของเดือนที่ 25 ในการทำงานที่บริษัทนี้ ฉันก็ถูกเรียกเข้าไปยังห้องของผู้อำนวยการฝ่ายการเงิน เธอหยิบซองจดหมายสีขาวมาวางไว้ตรงหน้าฉันอย่างเชื่องช้า ฉันไม่ต้องเปิดออกอ่านก็รู้ได้ในทันทีว่ามันเป็นอะไร

วินาทีนั้นความหวาดกลัวและความรู้สึกหดหู่ที่เคยมีมาตลอดหลายเดือนตั้งแต่ทางบริษัทปิดโรงงานที่เมืองไทยมันปลาสนาการไปเลย ฉันยิ้มให้กับผู้อำนวยการฝ่ายด้วยซ้ำเพื่อไม่ให้เธอรู้สึกแย่ที่ต้องเป็นคนไล่ฉันออก จนเธอถามฉันว่า

“ยูรู้ว่า วันนี้ต้องมาถึงใช่ไหม”

“ใช่ค่ะ ฉันรู้ nothing personal, just business” ฉันยังยิ้มอยู่  

นี่ไม่ใช่การบาดหมางส่วนตัวแต่เป็นเรื่องธุรกิจล้วน ๆ ตลอด 25 เดือนที่ทำงานในบริษัทนี้ ฉันรับรู้ได้ว่านายโปรดปรานฉันไม่น้อย และฉันก็ซาบซึ้งที่นายหยิบยื่นโอกาสนี้ให้แก่ฉัน เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้ มันอาจจะไม่ใช่วิกฤต แต่เป็นโอกาสให้ฉันได้เปิดประตูบานใหม่ และพบกับสิ่งที่เหมาะกว่าสำหรับฉันก็ได้ ใครจะไปรู้
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่