Research proposal for PhD (ตปท.) กับการทำ Thesis ของจริง มักเหมือนหรือต่างกันคะ

ขอถามผู้มีประสบการณ์ค่ะว่า Research proposalต้องทำเข้มข้นแค่ไหน ต้องทำขนาดพัฒนาไปเป็น thesis ตัวจริงได้

หรือว่าแค่ทำให้มหาวิทยาลัยและผู้ให้ทุนรู้ว่าเรามีศักยภาพในการเรียนต่อเอกได้ก็พอคะ


คือกลัวหัวข้อที่คิดไว้จะล้าสมัยด้วยค่ะ เพราะกว่าจะจบทำเล่มก็อีก 4 ปี อะไรๆก็อาจจะเปลี่ยนไป หรือมีคนทำเรื่องนี้แล้วด้วย


เคยได้ยินบางคนพูดว่าทำๆไปเหอะ เพราะหัวข้อใน thesis จริง มันต่างกับใน research proposal อยู่แล้ว จริงหรือไม่คะ


และเพื่อนๆพี่ใช้เวลาในการเตรียม research proposal นานแค่ไหนคะ


ขอบคุณค่ะ
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 6
Research proposal for PhD (ตปท.)  VS การทำ Thesis ของจริง

ถ้าคุณจบโทแล้วและต้องทำวิจัยเพื่อวิทยานิพนธ์ไม่ว่า เชิงปริมาณหรือคุณภาพ
น่าจะคุ้นเคย Research proposal และ  Thesis มาระดับหนึ่งแล้ว

การทำ Research proposal คือการสร้างแปลน หรือพิมพ์เขียวสำหรับช่างใช้ก่อสร้างบ้าน
หรือการวาดภาพบ้านบนแผ่นกระดาษเท่านั้นเอง

ขณะที่การทำ Thesis  คือการสร้างบ้านตามแปลนที่เขียนไว้ เพื่อให้เกิดเป็นบ้านที่เข้าไปมุดนอนได้
กิจกรรม กระบวนการ หรืองานก่อสร้างจริง ไม่เหมือนการออกแบบบ้านบนแผ่นกระดาษแน่นอน

แปลนสำหรับบ้านราคาหลายสิบล้าน ย่อมแตกต่างจากแปลนบ้านราคาไม่กี่แสน
ฉันใด Research proposal ที่ใช้แนบไปกับใบสมัครเรียนโทหรือเอก
กับที่ใช้เพื่อการวิจัยจริงย่อมแตกต่างกัน
อะไรที่ต้องลงทุนลงแรง ใช้เวลาและสติปัญญามากกว่ากัน คุณคงทราบดี

ดูศักยภาพผู้วิจัยเพียงพิจารณาจาก Research proposal อย่างเดียวไม่พอ
Research proposal ที่เขียน มักเอาอย่างกันมาเท่านั้นเอง

ผู้เขียน Research proposal ไม่น้อย ไม่รู้ ไม่เข้าใจ
ว่าที่เขียนลงไป มันคืออะไร ทำอย่างไร ใช้เพื่ออะไร
หรืออีกนัยหนึ่ง จริงๆแล้วมันคือเครื่องมือใช้วัด หรือวิเคราะห์อะไรกันแน่
เห็นเขามี เขาเขียนมา ก็เอาด้วยเท่านั้นเอง

สิ่งเหล่านี้จะปรากฎชัดยิ่งขึ้น เมื่อมีการนำเสนอโครงร่างงานวิจัย
หรือที่คุณเรียก Research proposal

กรรมการที่นั่งฟัง ซักถามผู้นำเสนอสองสามคำ
กรรมการเขาก็รู้ว่า เขียนด้วยความเข้าใจ หรือเพียงลอกเขามาเท่านั้นเอง

ดังนั้นการนำเสนอ Research proposal ต่อหน้ากรรมการ พอบอกได้ว่า
คุณมีศักยภาพสำหรับงานวิจัยระดับไหน โดยไม่ต้องรอให้การวิเคราะห์ข้อมูลเสร็จสมบูรณ์ก่อน

อ่านหรือพิจารณาจาก Research proposal เพียงอย่างเดียว
ไม่ได้บอกอะไรมากนักเกี่ยวกับศักยภาพผู้วิจัย
ที่เห็นชัดเจนได้อย่างเดียวคือ รูปแบบการอ้างอิงที่นำมาใช้ มันถูกหรือผิด

การเปลี่ยนแปลงเพื่อปรับปรุง Research proposal
เช่นให้กระชับ และมีสมมุติฐานที่ชัดเจนขึ้นย่อมทำได้ ไม่เสียหายอะไร
แต่การเปลี่ยนแปลงอะไรมากๆ เช่นหัวข้อวิจัย ผู้เสียหายคือตัวคุณเอง

วิชาการย่อมมีพลวัตรไม่หยุดนิ่งแน่นอน ภายในสามสี่ปี อะไรก็เปลี่ยนไปได้เยอะ
อย่าลืมว่า ปรากฏการณ์ หรืออะไรที่เกิดในสังคม มันเปลี่ยนแปลงทุกนาที
ผู้วิจัยต้องมีปฎิภาณไหวพริบดี จึงจะทำให้ตัวเอง และหัวข้อวิจัยไม่ล้าสมัย

สิ่งหนึ่งที่พึงทำ ต้องติดตามรายงานการวิจัยที่เกี่ยวข้อง
และแนวโน้มประเด็นที่เกี่ยวกับการวิจัยของคุณ แบบตาไม่กระพริบ
แล้วเอาแนวโน้มที่พบเห็น มาใช้ปรับแต่งงานวิจัยคุณให้ทันเหตุการณ์
โดยไม่ต้องเริ่มเขียนใหม่ทั้งกะบิ

เวลาที่ใช้เตรียม และความยาว Research proposal แตกต่างกัน แล้วแต่ลักษณะของงานวิจัย
งานวิจัยบางอย่าง Research proposal ยาวเพียงสองหน้ากระดาษ A4
แต่กว่าจะได้มา สมมุตฐานการวิจัย ต้องทำงานในภาคสนามล่วงหน้ามาเป็นปีๆแล้วครับ

ผมเคยเห็น Research proposal ศึกษาผลกระทบทางสังคมอันเกิดจาก Green Revolution ในเอเชีย
เป็นภาษาอังกฤษมีความยาวถึง 400 หน้า เน้นว่า เป็นแค่ Research proposal นะครับ ผมดูไม่ผิดแน่

พูดมากไป อาจนอกประเด็น ต้องขออภัยที่บังอาจแนะนำ
และหากผิดพลาดประการใดก็อภัยอีกครั้งจ้า
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่