วีรพงษ์ รามางกูร : เรากำลังทำลายระบบ มติชนออนไลน์

กระทู้สนทนา
ทุกวันนี้เวลาไปพบกับใครที่รู้จัก ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนฝูง ผู้ร่วมงานในงานแต่งงาน งานศพ งานพบปะ
เพื่อปรึกษาหารือธุระการงาน คำถามที่ทั้งตัวเราเองถามหรือถูกถามจากผู้ที่พบปะกัน ก็คือ
"แล้วบ้านเมืองของเราจะไปทางไหน" หรือไม่ก็ถามว่า "แล้วบ้านเมืองเราจะลงอย่างไร"

คำถามยอดนิยมเหล่านี้เป็นคำถามที่ไม่มีใครตอบได้ ไม่ว่าบุคคลผู้นั้นจะอยู่ใน "วงใน" หรือ "วงนอก"
ขนาดไหนก็ตาม มีหลายคนพยายามจะตอบคำถามเหล่านี้ แต่เมื่อถูกซักหรือถูกตั้งคำถามกลับก็ตอบ
ไม่ได้ เพราะ "ตรรกะ" ที่ใช้ในการหาคำตอบเป็น "ตรรกะ" ที่ไปไม่ได้ตลอดรอดฝั่ง

เมื่อศาลแพ่งมีคำสั่ง 9 ข้อ รับรองความถูกต้องชอบธรรมของกลุ่มผู้ชุมนุมในการเข้ายึดหรือเข้าล้อม
สถานที่ราชการ เช่น ทำเนียบรัฐบาล กระทรวง ทบวงกรม หรือที่ทำการรัฐวิสาหกิจ ปิดถนนหนทางโดย
ใช้ "กองกำลังส่วนตัว" กระทำการตรวจค้นผู้คนที่สัญจรไปมา ขับไล่ข้าราชการพนักงานให้หยุดทำงาน
หยุดปฏิบัติหน้าที่ ห้ามตำรวจและเจ้าพนักงานติดอาวุธ ไม่ว่าจะเป็นอาวุธประจำกาย หรือแม้แต่กระบอง
เจ้าหน้าที่ตำรวจก็ไม่อาจจะใช้กำลังในการปฏิบัติหน้าที่ได้

การเรียกร้องให้กองกำลังตำรวจมาดูแลรักษาความปลอดภัยให้กับ "กองกำลังส่วนตัว" ของกลุ่มผู้ชุมนุม
ที่กำลังเดินทางไปปิดสถานที่ราชการ ข่มขู่ให้ข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ ให้หยุดปฏิบัติหน้าที่
ซึ่งในสายตาของคนทั่วไป กลับรู้สึกว่าเป็นสิ่งถูกต้อง แต่การขัดขวางหรือการสลายการชุมนุมกลายเป็นสิ่ง
ที่ไม่ถูกต้อง เพราะคำสั่งของศาลแพ่ง 9 ข้อได้ห้ามเอา
ไว้


เมื่อคำสั่งของศาลแพ่ง เป็นคำสั่งที่ขัดต่อสามัญสำนึกทางรัฐศาสตร์ที่จะทำให้สังคมมีความสงบเรียบร้อย จึง
เป็นคำสั่งที่ขัดต่อสิ่งที่จะทำให้สถานการณ์เข้าสู่ภาวะปกติ เหตุการณ์ความไม่ปกติก็จะดำรงต่อไปได้อีกนาน


เห็นได้ชัดว่า กลุ่มผู้ชุมนุมขนคนมาจากต่างจังหวัดเพียง 2 หมื่นคน ก็สามารถสร้างสถานการณ์ยึดสถานี
โทรทัศน์ช่องพื้นฐาน ไว้ได้โดยง่าย กองกำลังตำรวจจำนวนเท่าๆ กัน ถูกส่งเข้ามาดูแลสถานการณ์แต่
ห้ามติดอาวุธ สถานีโทรทัศน์ก็ยังคงออกอากาศไปตามปกติ เหตุการณ์เช่นว่านี้คงจะดำเนินไปได้เรื่อยๆ
ตราบใดที่ศาลอุทธรณ์และศาลฎีกายังไม่ได้ถอนคำสั่งของศาลแพ่ง


ผู้คนคาดเหตุการณ์เอาไว้แล้วว่า ศาลรัฐธรรมนูญคงจะมีคำวินิจฉัยให้นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีทั้ง
คณะพ้นสภาพการเป็นรัฐมนตรีที่ต้องอยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่อไปจนกว่าคณะรัฐมนตรีชุดใหม่จะเข้ามารับหน้าที่
แต่ศาลรัฐธรรมนูญกลับวินิจฉัยให้คณะรัฐมนตรีกับรัฐมนตรีอีก 9 คนเท่านั้นที่พ้นจากสภาพรัฐมนตรี แต่ก็
ยังคงเหลือรัฐมนตรีอีก 25 คน ปฏิบัติหน้าที่ต่อไป ช่องว่างจึงยังไม่เกิด สร้างความงุนงงสงสัยกับผู้คน
หลายคนเพราะศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยอย่างไรก็ได้ เลิกถกเถียงกันเรื่องประเด็นกฎหมายได้แล้ว

วุฒิสภาเปิดประชุม เพื่อพิจารณารับรองคุณสมบัติของกรรมการ ป.ป.ช.ใหม่ และที่ปรึกษาตุลาการศาลปกครอง
ก็ยังสามารถหาเหตุผลเอาเองให้ดำเนินการประชุมนอกระเบียบวาระการประชุมเพื่อเลือกประธานของตน โดย
แสดงท่าทีอย่างชัดเจนว่าเมื่อ "มีช่องว่าง" ก็จะได้ทำหน้าที่แทนสภาผู้แทนราษฎร เสนอชื่อ "คนกลาง" เป็น
นายกรัฐมนตรีได้ ทั้งๆ ที่การประชุมนอกระเบียบวาระการประชุมนั้นทำไม่ได้ ถ้าผู้ปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรีไม่
นำขึ้นทูลเกล้าฯ ก็คงจะถูกกล่าวหาว่า "ละเว้น ไม่ปฏิบัติหน้าที่" มีความผิดตามมาตรา 157 แพ่งประมวลกฎหมาย
อาญา เมื่อทูลเกล้าฯและทรงลงพระปรมาภิไธย แล้วมีผู้ร้องไปที่ศาลรัฐธรรมนูญ ว่าขัดรัฐธรรมนูญก็ไม่เป็นไร
เพราะศาลรัฐธรรมนูญก็คงจะวินิจฉัยว่าทำได้ ไม่ขัดรัฐธรรมนูญ แล้วก็คงจะไม่มีใครทำอะไรได้ แต่สถานการณ์
ก็คงไม่หยุดอยู่กับที่หรือมีความ "เสถียร" แต่จะดำเนินไปสู่ความ "ไม่มีเสถียรภาพ" ทางการเมืองต่อไป

ที่เกี่ยวพันกับความไม่มีเสถียรภาพทางการเมืองก็คือความไม่มีเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและสังคม เพราะการเมือง
ที่มุ่งไปสู่สภาวะที่ไม่มีเสถียรภาพ ย่อมดึงภาวะเศรษฐกิจออกจากจุด "ดุลยภาพ" และเคลื่อนไปสู่สภาวะไร้เสถียรภาพ
อันเป็นพื้นฐานที่ทำให้การบริโภคและการลงทุนทั้งของภาครัฐบาลและของเอกชนหดหายไป ภาวะเศรษฐกิจก็จะ
เคลื่อนเข้าสู่ภาวะ "ชะงักงัน" ซึ่งสะท้อนออกมาให้เห็นจากเครื่องชี้ต่างๆ เช่น การขยายตัวทางเศรษฐกิจ การส่งออก
การนำเข้า อัตราเงินเฟ้อชะลอตัวอย่างรวดเร็ว พลวัตเหล่านี้จะส่งผลกลับไปที่เสถียรภาพทางการเมืองอีกทีหนึ่ง
เป็นวัฏจักร

ยิ่งฝ่ายที่รู้สึกว่าฝ่ายตนเป็นฝ่ายที่ถูกกระทำซ้ำแล้วซ้ำอีกจากการถูกปฏิบัติอย่างไม่เท่าเทียมกัน ความเข้มข้นของ
ความรู้สึกก็เพิ่มทวีขึ้นตามการปฏิบัติหรือการกระทำขององค์กรที่เชื่อว่าเป็นเครื่องมือของผู้มีอำนาจ หรือตัวแทน
ของชนชั้นปกครองในบ้านเมือง การจัดตั้งขบวนการประชาชนในต่างจังหวัดจึงประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว
เพราะมีตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมให้เห็นซ้ำแล้วซ้ำอีก

ถ้าฝ่ายนี้สามารถทำให้เกิดภาวะสุญญากาศ ทำให้เกิดช่องว่างเพื่อสามารถตั้งนายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรีที่
ไม่เป็นไปตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ ความขัดแย้งก็น่าจะบานปลายจนเกิดการปะทะกัน ระหว่างผู้ชุมนุมซึ่ง
ส่วนใหญ่มาจากภาคใต้และกรุงเทพฯ กับอีกฝ่ายที่มาจากต่างจังหวัดจากภาคเหนือและภาคอีสาน เมื่อสถานการณ์
มาถึงจุดนี้ ซึ่งน่าจะเป็นความต้องการของผู้ที่ชุมนุมอยู่ในกรุงเทพฯ และพรรคประชาธิปัตย์ ทางกองทัพก็คงจะไม่มี
ทางเลือก นอกจากต้องเข้ามาแทรกแซง ด้วยการทำปฏิวัติรัฐประหาร ยกเลิกรัฐธรรมนูญ ตั้งสภานิติบัญญัติเพื่อร่าง
รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ สถานการณ์ดังกล่าวไม่ว่าจะชอบหรือไม่ชอบอาจจะต้องเกิดขึ้นอย่างที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

หลังการปฏิวัติรัฐประหาร สิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้คือการเคลื่อนของมวลชนฝ่ายเสื้อแดง เข้ามาทำการประท้วงใน
กรุงเทพฯ แทนผู้ที่ทำการประท้วงที่ดำเนินการอยู่ที่สวนลุมพินี หรือที่ทำเนียบรัฐบาล และอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย

ถ้าเหตุการณ์เช่นนั้นเกิดขึ้นจริงก็จะเกิดสภาวะอนาธิปไตย จะจบลงอย่างไรก็คงคาดเดาได้ อาจจะเหมือนกับกรณี
6 ตุลาคม 2519 หรืออาจจะไม่เหมือนกันก็ได้ กล่าวคือฝ่ายผู้ประท้วงจากต่างจังหวัดถูกปราบปรามเหมือนกับกรณี
6 ตุลาคม 2519 แล้วมีการสถาปนารัฐบาลเผด็จการทหารมาทำการปกครอง แล้วร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่

อีกทางหนึ่งก็คือมีการตกลงกันให้มีรัฐบาลที่ฝ่ายทหารแต่งตั้ง อาจจะเป็นพลเรือน ยกเลิกรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550
ซึ่งเป็นรัฐธรรมนูญที่เป็นปัญหาก่อให้เกิดความขัดแย้งกันอย่างรุนแรง ซึ่งเคยเรียกรัฐธรรมนูญฉบับนี้ว่าเป็น
"มรดกอสูร" ควรจะยกเลิกเสีย แล้วกลับไปใช้รัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ.2540 แทน โดยการปรับปรุงแก้ไขบางมาตรา

หากจะให้บ้านเมืองกลับไปสู่ภาวะปกติต้องมีการปฏิรูปองค์กรอิสระทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นศาลปกครอง ศาลรัฐธรรมนูญ
คณะกรรมการการเลือกตั้ง วุฒิสภาและอื่นๆ เพราะเห็นได้ชัดว่าวิธีคิดขององค์กรอิสระเหล่านี้ หรือแม้แต่ตุลาการบาง
ท่านในศาลยุติธรรมมีวิธีคิดที่เป็นปัญหา ไม่สามารถแก้ไขปัญหาความขัดแย้งในสังคมให้เหตุการณ์กลับเข้าสู่ภาวะปกติ
และสามารถดำเนินการตามขบวนการประชาธิปไตยได้

แต่ถ้าหลังจากการปฏิวัติ คณะทหารต้องการจะอยู่ในอำนาจเป็นเวลานาน หรือพยายามเข็นรัฐธรรมนูญที่ไม่เป็น
ประชาธิปไตยอย่างเดียวกับรัฐธรรมนูญปี 2550 หรือเป็นประชาธิปไตยน้อยกว่าฉบับปี 2540 ปัญหาทางการเมือง
ก็ไม่มีวันจบ คงจะยืดเยื้อต่อไปอีกเป็นเวลานาน และอาจจะจบลงโดยการล้มลงของระบบการเมืองทั้งระบบก็ได้
ซึ่งไม่ใช้ผลดีต่อประเทศชาติในระยะยาว

สิ่งที่น่ากลัว ซึ่งถ้าไม่ระมัดระวังก็คือ การล้มลงของระบบการเมืองทั้งระบบ ซึ่งเคยเกิดขึ้นกับหลายประเทศมาแล้ว
จะประมาทไม่ได้

เมื่อระบบล้มลงทั้งระบบ จะมีระยะเวลาหนึ่งที่สังคมจะพยายามแสวงหาจุด "ดุลยภาพ" ใหม่ ที่มีเสถียรภาพ ที่เป็น
ที่รับได้จากประชาชนทุกฝ่าย ซึ่งไม่มีใครคาดการณ์ได้ว่าจะเป็นอย่างไร การลดราวาศอก "ยกรถไฟที่ตกรางกลับ
ขึ้นไปไว้บนราง" กล่าวคือสิ่งใดที่ออกนอกลู่นอกทาง จากระบอบนิติรัฐหรือ Rule of Law นอกรัฐธรรมนูญ นอก
ระเบียบแบบแผน ที่สามารถอยู่ด้วยกันอย่างสันติแม้จะมีความคิดเห็นที่แตกต่างกัน เหตุการณ์ก็อาจจะไม่เปลี่ยนไป
ในเชิงพลวัต จากจุดที่ "ไร้เสถียรภาพ" ไม่ไปสู่จุดดุลยภาพที่มีเสถียรภาพ ที่จะสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติ
ไม่เพิ่ม "พลังการทำลาย" จนกระทั่งระบบทั้งระบบพังทลายลง

เป็นสิ่งที่น่ากลัวถ้าไม่ระมัดระวัง แต่ก็หวังว่าจะไม่เกิดภาวการณ์เช่นนั้น

http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1400155429&grpid=&catid=02&subcatid=0207

สาวแว่น
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่