บอกก่อนว่า ไม่ได้ฝืนร่างกายใดๆทั้งสิ้นนะคะ
แต่จะมาแชร์ประสบการณ์ในการฝ่าฟันที่อยากจะช่วยเหลือคน
อยากจะบริจาคเลือดเพื่อให้คนได้ใช้เลือดของเราต่อชีวิตพวกเขา
สมัยก่อนจขกท.น้ำหนักไม่ถึง 45 กิโล
ซึ่งตอนนั้นทราบมาว่าศิริราชต้องหนัก 50 กิโลถึงจะบริจาคได้
เห็นคนอื่นไปบริจาคกันก็รู้สึกอยากบริจาคกับเค้าบ้าง
จนมารู้ว่าสภากาชาดไทยให้ที่น้ำหนัก 45 กิโล
ตอนนั้นหนัก 43.5 กิโลค่ะ ตัวนิดเดียว
เลยตัดสินใจอัพน้ำหนักขึ้นแบบไม่กลัวอ้วนได้ 46 กิโล
คนที่ผอมแล้วอยากจะอ้วนจะรู้ว่า
การลดน้ำหนักหรือเพิ่มน้ำหนักก็ยากเท่ากัน
รวมทั้งต้องต่อสู้กับการเห็นพุงย้วยๆ และคนทักว่าอ้วนขึ้นด้วย
สมัยหนัก 43.5 กิโล 10 ปีผ่านมาแล้ว
อย่างไรก็ตามก็ได้ใช้เวลาหลายเดือนอัพน้ำหนักจนได้ 46 กิโลจนได้
ในปลายปี 2004 จำได้ว่าครั้งแรกบริจาคที่หน่วยบริการเคลื่อนที่ ร.ร.ศรีอยุธยา
น้องที่ออฟฟิศตามไปบริจาคด้วยกันด้วยความเป็นห่วง
เราบริจาคเสร็จก็ไม่กล้าลงจากรถไว กลัวเป็นลม
นั่งกินน้ำแดงอยู่ 2-3 แก้ว แล้วก็เม้ากับเจ้าหน้าที่อยู่นาน
จนน้องเค้าขึ้นมาตามบอกว่า นึกว่าพี่เป็นลมอยู่ข้างบน
จริงๆแล้วเมาน้ำแดงอยู่
หลังจากนั้นน้ำหนักก็ลงค่ะ แล้วก็ไม่ขึ้นอีกเลยจนผ่านไปกว่า 6 เดือน
กว่าจะอัพน้ำหนักให้กลับไปที่ 46-47 กิโลได้ และก็ค่อยเริ่มต้นบริจาคอีกครั้ง
แล้วหลังจากนั้นน้ำหนักก็ไม่ลงอีกเลยค่า - -"
เคยมีหลายแวบช่วง 2-3 ปีหลังจากนั้นที่แอบคิดว่า
ไม่น่าอัพน้ำหนักขึ้นมาเลยเพราะเอาไม่ลงจริงๆ มันไปของมันเรื่อยๆ
แต่เราไม่ได้โทษนะคะว่าเป็นเพราะกินธาตุเหล็กหรือบริจาคเลือด
คิดว่าเป็นที่อายุของเรามากกว่า
ตอนนั้นคิดว่า ก็ไม่น่าจะต้องอัพน้ำหนักขึ้นเนอะ
เพราะเดี๋ยวมันก็ขึ้นเองตามอายุที่เพิ่มขึ้น
แล้วมันก็ขึ้นมาประมาณ 47-48 แถวๆนั้น ไม่ลดไม่เพิ่มอีก
ระหว่างนี้ก็ได้บริจาคดวงตาและอวัยวะไปแล้วนะคะ
ต้องแอบพ่อแม่บริจาคเนื่องจากครอบครัวเป็นคนจีน
และเราก็ยังมีความเชื่อแบบโบราณๆเรื่องการบริจาคอวัยวะอยู่
ก็แอบเก็บเงียบอยู่สักปีสองปีมั้งคะ
แต่พอรายการกบนอกกะลา เอาเรื่องการบริจาคร่างกายเป็นอาจารย์ใหญ่มาออกอากาศ
ก็เปลี่ยนความคิดพ่อและแม่ในเรื่องการบริจาคอวัยวะ ร่างกายไปจนหมดสิ้น
ปัจจุบันที่บ้านก็บริจาคกัน และไม่ต้องเก็บเป็นความลับอีกต่อไป
เวลาไปบริจาคเลือดก็ไม่เคยฝืนว่าต้อง 3 เดือนครั้งทุกครั้งไปเพื่อเก็บแต้ม
แต่ดูร่างกายเราเป็นหลัก น้องสาวไม่สามารถให้เลือดได้ทุก 3 เดือน
เพราะเลือดจะจาง เค้าก็ไม่ให้ รอร่างกายพร้อมแล้วค่อยไป
ส่วนเราให้ได้ทุก 3 เดือน ไม่เคยมีปัญหาเลือดจาง
แต่ว่าต้องดูว่า แข็งแรงพอมั้ย เป็นหวัดช่วงนั้นก็ต้องงด มีประจำเดือนก็เลื่อนไป
นอนไม่พอก็เลื่อนไป เลื่อนไปเรื่อยๆ จนกลายเป็น 4 เดือนบ้าง 5 เดือนบ้าง สลับๆไป
ก็เลยทำให้กว่าจะได้ 25 ครั้งก็ 10 ปีผ่านไป
ใน 25 ครั้งนี้มีไม่กี่ครั้งที่มีปัญหา คือ ครั้งหนึ่งเลือดมีไขมันมากเกินไป
เพราะว่าเรากินอาหารมันก่อนไปบริจาค
จริงๆแล้วไม่รู้เลยว่ามันมันขนาดนั้น สิ่งนั้นคือ ข้าวไก่คาราเกะของเชสเตอร์กริลล์
หลังจากนั้นก็ระวังมาก เรื่องอาหารการกินก่อนไปบริจาค
สรุปตอนหลังก็คือ กินก๋วยเตี๋ยวข้างๆสภากาชาดนั่นแหละ จบไป 555
อีกครั้งหนึ่งคือ เราเป็นลมหลังจากให้เลือดเสร็จ จริงๆ ไม่รู้สึกว่าตัวเองเป็นลมนะ
แต่พยาบาลบอกว่าหน้าซีดมาก เลยให้แอมโมเนียมา แล้วไม่ยอมให้ลงจากเตียงเลย
ซึ่งก็แค่ครั้งนั้นครั้งเดียว
แชร์ประสบการณ์จากคนที่บริจาคเลือดไม่ได้ จนวันนี้ครบ 10 ปี 25 ครั้ง
แต่จะมาแชร์ประสบการณ์ในการฝ่าฟันที่อยากจะช่วยเหลือคน
อยากจะบริจาคเลือดเพื่อให้คนได้ใช้เลือดของเราต่อชีวิตพวกเขา
สมัยก่อนจขกท.น้ำหนักไม่ถึง 45 กิโล
ซึ่งตอนนั้นทราบมาว่าศิริราชต้องหนัก 50 กิโลถึงจะบริจาคได้
เห็นคนอื่นไปบริจาคกันก็รู้สึกอยากบริจาคกับเค้าบ้าง
จนมารู้ว่าสภากาชาดไทยให้ที่น้ำหนัก 45 กิโล
ตอนนั้นหนัก 43.5 กิโลค่ะ ตัวนิดเดียว
เลยตัดสินใจอัพน้ำหนักขึ้นแบบไม่กลัวอ้วนได้ 46 กิโล
คนที่ผอมแล้วอยากจะอ้วนจะรู้ว่า
การลดน้ำหนักหรือเพิ่มน้ำหนักก็ยากเท่ากัน
รวมทั้งต้องต่อสู้กับการเห็นพุงย้วยๆ และคนทักว่าอ้วนขึ้นด้วย
สมัยหนัก 43.5 กิโล 10 ปีผ่านมาแล้ว
อย่างไรก็ตามก็ได้ใช้เวลาหลายเดือนอัพน้ำหนักจนได้ 46 กิโลจนได้
ในปลายปี 2004 จำได้ว่าครั้งแรกบริจาคที่หน่วยบริการเคลื่อนที่ ร.ร.ศรีอยุธยา
น้องที่ออฟฟิศตามไปบริจาคด้วยกันด้วยความเป็นห่วง
เราบริจาคเสร็จก็ไม่กล้าลงจากรถไว กลัวเป็นลม
นั่งกินน้ำแดงอยู่ 2-3 แก้ว แล้วก็เม้ากับเจ้าหน้าที่อยู่นาน
จนน้องเค้าขึ้นมาตามบอกว่า นึกว่าพี่เป็นลมอยู่ข้างบน
จริงๆแล้วเมาน้ำแดงอยู่
หลังจากนั้นน้ำหนักก็ลงค่ะ แล้วก็ไม่ขึ้นอีกเลยจนผ่านไปกว่า 6 เดือน
กว่าจะอัพน้ำหนักให้กลับไปที่ 46-47 กิโลได้ และก็ค่อยเริ่มต้นบริจาคอีกครั้ง
แล้วหลังจากนั้นน้ำหนักก็ไม่ลงอีกเลยค่า - -"
เคยมีหลายแวบช่วง 2-3 ปีหลังจากนั้นที่แอบคิดว่า
ไม่น่าอัพน้ำหนักขึ้นมาเลยเพราะเอาไม่ลงจริงๆ มันไปของมันเรื่อยๆ
แต่เราไม่ได้โทษนะคะว่าเป็นเพราะกินธาตุเหล็กหรือบริจาคเลือด
คิดว่าเป็นที่อายุของเรามากกว่า
ตอนนั้นคิดว่า ก็ไม่น่าจะต้องอัพน้ำหนักขึ้นเนอะ
เพราะเดี๋ยวมันก็ขึ้นเองตามอายุที่เพิ่มขึ้น
แล้วมันก็ขึ้นมาประมาณ 47-48 แถวๆนั้น ไม่ลดไม่เพิ่มอีก
ระหว่างนี้ก็ได้บริจาคดวงตาและอวัยวะไปแล้วนะคะ
ต้องแอบพ่อแม่บริจาคเนื่องจากครอบครัวเป็นคนจีน
และเราก็ยังมีความเชื่อแบบโบราณๆเรื่องการบริจาคอวัยวะอยู่
ก็แอบเก็บเงียบอยู่สักปีสองปีมั้งคะ
แต่พอรายการกบนอกกะลา เอาเรื่องการบริจาคร่างกายเป็นอาจารย์ใหญ่มาออกอากาศ
ก็เปลี่ยนความคิดพ่อและแม่ในเรื่องการบริจาคอวัยวะ ร่างกายไปจนหมดสิ้น
ปัจจุบันที่บ้านก็บริจาคกัน และไม่ต้องเก็บเป็นความลับอีกต่อไป
เวลาไปบริจาคเลือดก็ไม่เคยฝืนว่าต้อง 3 เดือนครั้งทุกครั้งไปเพื่อเก็บแต้ม
แต่ดูร่างกายเราเป็นหลัก น้องสาวไม่สามารถให้เลือดได้ทุก 3 เดือน
เพราะเลือดจะจาง เค้าก็ไม่ให้ รอร่างกายพร้อมแล้วค่อยไป
ส่วนเราให้ได้ทุก 3 เดือน ไม่เคยมีปัญหาเลือดจาง
แต่ว่าต้องดูว่า แข็งแรงพอมั้ย เป็นหวัดช่วงนั้นก็ต้องงด มีประจำเดือนก็เลื่อนไป
นอนไม่พอก็เลื่อนไป เลื่อนไปเรื่อยๆ จนกลายเป็น 4 เดือนบ้าง 5 เดือนบ้าง สลับๆไป
ก็เลยทำให้กว่าจะได้ 25 ครั้งก็ 10 ปีผ่านไป
ใน 25 ครั้งนี้มีไม่กี่ครั้งที่มีปัญหา คือ ครั้งหนึ่งเลือดมีไขมันมากเกินไป
เพราะว่าเรากินอาหารมันก่อนไปบริจาค
จริงๆแล้วไม่รู้เลยว่ามันมันขนาดนั้น สิ่งนั้นคือ ข้าวไก่คาราเกะของเชสเตอร์กริลล์
หลังจากนั้นก็ระวังมาก เรื่องอาหารการกินก่อนไปบริจาค
สรุปตอนหลังก็คือ กินก๋วยเตี๋ยวข้างๆสภากาชาดนั่นแหละ จบไป 555
อีกครั้งหนึ่งคือ เราเป็นลมหลังจากให้เลือดเสร็จ จริงๆ ไม่รู้สึกว่าตัวเองเป็นลมนะ
แต่พยาบาลบอกว่าหน้าซีดมาก เลยให้แอมโมเนียมา แล้วไม่ยอมให้ลงจากเตียงเลย
ซึ่งก็แค่ครั้งนั้นครั้งเดียว